ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 292

บทที่ 292 มหายานธรรม (1)

“สรรพสิ่งล้วนมีจิตใจ หากถนอมความเมตตากรุณาในหัวใจได้ และสัมผัสได้ถึงสรรพสิ่งแล้วไซร้ เหตุใดจึงต้องยึดติดกับถ้อยคำของมนุษย์เล่า”

ภิกษุเฒ่าประสานมือ วางท่าสงบ ไม่โกรธเคืองต่อคำพูดของสวี่ชีอัน

เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องพูดภาษาต้าฟ่งกับข้าก็ได้ พูดภาษาถิ่นจากแดนประจิมของเจ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด…สวี่ชีลอบอันบ่นในใจ แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“บอกมาตามตรงเลยดีกว่าว่าจะประลองกันอย่างไร อย่าได้เล่นลิ้นปลิ้นปล้อนกับข้า”

“ประสกนั้นยึดติดไปแล้ว เหตุใดจึงต้องประลองกันอีก” ภิกษุเฒ่าเผยรอยยิ้มบาง

“นี่เป็นการประลองที่สำนักพุทธอย่างพวกท่านเสนอแท้ๆ ไต้ซือมีเจตนาก่อกวนเช่นนี้ ไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีของสำนักพุทธบ้างหรือ” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

“เมื่อครู่ที่เชิงเขาประสกกล่าวว่า นักบวชละแล้วซึ่งทุกสิ่ง” สีหน้าของภิกษุสงบนิ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเนิบช้าต่อไป “ในเมื่อสละแล้วซึ่งทุกสิ่ง ศักดิ์ศรีจะมีค่าอันใด”

“ก็ได้ แล้วไต้ซือคิดจะทดสอบข้าอย่างไร” สวี่ชีอันระงับอารมณ์เอาไว้

เขารู้สึกถึงความยุ่งยากเข้าแล้ว สิ่งที่น่ากลัวกว่าพวกเกรียนคีย์บอร์ดก็คือพวกเขาไม่พูดภาษามนุษย์ อย่างน้อยพวกเกรียนคีย์บอร์ดจะพยายามไขว่คว้าหาช่องโหว่ในคำพูดเพื่อหยิบยกมาหักล้าง

ทว่าผู้ที่ไม่พูดภาษามนุษย์ ไม่ว่าจะบอกกล่าวอะไรอีกฝ่ายย่อมไม่สนใจ รังแต่จะพูดภาษาของตนเองท่าเดียว หากไม่อาจทำความเข้าใจ แสดงว่ายังไม่เก่งพอ

แต่ถึงแม้จะพยายามทำความเข้าใจอย่างสุดความสามารถ ถึงกระนั้นก็ไร้ประโยชน์ เพราะอีกฝ่ายย่อมเพิกเฉยต่อเราอยู่ดี

“ชีวิตคือการฝึกตน การที่ประสกเข้ามาในแดนลับแห่งศาสนาพุทธเช่นนี้ ก็ถือเป็นการฝึกตนวิธีหนึ่ง” ภิกษุเฒ่ากล่าวยิ้มๆ

“ฝึกตนอย่างไร ไต้ซือโปรดชี้แนะ”

“การฝึกตนนั้นขึ้นอยู่กับบุคคล เหตุใดจึงถามไถ่เอาจากอาตมาเล่า”

ฝึกข้างบ้านแม่แกสิ! จะไม่ยอมพูดภาษาคนดีๆ ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นข้าไม่เล่นด้วยแล้ว จู่ๆ ไฟปริศนาพลันพวยพุ่งออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของสวี่ชีอัน เขาเลิกสนใจภิกษุเฒ่าแล้วเดินจากไป

แต่กลับมีบางสิ่งขวางกั้นเขาไว้

“ข้ามีความคิดอยู่ประการหนึ่ง” สวี่ชีอันยิ้มเย็นแล้วหันกลับมา พลางกระชับด้ามดาบในมือ “ไม่ทราบว่าไต้ซือผู้สละทิ้งทุกสิ่งอย่าง จะสามารถรับดาบของข้าได้หรือไม่”

“อมิตตาพุทธ เช่นนั้นก็ลองดู”

ภิกษุเฒ่าขมวดคิ้วแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อาตมาคือความลุ่มหลงของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์[1]ก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้”

พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ลำดับหนึ่งหรือ?!

สวี่ชีอันปล่อยมือด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ไต้ซือ เมื่อครู่เราสนทนากันถึงไหนแล้วนะ”

ภิกษุเฒ่าตอบตามตรง “ประสกจะให้อาตมารับดาบของประสก”

“ไต้ซือ!”

สวี่ชีอันขึ้นเสียงอย่างดุดัน เดินดุ่มๆ เข้าไปหาภิกษุเฒ่า นั่งขัดสมาธิลงประนมมือ แล้วกล่าวติเตียน

“ศาสนาพุทธทำได้เพียงเข่นฆ่าเท่านั้นหรือ หรือว่าความเป็นความตายของคนในศาสนาพุทธนั้นขึ้นอยู่กับการเข่นฆ่าเท่านั้น ไต้ซือ เรามาคุยเรื่องเงินทองกันบ้างดีหรือไม่”

“เมื่อครู่สุนัขรับใช้เขา เขากลัวหัวหดไปแล้วหรือ” ยายตัวร้ายกระซิบกระซาบ พลางหันไปมองฮว๋ายชิ่ง

ฮว๋ายชิ่งเหล่มองนางด้วยสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงราบเรียบ “แค่เปลี่ยนกลยุทธ์เท่านั้น ตำราพิชัยสงครามเรียกว่า ล้มกลยุทธ์ด้วยกลยุทธ์ ตอบโต้ศัตรูด้วยวิธีเดียวกัน”

ยายตัวร้ายเข้าใจในทันที ทั้งยังคิดว่าตนเป็นคนใจแคบ สุนัขรับใช้ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดต่างหาก

เขาก็แค่กลัว…หลินอันไร้สมองจนหลอกง่ายเหลือเกิน! ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้าและมองดูน้องสาวของตนด้วยความสงสาร

เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นความลุ่มหลงของ ‘พระโพธิสัตว์’ แล้ว สวี่ชีอันก็แก้ไขข้อขัดแย้งอย่างมีชั้นเชิง ทำให้ผู้ชมภายนอกประหลาดใจกันเป็นแถว

รู้เท่าทันสถานการณ์สมเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่อง

อย่างไรก็ตาม การกระทำเมื่อครู่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูโดดเด่นและน่าสนใจยิ่งขึ้น อย่างน้อยพวกขุนนางก็คิดว่าฆ้องเงินท่านนี้ช่างน่าสนใจมากทีเดียว

“เขารู้ทันเหตุการณ์ ด่านนี้หากใช้กำลังเข้าห้ำหั่น มีหวังพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย” หนานกงเชี่ยนโหรวพ่นลมหายใจเย็นชา

เจ้าเด็กคนนี้นี่…เหล่าฆ้องทองส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ บางคนอยากจะหัวเราะ แต่เห็นทีคงไม่เหมาะกับกาลเทศะเท่าไร

บางครั้งก็ดูไม่มีแววทหารเลย ขี้ขลาดขึ้นมาเสียดื้อๆ ไม่มีทั้งความกดดัน ภาระทางจิตใจก็ไม่มี แต่เขาก็ยังเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ผู้มีความสามารถเยี่ยมยอด

“พ่อบุญธรรม ปริศนาในด่านนี้อยู่ที่ใดหรือขอรับ” หยางเยี่ยนถาม

ฆ้องทองคำทั้งหมดมองไปที่เว่ยเยวียน รอคำตอบจากเขา โดยไม่ฉุกคิดว่าเว่ยเยวียนไม่ใช่สายลับของสำนักพุทธ เขาจะทราบได้อย่างไรว่าด่านที่สามเป็นอย่างไร

เว่ยเยวียนไม่สนใจพวกเขา

เวลานี้ ในซุ้มไม้ของราชวงศ์ หญิงสาวในชุดนางในสีแดงป้องปากด้วยมือสองข้างต่างโทรโข่ง แล้วตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานใส “นี่ เจ้าลาหัวล้าน ด่านนี้จะแข่งขันอะไร ใช่คาถาภิกษุเฒ่าหรือไม่”

หญิงสาวผู้มีใบหน้ากลมและนัยน์ตารูปผลท้อวาววับเป็นประกาย เมื่อมองแวบแรก เธอเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์น่ารักใคร่ น่าเย้ายวนอย่างยิ่ง

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ไม่ต้องการตอบกลับ แต่เมื่อเห็นว่าฝ่ายที่ถามเป็นถึงองค์หญิง จึงอธิบายไปตามมารยาท “ด่านที่สาม ไม่มีเนื้อหา”

ทันทีที่กล่าวคำนี้ออกมา บรรดาเจ้าขุนมูลนายทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริด

“ไม่มีเนื้อหา หมายความว่าอย่างไร” ยายตัวร้ายใช้สองมือทุบโต๊ะดัง ‘ปัง ปัง’ เพื่อแสดงความไม่พอใจของตน

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เพียงแต่ส่ายหน้าและยิ้มโดยไม่พูดอะไร

ฆ้องทองคำก็ตระหนักได้ทันที มิน่าเล่าเมื่อครู่เว่ยกงจึงไม่พูดอะไร ที่แท้ก็ไม่มีเนื้อหานี่เอง แต่ถ้าไม่มีเนื้อหา จะประลองกันอย่างไร

ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน องค์หญิงฮว๋ายชิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงใสกระจ่างราวกับหยกปะทะกัน ฟังแล้วชวนให้รื่นรมย์และเคร่งขรึมจริงจัง

“ไม่มีหัวข้อหรือ!? หมายความว่าไม่ว่าฆ้องเงินสวี่จะตอบสนองอย่างไร สำนักพุทธก็จะไม่ตอบโต้หรือยอมรับ และจะกักขังเขาไว้ในแดนลับไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้สินะ”

คำพูดเดียวปลุกคนให้ตื่นจากฝัน!

ขุนนางบุ๋นที่อยู่กระจัดกระจายในซุ้มไม้ มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

หลังจากขบคิดจนถี่ถ้วน ก็พบว่าจริงดั่งที่พูด ไม่ว่าด่านนั้นจะยากเย็นเพียงใด ขอเพียงมีหัวข้อ ย่อมต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่จัดการยากและไร้หนทางที่สุดก็คือการต่อสู้ที่ไม่มีเนื้อหา มีพื้นที่ให้โจมตีมากมาย ไม่ว่าจะประลองยุทธ์หรือประลองปัญญา สำนักพุทธก็สามารถลงมติคว่ำผลการตัดสินได้ทั้งสิ้น

สำนักพุทธจะคงตำแหน่งผู้ไร้พ่ายไว้ได้ตลอดกาล

“แบบนั้นมันอันธพาลแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อท่านอยากประลอง ก็กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาสิ จะประลองยุทธ์หรือประลองปัญญา พวกท่านสำนักพุทธก็รีบบอกมาเสียก็สิ้นเรื่อง แล้วนี่มันอะไรกัน”

“ชัยชนะที่ได้มาด้วยกลโกง เห็นทีจะเป็นชัยชนะจากการเอารัดเอาเปรียบเสียแล้วกระมัง”

“ท่านสมุหราชเลขาธิการ ฝ่าบาทไม่อยู่ที่นี่ ท่านโปรดพูดอะไรบ้างเถิด”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง