ตอน บทที่ 291 เซน (1) จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 291 เซน (1) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
บทที่ 291 เซน (1)
สถานะของสวี่ชีอันราวกับน้ำเย็นที่ไหลเข้าสู่หัวใจของทุกคน ทำให้บรรยากาศที่พุ่งขึ้นสงบลงและทำให้เสียงเชียร์ค่อยๆ หายไป
“ภิกษุน้อยตรงไหล่เขาคนนั้น ก็คือภิกษุน้อยที่นั่งอยู่บนสังเวียนกล้าหาญแห่งหนานเฉิงเป็นเวลาห้าวัน”
“ว่ากันว่าระดับเพชรไร้พ่ายของสำนักพุทธนั้นไร้พ่ายจริงๆ ในเวลาห้าวัน วีรบุรุษมากมายขึ้นสังเวียนไปเพื่อท้าทายเขา แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายร่างทองของเขาได้”
เวลานี้ ประชาชนในเมืองหลวงกับคนในยุทธภพจากภายนอกต่างก็นึกถึงความหวาดกลัวที่ถูกร่างกายระดับเพชรของจิ้งซือครอบงำ
นึกถึงความร้ายกาจของภิกษุรูปงามรูปนี้
หลังจากประชาชนบางส่วนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในหนานเฉิงและไม่ค่อยรู้เรื่องนี้สอบถาม ปฏิกิริยาก็รุนแรงขึ้นทันที
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ พวกเจ้าอย่าไปฟังข่าวลือ ข่าวลือในตลาดชอบพูดเกินจริงและไม่น่าเชื่อถือ”
“ไม่ได้พูดเกินจริงเลย ข้ายังรู้อีกว่าเมื่อหลายวันก่อน มีนักดาบที่เก่งกาจมากคนหนึ่งลงมือ ว่ากันว่าเขาเรียกก้อนหินออกมาเป็นดาบ ซึ่งค่อนข้างโดดเด่นทีเดียว แต่ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับภิกษุน้อยรูปนี้”
“ศาสนาพุทธแข็งแกร่งเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คนของพวกเราดูปากกัดตีนถีบและยากลำบากแสนเข็ญ”
ประชาชนในเมืองหลวงต่างพากันท้อแท้
ตั้งแต่การต่อสู้และการพูดคุยบนสังเวียนของจิ้งซือกับจิ้งเฉิน จนถึงการมาเยือนของธรรมลักษณะเมื่อคืนนี้ สำนักพุทธก็ทำให้ประชาชนในเมืองหลวงตกตะลึงอย่างมาก ความประทับใจอันแรงกล้าได้หยั่งรากลึกลงในใจของผู้คน
…
“อาตมาจำได้ว่า เคล็ดวิชาของสวี่หนิงเยี่ยนคือ ดาบเดียวตัดฟ้าดิน เขาจะมีพลังเหลือพอฟันดาบเดียวอีกหรือ” หมายเลขหกเหิงหย่วนส่ายหน้า เขาพนมมือและถอนหายใจ
“ค่ายกลระดับเพชรขั้นที่สองคือศิลปะการต่อสู้ เขามีเพียงพลังดาบเดียว แต่กลับใช้พลังในค่ายกลทุกข์แปด”
ฉู่หยวนเจิ่นอดหัวเราะไม่ได้ “หมายเลขหก เจ้าหัวดื้อเกินไป”
เหิงหย่วนขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
ฉู่หยวนเจิ่นไม่ตอบและกล่าวต่อ “เว้นเสียว่าเขาจะสามารถฟันดาบที่สอง และทะลวงดาบที่สองของค่ายกลทุกข์แปดได้ มิเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจฟันร่างทองของจิ้งซือได้”
…
ภายในซุ้มไม้ เวลานี้หลายคนกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด
“หากพลังไม่เพียงพอก็สามารถพักผ่อนได้ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเวลา ขอเพียงสวี่ชีอันสามารถฟันดาบที่อานุภาพไม่อ่อนแอไปกว่าตอนนี้ได้ การทำลายค่ายกลระดับเพชรก็ไม่ใช่ปัญหา”
เมื่อขุนนางคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นของตัวเองจบ เขาก็ดึงดูดการโต้แย้งของผู้อื่นเข้าหาทันที
คนที่โต้แย้งเหวยไห่ป๋อก็เป็นขุนนางเช่นกันและระดับการฝึกก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน “ดาบเมื่อครู่นี้ เหวยไห่ป๋อคิดว่าเพียงแค่ทหารระดับเจ็ดคนหนึ่งจะสามารถฟันออกมาได้หรือ”
เหล่าขุนนางระดับสูงที่อยู่รอบๆ ฟังทั้งสองคนโต้เถียงกันอย่างตั้งใจ
ยายตัวร้ายโบกมือพร้อมเอ่ยด้วยเสียงคมชัด “เหวยไห่ป๋อ ผิงติ้งป๋อ พวกท่านทั้งสองชี้แจ้งให้กระจ่างหน่อย เจ้าสุนัข…สวี่ชีอันคนนั้นมั่นใจเพียงใดว่าจะทำลายค่ายกลระดับเพชรได้”
ผิงติ้งป๋อเป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบต้นๆ อยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต รูปร่างกำยำ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยพลัง เมื่อได้ยินคำถามขององค์หญิงรอง เขาก็ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับ
“องค์หญิง ในความคิดของกระหม่อม สวี่ชีอันคนนั้นไม่มีโอกาสชนะเลยขอรับ”
ยายตัวร้ายขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”
ผิงติ้งป๋อถอนหายใจ “สวี่ชีอันเป็นเพียงทหารระดับเจ็ด ส่วนร่างทองของภิกษุจิ้งซือ แม้แต่ฉู่หยวนเจิ่นก็ไม่อาจทำลายได้ นับประสาอะไรกับเขา”
ขุนนางบุ๋นคนหนึ่งขมวดคิ้วและพูดว่า “ผิงติ้งป๋อไม่รู้หรือ แม้ว่าสวี่ชีอันจะอยู่ระดับเจ็ด แต่เขาก็แข็งแกร่งมาก มีบันทึกว่าเขาฟันทหารระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงระดับหกขาดถึงสองครั้ง”
ผิงติ้งป๋อส่ายหน้า “ระดับเพชรไร้พ่ายของสำนักพุทธจะหยิบยกมาเทียบกับระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงของทหารได้อย่างไร มิหนำซ้ำ ภิกษุน้อยรูปนี้ประจำอยู่ที่หนานเฉิงมาห้าวันแล้ว หากสวี่ชีอันเอาชนะได้ เขาก็คงจะลงมือไปนานแล้ว เหตุใดจึงอดทนรอมาจนถึงบัดนี้”
ขุนนางบุ๋นที่เอ่ยขึ้นพยักหน้า ผิงติ้งป๋อเป็นขุนนางที่เข้าร่วมสงครามซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อน สายตาของเขาไม่มีพลาด ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ เช่นนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นความจริง
ยายตัวร้ายครุ่นคิดอยู่นาน หลังจากคิดคำโต้แย้งไม่ออก นางก็ตรัสด้วยความกริ้ว “ผิงติ้งป๋อ เจ้าเยินยอผู้อื่นและทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองได้อย่างไร หากสวี่ชีอันแพ้แล้วมีผลดีอะไรกับเจ้าหรือ”
ผิงติ้งป๋อเอ่ยอย่างจนปัญญา “กระหม่อมมิได้เยินยอผู้อื่น สวี่ชีอันต่อสู้ในนามของสำนักโหราจารย์และในนามของราชสำนัก กระหม่อมก็หวังว่าเขาจะสามารถเอาชนะได้ เพียงแต่…โอกาสชนะน้อยเกินไป”
ต้องรู้ว่า ขุนนางบุ๋นกับญาติผู้หญิงส่วนใหญ่ในที่นี้ล้วนเป็นคนจากภายนอก เมื่อครู่พวกเขาเห็นสวี่ชีอันฟันค่ายกลได้ด้วยดาบเดียว ความมั่นใจจึงเพิ่มขึ้นในทันที รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้างามของแต่ละคน
แต่ตอนนี้ เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของคนในเช่นผิงติ้งป๋อ เหล่าขุนนางบุ๋นกับญาติผู้หญิงก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยราบรื่นนัก
เหวยไห่ป๋อพ่นลมหายใจและกล่าวเสียงดัง “ผิงติ้งป๋อ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสวี่ชีอันไม่สามารถฟันดาบที่สองออกมาได้”
เวลานี้ ภิกษุจิ้งเฉินที่นั่งสมาธิไม่พูดไม่จาก็เอ่ยปาก “ดาบเมื่อครู่นี้ ต้องเป็นท่านโหราจารย์ที่ให้เขายืมพลังไปอย่างแน่นอน มิเช่นนั้น ด้วยทหารระดับเจ็ดคนเดียว เขาจะฟันปราณดาบที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ร่างกายของทหารระดับเจ็ดมีความแข็งแกร่งที่จำกัด เขาจะสามารถทนต่อการถ่ายเทของพลังนั่นได้อย่างไร?”
ผิงติ้งป๋อส่ายหน้า นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาอยากกล่าวเช่นกัน
ซุ้มไม้ทุกแห่งเงียบลง เหล่าข้าราชบริพารก้มหน้าดื่มสุรา เหล่าญาติผู้หญิงจงใจหันหน้าหนีไม่มองภิกษุของสำนักพุทธ
ไม่มีอะไรจะพูดอีก ทว่าภายในใจก็ยังคงไม่พอใจ
“ท่านพ่อ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”
คุณหนูหวางมองใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการพร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวเบาๆ “มองให้มากขึ้น พูดให้น้อยลง เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป”
เมื่อในใจเชื่อว่าสวี่ชีอันนั้นยากที่จะชนะ ในใจก็เริ่มครุ่นคิดเรื่องตัวเลือกคนต่อไปแล้ว แต่หลังจากการตบหน้าเมื่อสักครู่นี้ สมุหราชเลขาธิการหวางก็ไม่อาจด่วนสรุปได้อีก
สมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่จะไม่พลาดซ้ำสอง
“แต่ข้ากลับมีความคิดหนึ่ง”
คุณหนูหวางยิ้ม นางมองไปทางภิกษุจิ้งเฉินและกล่าวเสียงดัง “ท่านไต้ซือ ค่ายกลทุกข์แปดที่ภิกษุของสำนักพุทธใช้ขัดเกลาจิตแห่งพุทธนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพลังต่อสู้ ต่อให้เป็นทหารระดับสูงก็ยากจะทำลายค่ายกลลงได้ง่ายๆ ถูกต้องหรือไม่”
ภิกษุจิ้งเฉินพยักหน้า “แทนที่จะให้ทหารระดับสูงเข้าสู่ค่ายกล สู้หาเด็กหนุ่มสักคนหนึ่งจะดีกว่า”
คุณหนูหวางกล่าวด้วยท่าทางงดงาม “เมื่อสักครู่นี้ไต้ซือตู้เอ้อร์บอกว่า ต้าฟ่งมีโอกาสสามครั้ง ถูกต้องหรือไม่”
“ถูกต้อง”
ใบหน้าอันงดงามและอ่อนโยนของคุณหนูหวางเผยรอยยิ้มสดใสออกมา “ตอนนี้ค่ายกลทุกข์แปดถูกทำลายแล้ว แม้ว่าสวี่ชีอันจะหมดเรี่ยวแรงและไม่อาจผ่านค่ายกลระดับเพชรได้ เช่นนั้นราชสำนักก็ส่งทหารระดับสูงมาทำลายค่ายกล ภิกษุระดับเพชรตรงไหล่เขารูปนั้นจะขัดขวางได้หรือไม่”
ภิกษุจิ้งเฉินชะงัก จากนั้นก็ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา
ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย พวกเขารู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันที ความคิดต่างๆ แปรผัน
ส่วนเหตุใดท่านโหราจารย์ถึงเลือกฆ้องเงินระดับเจ็ดไปต่อสู้นั้น ไม่มีใครรู้เหตุผลและต่างสงสัยกับตัวเอง ตอนนี้สวี่ชีอันทำลายค่ายกลทุกข์แปดไปแล้ว คุณหนูหวางก็ชี้ให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียอีก
ความคิดของทุกคนเปิดออกทันที
“ที่แท้สวี่ชีอันก็เป็นลูกไล่ เช่นนั้นเขาสามารถออกมาได้ใช่หรือไม่ เปลี่ยนให้ทหารระดับสูงไปทำลายค่ายกล”
ภิกษุจิ้งซือพยักหน้า
“ที่ไต้ซือฝึกคือเซนหรือศิลปะการต่อสู้”
“บำเพ็ญคู่ระหว่างเซนกับศิลปะการต่อสู้” จิ้งซือตอบ
ยังมีการบำเพ็ญคู่ระหว่างเซนกับศิลปะการต่อสู้อีกหรือ พรสวรรค์ของภิกษุน้อยรูปนี้ช่างน่าทึ่ง…สวี่ชีอันพยักหน้าและพูดว่า “ข้าได้ยินว่า สำนักพุทธพิถีพิถันเรื่องการเข้าสู่โลกก่อนแล้วค่อยออกบวช ไต้ซือออกบวชตั้งแต่เด็ก แม้แต่ครอบครัวก็ไม่มีแล้วออกบวชได้อย่างไรหรือ”
ภิกษุจิ้งซือฟังออกว่าสวี่ชีอันต้องการแยกพระธรรมออกจากตัวเอง เขาจึงพูดอย่างไม่เกรงกลัว “การออกบวชหมายถึงการขจัดปัญหายุ่งเหยิง ละทางโลกและเข้าสู่ทางธรรม ประสกไม่ต้องเอาจริงเอาจังกับการตีความตามตัวอักษรมากเกินไป อาตมาปฏิบัติพระธรรมตั้งแต่ยังเด็ก ท่องไปยังแดนประจิม สัมผัสความทุกข์ยากทั่วทุกมุมโลกและสัมผัสความทุกข์ทั้งแปดของชีวิต”
สัมผัสความทุกข์ทั้งแปดของชีวิตบ้าบออะไร คนที่ไม่เคยประสบแม้แต่สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์กับสินสอดราคาสูงเสียดฟ้าเช่นเจ้า กล้าพูดต่อหน้าข้าว่าสัมผัสความทุกข์ทั้งแปดของชีวิตหรือ
สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจ
“ไต้ซือรู้สึกอย่างไรกับสตรีเพศ” สวี่ชีอันถาม
“มีดเฉือนกระดูก!” ภิกษุจิ้งซือประเมินอย่างกระชับและครอบคลุม
“ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเช่นนั้น ไต้ซือไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวสตรีเพศเลยแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสตรีเพศไม่ใช่สิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก”
บทสนทนาของทั้งสองคน ผู้ที่ล้อมวงชมฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
“ไม่ใช่ค่ายกลระดับเพชรหรือ เหตุใดถึงเริ่มพูดคุยเรื่องพระธรรม”
“พูดเรื่องพระธรรมที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่ากำลังพูดเรื่องสตรีเพศ แต่คำพูดของใต้เท้าท่านนี้ราวกับไข่มุก พูดไปถึงก้นบึ้งหัวใจของข้าเลย”
เหล่าผู้ชายเผยรอยยิ้ม ‘ฮิฮิฮิ’ ออกมาอย่างพร้อมเพรียง
แต่ผู้หญิงกลับหน้าแดงและลอบกลืน ‘น้ำลาย’
“ไอหยา เจ้าสุนัขรับใช้พูดเรื่องไร้สาระเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร” ยายตัวร้ายหน้าแดงและก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ท่านแม่ พี่ใหญ่ไม่จริงจังขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” สวี่หลิงเยวี่ยกระทืบเท้า
อาสะใภ้ไม่พูดไม่จาและรู้สึกอายเล็กน้อย
อารองสวี่ทั้งเขินอายและอับอาย เด็กคนนี้พูดจาไร้สาระอะไร ที่นี่มีขุนนางระดับสูงมารวมตัวกันและยังมีประชาชนอีกนับหมื่นนับพันคนมาล้อมวงชม คำพูดที่ไร้ซึ่งความสง่างามเช่นนี้ไม่ต้องพ่นออกมา
…
“อาตมาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องสตรีเพศจริง แต่สตรีเพศนั้นดุร้ายราวกับเสือ นี่เป็นเรื่องที่ภิกษุชั้นสูงเล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ประสกอย่าได้โต้แย้งโดยไม่มีเหตุผลเลย” จิ้งซือไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
“กล่าวกันว่า ไม่เข้าถ้ำเสือ มีหรือจะได้ลูกเสือ” สวี่ชีอันโต้กลับ
จิ้งซือตกตะลึง “ประสกพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
สวี่ชีอันไม่พูดไม่จา
“ไม่เข้าถ้ำเสือ มีหรือจะได้ลูกเสือ…นี่เกี่ยวอะไรกับความงาม”
“บางทีในนั้นอาจจะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งอยู่ เพียงแต่พวกเราไม่อาจคลี่คลายได้กระมัง”
เกิดความสงสัยขึ้นภายในจิตใจของผู้คนที่อยู่ข้างนอก
…………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...