บทที่ 291 เซน (2)
“เช่นนั้นข้าก็มีหลายเรื่องที่ต้องการปรึกษาไต้ซือ” สวี่ชีอันจ้องมองเขาและยิ้มเยาะ “ท่านเคยเลี้ยงดูพ่อแม่หรือไม่ ท่านเคยทำงานหนักเพื่อดูแลครอบครัวหรือไม่ ท่านเคยแบกจอบทำการเกษตรหรือไม่ ศาสนาพุทธไม่ทำสิ่งใดให้เกิดผล ทั้งวันท่องพระคัมภีร์และต้องการฆราวาสมาเลี้ยงดู ข้าใคร่ถามท่านว่า ท่านท่องพระคัมภีร์อะไร สวดมนตร์อะไร เดินทางไปทั่วโลกฆราวาสด้วยสถานะผู้เฝ้ามอง ท่านนับว่าเข้าใจความทุกข์ยากของสรรพชีวิตได้หรือ ทุกข์แปดประการในชีวิต ท่านเคยสัมผัสเพียงแค่การเกิด ส่วนที่เหลือไม่มีเลย ท่านก็แค่ภิกษุจอมปลอมเท่านั้นเอง”
จิ้งซือครุ่นคิดอยู่นานและตอบว่า “พระพุทธเจ้ามองเห็นทุกสิ่งในโลก ย่อมเข้าใจความทุกข์ยากในโลก”
“ดี!”
สวี่ชีอันพยักหน้า หยิบดาบยาวสีดำทองออกมาและกรีดบาดแผลที่ชุ่มไปด้วยเลือดบนแขน เขาปิดบาดแผลและมองไปที่จิ้งซือ
“ไต้ซือรู้สึกถึงความเจ็บปวดของข้าหรือไม่”
“ใบมีดตกถึงร่างกายจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร” จิ้งซือพนมมือ
“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเจ็บปวดเพียงใด” สวี่ชีอันถามอีกครั้ง
จิ้งซือเงียบ เขามีระดับเพชรคุ้มกายา ใบมีดจึงไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ ดังนั้นเขาตอบไม่ได้จริงๆ
“ไต้ซือยังไม่เข้าใจอีกหรือ” สวี่ชีอันถอนหายใจ “นี่คือสิ่งที่ท่านเรียกว่า มองเห็น ท่านรู้เพียงแค่ว่าข้าเจ็บปวด แต่ไม่รู้ว่าเจ็บปวดเพียงใด ท่านรู้เพียงแค่ความทุกข์ยากในโลก แต่ไม่รู้หรอกว่ามันทุกข์ยากเพียงใด แม้แต่ความทุกข์ยากของผู้คนท่านก็ไม่อาจเข้าใจได้ เช่นนั้นจะพูดถึงการทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องขบขัน ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง”
จิ้งซือไม่ได้พูดอะไร แต่ตั้งท่าฟัง
“มีอยู่ปีหนึ่ง ทั่วทั้งโลกเกิดความแห้งแล้งอย่างหนัก ประชาชนทุกข์ยากไร้ข้าวประทังชีพ ต้องอดตายนับไม่ถ้วน มีคุณชายคนหนึ่งที่มาจากครอบครัวร่ำรวยได้ยินเรื่องนี้ จึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ ไต้ซือรู้หรือไม่ว่าเขาเอ่ยว่าอย่างไร”
จิ้งซือจี้ถามว่า “เขาเอ่ยว่าอย่างไร”
สวี่ชีอันจ้องมองภิกษุน้อยจิ้งซือ เขาเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาและเอ่ยคำต่อคำ “เหตุ ใด ไม่ กิน เนื้อ แทน ล่ะ”
ภิกษุจิ้งซือราวกับถูกฟ้าผ่า รูม่านตาขยายเล็กน้อย ใบหน้าไร้ชีวิตชีวา
“พูดได้ดี!”
“ภิกษุน้อยรูปนั้นพูดไม่ออก มาดูเร็ว ภิกษุน้อยพูดไม่ออก”
ฝูงชนที่อยู่ข้างนอกโห่ร้องเสียงดัง
ภิกษุเชี่ยวชาญการโต้วาทีเรื่องเซนมากที่สุด ปากจะเบ่งบานได้และใครก็พูดไม่ได้ แต่คำพูดของสวี่ชีอันทำให้ภิกษุน้อยที่มาจากแดนประจิมพูดไม่ออก
ความรู้สึกนี้คือการเอาชนะพวกเขาในด้านที่สำนักพุทธเชี่ยวชาญมากที่สุด จากมุมมองของผู้สังเกตการณ์ ระดับความเจ็บแสบน่าสนุกกว่าดาบเดียวที่สวี่ชีอันฟันออกมามาก
ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เหล่าขุนนางแห่งท้องพระโรงเฝ้าดูอย่างเงียบๆ การปะทะคารมไม่อาจทำลายค่ายกลระดับเพชรได้ พวกเขาจึงเฝ้าดูว่าสวี่ชีอันมีจุดประสงค์อะไร
เวลานี้ สวี่ชีอันโยนดาบยาวสีดำทองไปไว้ตรงหน้าภิกษุจิ้งซือและเอ่ยเสียงขรึม “ไต้ซือ หากท่านคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นผิด หากท่านคิดว่าท่านสามารถสัมผัสความทุกข์ยากของประชาชนได้จริงๆ เหตุใดท่านถึงไม่ลองดูล่ะ”
จิ้งซือเงยหน้าขึ้นและพึมพำกับตัวเอง “สัมผัสเองหรือ”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ถอนระดับเพชรไร้พ่ายและเฉือนดาบที่แขน ท่านจะเข้าใจความเจ็บปวดของข้า เข้าใจพระธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่กล่าวว่าเหตุใดจึงไม่กินเนื้อแทน”
“ไม่ ไม่…” จิ้งซือส่ายหน้า ราวกับกำลังโน้มน้าวตัวเองว่าอย่าได้ลิ้มลอง “หากถอนระดับเพชรไร้พ่าย ข้าก็จะแพ้”
“นักบวชนั้นว่างเปล่า แต่ไต้ซือกลับยึดติดผลแพ้ชนะเช่นนี้ ล้าหลังไปแล้ว” สวี่ชีอันคอยโน้มน้าว
“หลังจากแพ้การต่อสู้ ไต้ซือจะมองเห็นท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ขึ้นและเข้าใจพระธรรมที่แท้จริง สิ่งใดสำคัญกว่า ไต้ซือก็พิจารณาเองเถิด”
นักบวชนั้นว่างเปล่า ไม่ควรยึดติดผลแพ้ชนะ…เหตุใดไม่กินเนื้อแทนล่ะ เหตุใดไม่กินเนื้อแทนล่ะ…สีหน้าของภิกษุจิ้งซือค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น เขาเผยสีหน้าที่ยุ่งเหยิงกับกระเสือกกระสนออกมา เขายื่นมือออกไปช้าๆ และจับดาบยาวสีดำทอง
มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยชม “จิ้งซือฝึกตนที่สำนักพุทธตั้งแต่ยังเด็ก บางทีพระธรรมอาจจะลึกซึ้ง แต่ยังขาดประสบการณ์ที่ตกตะกอนได้ในโลกฆราวาส นี่คือจุดอ่อนของเขา สวี่หนิงเยี่ยนเฉลียวฉลาดจริงๆ”
จิ้งซือราวกับเด็กจากครอบครัวขุนนางที่มีพรสวรรค์และฝึกตนในตระกูลตั้งแต่เด็ก เขาแข็งแกร่ง แต่สภาพจิตใจกลับไม่สมบูรณ์แบบและยังขาดประสบการณ์กับการตกตะกอน
“อามิตตาพุทธ” เหิงหย่วนกล่าวอามิตตาพุทธและรู้สึกผิดหวังในใจ
เขานึกถึงศิษย์น้องเหิงฮุ่ยที่ตัวเองเลี้ยงดูมาจนโต ซึ่งก็เป็นลูกศิษย์ชาวพุทธที่มีพรสวรรค์มากคนหนึ่งเช่นกัน แต่เขาขาดประสบการณ์ทางโลกและเกิดจิตทางโลกจนนำไปสู่ภัยพิบัติ
‘ทำได้ดี!’ ดวงตาของเหล่าขุนนางบุ๋นเป็นประกาย พวกเขาแอบปรบมือให้
โจมตีเมือง มิสู้โจมตีทางใจ ขั้นตอนนี้สอดคล้องกับตำราพิชัยสงคราม ซึ่งยอดเยี่ยมมาก
เมื่อเทียบกับการรบราฆ่าฟัน การกระทำของสวี่ชีอันที่ทำลายค่ายกลระดับเพชรนี้ทำให้เหล่าขุนนางบุ๋นยิ่งยอมรับ
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ‘น่าเสียดายที่เด็กคนนี้ไม่เรียนหนังสือ!’
ความคิดต่อมาก็ผุดขึ้นตามสัญชาตญาณ ‘สวี่ผิงจื้อไม่ใช่คน’
สมุหราชเลขาธิการหวางลอบพยักหน้า การกระทำของสวี่ชีอันทำให้เขารู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้นทันใด นี่เป็นแผนโต้ตอบที่เขาไม่นึกถึงมาก่อน
ตอนคดีเงินภาษี เขาไม่รู้ว่ามีบุคคลแบบสวี่ชีอันอยู่ เขามาสนใจอีกฝ่ายจริงๆ เป็นช่วงหลังจากคดีซังผอ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า อนาคตข้างหน้าของเด็กคนนี้ไร้ซึ่งขีดจำกัด
น่าเสียดายที่เป็นคนของเว่ยเยวียน หลังจากนี้คงเป็นได้เพียงศัตรู ไม่ใช่พันธมิตร
ตอนนี้เอง พร้อมกับการกล่าวอามิตตาพุทธ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วท้องฟ้า “จิ้งซือ เจ้าหมกมุ่นไปแล้ว”
ขณะเดียวกับที่คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน มันก็เข้ามาในม้วนภาพเช่นกันและดังขึ้นในหูของภิกษุจิ้งซือ
ภิกษุหนุ่มรูปงามเหมือนตื่นจากฝัน เขาชักมือกลับราวกับถูกไฟฟ้าช็อตและรีบพนมมือกล่าวอามิตตาพุทธไม่หยุด
ดวงตาค่อยๆ กลับมากระจ่างชัด
“สารเลว!”
สมุหราชเลขาธิการหวางปาแก้วทิ้งและลุกขึ้น เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ สำนักพุทธแพ้ไม่ได้เชียวหรือ”
ด้านหลังเว่ยเยวียน ฆ้องทองคำเก้าคนลุกยืนขึ้นพร้อมกันและจับด้ามดาบไว้
ภิกษุจิ้งเฉินเอ่ยเรียบๆ “ท่านโหราจารย์ยังลอบช่วยได้ เหตุใดสำนักพุทธถึงทำไม่ได้”
เขายืนกรานว่าดาบเดียวของสวี่ชีอันเมื่อครู่นี้เป็นท่านโหราจารย์แอบช่วย หรือฝังวิธีที่เกี่ยวข้องไว้ภายในร่างกายของเขาล่วงหน้า
สมุหราชเลขาธิการหวางยิ้มเยาะ “ความจริงในใต้หล้านี้ สำนักพุทธเช่นเจ้าพูดแล้วคนอื่นต้องเชื่อฟังหรือ เจ้าบอกว่าท่านโหราจารย์จะยื่นมือเข้ามาช่วย ท่านโหราจารย์ก็ยื่นมือเข้ามาช่วย”
เหล่าขุนนางระดับสูงแสดงสีหน้าโกรธออกมา แต่ยังถือว่ายับยั้งชั่งใจได้ ทว่าประชาชนกับชาวยุทธภพแสนเย่อหยิ่งที่ล้อมวงดูไม่สนใจ เสียงด่าทอดังขึ้นถึงขั้นเกิดการปะทะกับทหารรักษาวังขึ้น
“ลาหัวโล้นไร้ยางอาย คิดจะโกงกันชัดๆ พวกเราไม่สนหรอก ค่ายกลระดับเพชรพังไปแล้ว”
“สำนักพุทธไร้ยางอายเช่นนี้ หากการต่อสู้ในวันนี้สำนักพุทธชนะ พวกเราจะไม่ยอมรับ”
“…”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ฟังการด่าทอที่ดังสนั่นแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เขามองไปทางจิ้งเฉินและเอ่ยเรียบๆ “เหตุใดเจ้าถึงไม่หมกมุ่น”
“ศิษย์รู้ว่ามีความผิด” จิ้งเฉินก้มหน้า
…
ภิกษุที่อยู่ด้านนอกสนามได้ยินการสนทนาของข้ากับจิ้งซือ…ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ การต่อสู้มีทั้งด้านวาทศิลป์และด้านศิลปะการต่อสู้ ซึ่งอาศัยความสามารถทุกด้าน ด้านนอกสนามฝืนเข้ามาแทรกแซง นี่ก็เกินไป…สวี่ชีอันแอบหงุดหงิดในใจ
เขาหยุดพูดทันทีและนั่งขัดสมาธิฝึกลมหายใจ
หนึ่งเค่อต่อมา สวี่ชีอันลืมตาขึ้น หยิบดาบยาวสีดำทองและเก็บเข้าไปในฝักดาบ
สวี่ชีอันจับด้ามดาบและเอ่ยเสียงดัง “ข้าจะชักดาบเพียงแค่ครั้งเดียว เมื่อดาบนี้พุ่งไป เป็นตายก็รับผิดชอบเอง”
เสียงดังผ่านม้วนภาพออกไปถึงข้างนอก
‘ชักดาบเพียงแค่ครั้งเดียวหรือ?!’
ไม่ว่าจะมือสมัครเล่นหรือผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะสามัญชนหรือขุนนาง หลังจากได้ยินประโยคนี้ พวกเขาต่างก็รู้สึกคาดไม่ถึง
‘เป็นคำพูดโกรธเกรี้ยวหรือ’
สวี่ชีอันตกตะกอนอารมณ์ทั้งหมดและระงับพลังปราณทั้งหมด กลิ่นอายภายในร่างกายพังทลายลงภายใน จุดตันเถียนราวกับหลุมดำ นี่คือกระบวนการสะสมพลังที่จำเป็นอย่างยิ่งของดาบเดียวตัดฟ้าดิน
ในเมื่อพวกเจ้าโกง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าโกงแล้วกัน…เขาหลับตาลง พลังวิญญาณพังทลายและลดลงไปพร้อมๆ กันเชื่อมเข้ากับพลังเลือดลมมหาศาลภายในร่างกาย
นั่นคือแก่นโลหิตของไต้ซือเสินซู
ระหว่างทางที่กลับจากอวิ๋นโจวมายังเมืองหลวง สวี่ชีอันดูดซับแก่นโลหิตหยดนี้และอาศัยแก่นโลหิตของทหารอมตะฟื้นจากความตาย แต่พลังบางส่วนยังคงตกตะกอนอยู่ภายในร่างกายของเขา
เมื่อเห็นพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ให้จิ้งซือเข้าสู่ค่ายกล สวี่ชีอันก็รู้ทันทีว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง ‘ระดับเพชร’ รูปนี้ได้และยังเป็นระดับเพชรไร้พ่ายที่มีพลังเสริมลึกลับของสำนักพุทธอีก อาศัยเพียงพลังของสวี่ชีอันไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจตัดได้
เวลานั้นเขาจึงซ่อนตัวอยู่ในสำนักโหราจารย์และสื่อสารกับไต้ซือเสินซู สำนักโหราจารย์เป็นอาณาเขตของโหร เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์จะสังเกตเห็น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง