ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 296

สรุปบท บทที่ 296 สองบทสนทนา: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 296 สองบทสนทนา – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 296 สองบทสนทนา จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 296 สองบทสนทนา

“ราชครู ราชครู”

หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าตะโกนเรียกสองสามครั้งและพบว่าลั่วอวี้เหิงมีสีหน้าตะลึงงัน สายตาล่องลอยเหมือนกับหยกงาม งดงาม แต่ไม่ปราดเปรื่อง

หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าเอื้อมมือไปผลัก แต่ก็ถูกกำแพงปราณขวางไว้

เมืองชั้นนอก ลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง

แสงสลัวที่คนธรรมดาไม่อาจจับได้พุ่งลงมาและตกลงในลาน กลายเป็นหญิงงามที่สวมชุดคลุมเต๋าสีดำและมงกุฎดอกบัวบนศีรษะ

นางมีดวงตากลมโตและแก้มสีพีช ใบหน้างดงาม ผมสีดำสลวย ชุดคลุมเต๋าหลวมโคร่งก็ไม่อาจซ่อนเนินอกอันน่าภาคภูมิใจได้

ลั่วอวี้เหิงผลักประตูเข้าไป เห็นนักบวชเฒ่าผมหงอกขาวคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าสงบนิ่ง

นางรวบรวมสมาธิครู่หนึ่ง ยื่นมือเปล่าออกมาจากในชุดคลุมเต๋าหลวมโคร่งและคว้าไว้ในทันที

ไม่กี่อึดใจต่อมา ร่างที่ลวงตาเล็กน้อยก็กลับมาจากที่ไกลๆ และถูกนางดูดเข้าไปในฝ่ามือ นางสะบัดแขนเสื้อและส่งเข้าไปในร่างเนื้อของนักบวชเฒ่า

นักบวชเต๋าจินเหลียนลืมตาขึ้น นั่งขัดสมาธิและเอ่ยอย่างจำใจ “ข้ากำลังเร่งรุดเดินทางกลับมา”

ขณะที่พูด นักบวชเต๋าจินเหลียนก็มองพินิจเรือนร่างสูงโค้งเว้าของลั่วอวี้เหิงและถามว่า “แม้แต่จิตหยางก็ถอด เร่งรีบเช่นนี้ ศิษย์น้องมีเรื่องสำคัญอันใดหรือ”

ลั่วอวี้เหิงไม่พูดจาไร้สาระและถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าได้ดูพิธีต้าวฮวดวันนี้หรือไม่”

นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า

“มีดแกะสลักของลัทธิขงจื๊อปรากฏขึ้น”

นักบวชเต๋าจินเหลียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้าเล็กน้อย

“ข้าขอถามเจ้า สวี่ชีอันเป็นใครกันแน่” ลั่วอวี้เหิงก้าวไปข้างหน้า ดวงตาของนางเป็นประกาย

“เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง” คำตอบของนักบวชเต๋าจินเหลียนลังเลเล็กน้อย

“คนธรรมดาสามารถใช้มีดแกะสลักของลัทธิขงจื๊อได้หรือ” ลั่วอวี้เหิงยิ้มเย็น

นักบวชเต๋าจินเหลียนขมวดคิ้วและไม่พูดอะไร

หลังจากนั้นพักใหญ่ เขาก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “ตอนที่ข้าพบเขา ข้าเห็นว่าเขาเป็นคนดวงดีโชคหนัก จึงมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้เขา และหยิบยืมความโชคดีของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงการตามรอยของจื่อเหลียน หลังจากนั้น ข้าก็ตรวจสอบตัวตนของเขารู้สึกว่ามันแปลกประหลาดไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นหลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่น หรือคนอื่นๆ เมื่อข้ามอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้พวกเขา เกือบทุกคนก็มีพลังเพิ่มขึ้น มีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้นที่อยู่ระดับหลอมจิต ภูมิหลังครอบครัวของเขายิ่งธรรมดา เช่นนั้นความโชคดีมาจากที่ใด อา ความโชคดีต้องสร้างกุศลสะสมบุญหรือมีบรรพบุรุษให้พร ทว่าเขาไม่มีทั้งสองอย่าง”

ลั่วอวี้เหิงอดทนฟังโดยไม่ขัดจังหวะ

“หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น ซึ่งทำให้ข้าตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของเขาผิดปกติ…ครั้งหนึ่ง เด็กคนนี้เปิดเผยตัวตนในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขาบอกว่าเขาเก็บตำลึงเงินได้ทุกวัน จึงต้องการทราบเหตุผล”

เมื่อฟังถึงตรงนี้ ลั่วอวี้เหิงก็อดพูดไม่ได้ “นี่ไม่ใช่ความโชคดี”

นักบวชเต๋าจินเหลียนจ้องมองนาง แววตาลุ่มลึกและสว่างไสว เขาเอ่ยคำต่อคำ “นี่คือโชคชะตา โชคชะตาที่ยิ่งใหญ่”

แม้จะเป็นการคาดเดา แต่เมื่อได้รับคำยืนยันของนักบวชเต๋าจินเหลียน รูม่านตาของลั่วอวี้เหิงก็หดลงทันที

สวี่ชีอันลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกาย โดยเฉพาะลำคอ เขารู้สึกเจ็บปวดราวกับไฟแผดเผา

เขากลอกตาและกวาดตามองทิวทัศน์รอบๆ ม่านเตียงสีขาว ผ้าห่มที่ปักลายใบบัว เครื่องเรือนเรียบๆ แต่หรูหรา…ที่โต๊ะกลมในห้องโถงด้านนอกมีชายชราที่สวมชุดขงจื๊อคนหนึ่งนั่งอยู่

ผมหงอกขาวของชายชราในชุดขงจื๊อยุ่งเหยิงห้อยลงมา ชุดขงจื๊อหลวมโคร่ง หนวดเคราสีเทาก็ไม่ได้ตัดเล็มมาเป็นเวลานาน ทั่วทั้งร่างแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของ ‘ซากศพ’

ชายชราท่าท่างถากถางคนนี้เป็นใครกัน ความสงสัยผุดขึ้นในใจของสวี่ชีอัน

“เจ้าตื่นแล้ว” ชายชราท่าท่างถากถางลุกขึ้นและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็นเจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นลู่ นามจ้าวโส่ว”

เจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นลู่…ฉือจิ้วเคยบอกว่า เจ้าสำนักของสำนักเป็นระดับก่อชะตาระดับสามแห่งลัทธิขงจื๊อ! สวี่ชีอันยืดตัวตรงทันทีและประสานมือคารวะ

“ที่แท้ก็เป็นเจ้าสำนัก กิริยาท่าทางของเจ้าสำนักไม่ธรรมดา ดูสง่างามและสงบเสงี่ยม เป็นผู้อาวสุโสที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง”

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เหตุใดเจ้าสำนักถึงมาอยู่ในห้องของข้าขอรับ”

เจ้าสำนักจ้าวโส่วไม่ได้ตอบ สายตาจับจ้องไปที่มือขวาของเขา สวี่ชีอันถึงพบว่าตัวเองถือมีดแกะสลักไว้ตลอดมา

เขาชะงักไปและคาดเดา มีดแกะสลักเล่มนี้เป็นของสำนักอวิ๋นลู่หรือ ใช่ นอกจากสำนักอวิ๋นลู่ ยังมีระบบอื่นที่สามารถเค้นความชอบธรรมออกมาได้อีกหรือ

“มีดแกะสลักเล่มนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักข้า เจ้าถือมันไว้ในมือตลอดและไม่มีผู้ใดสามารถเอาไปได้ ข้าจึงต้องรอเจ้าตื่นอยู่ที่นี่และถามอะไรบางอย่างกับเจ้า”

เมื่อพูดจบ จ้าวโส่วก็มองมีดแกะสลักโบราณอีกครั้ง สายตานั้นราวกับกำลังพูดว่า ‘ยังจะถือไว้อีกหรือ คนหนุ่มช่างขลาดเขลานัก’

สวี่ชีอันยื่นให้ด้วยมือทั้งสองข้าง

จ้าวโส่วไม่ได้รับ แต่มองไปที่โต๊ะ

สวี่ชีอันที่เข้าใจในทันทีโยนมีดแกะสลักลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงเคร้ง

จ้าวโส่วขมวดคิ้ว เขารีบโค้งคำนับและคำนับมีดแกะสลักสามครั้ง จากนั้นก็หยิบกล่องไม้ออกมาจากในแขนเสื้อและเก็บมีดแกะสลักเข้าไป

“ใต้เท้าสวี่รู้หรือไม่ว่ามีดแกะสลักมีความเป็นมาอย่างไร” จ้าวโส่วยิ้ม

จิตใจของสวี่ชีอันหวั่นไหวเล็กน้อย เขาคาดเดาอย่างใจกล้า “มีดแกะสลักของรองปราชญ์เอกหรือขอรับ”

จ้าวโส่วส่ายหน้า “นี่เป็นมีดแกะสลักของปราชญ์”

มีดแกะสลักของปราชญ์…เป็นปราชญ์คนนั้นหรือ เป็นปราชญ์ที่อยู่เหนือระดับคนนั้นหรือ…เช่นนั้น ข้าขอสัมผัสมีดแกะสลักอีกสักนิดได้หรือไม่ ข้ายังไม่ได้ถ่ายรูปส่งให้กลุ่มเพื่อนเลย…สวี่ชีอันอ้าปาก แต่ลำคอราวกับสูญเสียเสียง เขาจึงพูดไม่ออก

“ตั้งแต่รองปราชญ์เอกเสียชีวิต มีดแกะสลักเล่มนี้ก็สงบเงียบไปกว่าพันปี แม้ว่าคนรุ่นหลังจะสามารถใช้มันได้ แต่ก็ไม่อาจปลุกมันขึ้นมาได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะทำลายกล่องออกมาเพื่อช่วยใต้เท้าสวี่”

จ้าวโส่วมองสวี่ชีอันอย่างตั้งใจและเอ่ยเสียงขรึม “มีบางสิ่งที่ข้าต้องเตือนใต้เท้าสวี่ต่อหน้า”

ใจของสวี่ชีอันหล่นตุบ ด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง เขาลุกขึ้นจากเตียงและโค้งคำนับ “เจ้าสำนัก โปรดชี้แนะด้วย”

ในคำพูดของเจ้าสำนักไขความสงสัยที่รบกวนจิตใจสวี่ชีอันมาเป็นเวลานานในที่สุด โชคแปลกๆ ของเขา อันที่จริงก็คือโชคชะตา

การเก็บตำลึงเงินได้ทุกวัน นี่ไม่ใช่เด็กแห่งโชคชะตาหรือ…หนึ่งวันเก็บได้หนึ่งตำลึงและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหนึ่งวันเก็บได้สามตำลึง หนึ่งวันเก็บได้ห้าตำลึง…ยังเป็นโชคชะตาที่เพิ่มขึ้นอีก ไม่ แทนที่จะบอกว่าเพิ่มขึ้น ต้องบอกว่ามันค่อยๆ ฟื้นฟูอยู่ภายในร่างกายของข้ามากกว่า…ใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง

เขาจะคิดเช่นนี้ก็มีเหตุผล เมื่อระดับของเขาเพิ่มขึ้น โชคก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มองแวบแรกดูเหมือนโชคกำลังเพิ่มขึ้น แต่สิ่งนี้จะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวคือโชคชะตาภายในร่างกายของเขากำลังฟื้นฟูอย่างช้าๆ

แต่ข้าเป็นเพียงลูกของคนธรรมดาในเมืองหลวงและบ้านสกุลสวี่ของข้าก็เป็นเพียงครอบครัวธรรมดา อารองกับพ่อผู้ให้กำเนิดก็เป็นทหารที่หยาบกระด้าง เป็นทหารคนหนึ่ง นอกเสียจากข้าจะไม่ใช่ลูกของบ้านสกุลสวี่

ความสงสัยนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะในพระราชวังมีมังกรเลีย…ขีดฆ่าไป มีมังกรวิญญาณ ซึ่งโปรดปรานเขามาก นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกว่า มังกรวิญญาณชอบเพียงแค่คนที่มีปราณม่วงติดกายเท่านั้น

เวลานี้สวี่ชีอันคิดในใจว่า โธ่เอ๊ย จบแล้วๆ ข้ายังคงคิดถึงความงามของฮว๋ายชิ่ง ข้าคงไม่ใช่ลูกนอกสมรสขององค์ชายคนใดในราชวงศ์กับสามัญชนหรอกนะ

แต่ใบหน้าก่อน ‘ทำศัลยกรรม’ ของสวี่ชีอันค่อนข้างคล้ายคลึงกับอารองสวี่ วิเคราะห์จากมุมมองทางพันธุกรรม ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด

สวี่ชีอันเป็นลูกของบ้านสกุลสวี่และเป็นลูกชายของพี่ชายสวี่ผิงจื้อ แม้ว่าจะเป็นลูกนอกสมรสของสวี่ผิงจื้อ แต่เขาก็ยังคงเป็นลูกหลานของบ้านสกุลสวี่

เนื้อแท้ไม่เปลี่ยนแปลง

เช่นนั้น โชคชะตามาจากไหน

เจ้าสำนักจ้าวโส่วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “โชคชะตานี้ลึกลับอย่างยิ่ง แต่ก็มีอยู่จริง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาในจิ่วโจวมีสามอย่าง หนึ่ง ลัทธิขงจื๊อ สอง โหร สาม จักรพรรดิแห่งแผ่นดิน อย่างที่สามไม่ได้จำกัดแค่ต้าฟ่ง สำนักพ่อมดกับสำนักพุทธแดนประจิมก็เช่นเดียวกัน ส่วนชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือกับทางใต้ ชนเผ่าทางเหนือกระจัดกระจายกันไปและไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกัน จำนวนคนในชนเผ่าทางใต้ก็เบาบางและไม่อาจควบแน่นโชคชะตาได้”

ลัทธิขงจื๊อกว่าครึ่งไม่เกี่ยวข้องกับข้า มิเช่นนั้น เจ้าสำนักคงไม่บ่นเรื่องพวกนี้กับข้า…เช่นนั้นเหตุผลที่ข้ามีโชคชะตาติดกายก็มีเพียงสองเหตุผล ราชวงศ์กับสำนักโหราจารย์ หากข้าเป็นทายาทของราชวงศ์ นั่นก็จบสิ้นแล้ว หลินอันกับฮว๋ายชิ่งเป็นพี่สาวของข้าหรือญาติผู้พี่ แต่ท่าทีของมังกรวิญญาณแสดงให้เห็นว่าไม่มีทางที่ข้าจะเป็นทายาทของราชวงศ์ เมื่อเทียบกับลูกนอกสมรสที่ได้สามัญชนค้ำจุน องค์ชายกับองค์หญิงที่มีภูมิหลังครอบครัวดีก็สมควรกว่าไม่ใช่หรือ อีกอย่าง ข้าก็ไม่เห็นว่ายายตัวร้ายกับฮว๋ายชิ่งจะเก็บตำลึงเงินได้ทุกวัน ตอนนี้ความสัมพันธ์ของข้ากับหลินอันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์กับฮว๋ายชิ่งก็ไม่เลว แถมข้ายังได้เป็นท่านจื่ออีก ในอนาคตก็อาจเลื่อนจากท่านจื่อเป็นท่านป๋อ เท่านี้ข้าก็มีหวังได้แต่งงานกับองค์หญิงแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับราชวงศ์ได้

เมื่อรวมกับท่าทีและสีหน้าของท่านโหราจารย์ก่อนหน้านี้ สวี่ชีอันสงสัยว่าเรื่องนี้กว่าครึ่งเกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์ ไม่ เกี่ยวข้องกับท่านโหราจารย์

เมื่อเห็นว่าเขาเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก เจ้าสำนักจ้าวโส่วก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังมีอะไรอยากถามอีกหรือไม่”

มีอะไรอยากถามหรือ…อืม เจ้าสำนัก หอกของสวี่ชีอันจะไม่มีวันล้มลง…ท่านคิดว่าประโยคนี้มันจะเป็นไปได้หรือไม่ ขอคำพูดที่เป็นไปได้ให้ข้าสักประโยคเถิด สวี่ชีอันคิดในใจ

ภายนอก เขาส่ายหัว “ไม่มีขอรับ ขอบคุณเจ้าสำนักที่ไขข้อข้องใจให้ข้า”

จ้าวโส่วพยักหน้า “ขันทีในวังรออยู่ข้างนอกนานแล้ว เชิญเขาเข้ามาเถิด ฝ่าบาททรงมีเรื่องต้องการจะถามเจ้า”

ขันทีในวังหรือ

สวี่ชีอันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงรู้จุดประสงค์ที่ขันทีมาหาเขา

ระหว่างพิธีต้าวฮวด เขาสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ถึงสองครั้งและทำลาย ‘ค่ายกลแปดทุกข์’ กับ ‘ค่ายกลระดับเพชร’ นี่คือการระเบิดที่เกินขีดจำกัดพลังของเขา

แม้ว่า ‘คนฉลาด’ บางคนจะคาดเดาได้ว่าท่านโหราจารย์แอบช่วย แต่คำถามตามธรรมเนียมเป็นสิ่งที่ไม่อาจสลัดได้

และ…สวี่ชีอันมองจ้าวโส่ว มีดสองเล่มแรกยังสามารถโยนให้ท่านโหราจารย์ได้ แต่มีดแกะสลักของสำนักปรากฏขึ้นและทำลายแดนพุทธ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านโหราจารย์จะควบคุมได้

จักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นจักรพรรดิที่มีความกระหายอยากกำกับควบคุมอย่างแรงกล้า ฉะนั้นเขาคงไม่เมินเฉยต่อรายละเอียดเหล่านี้…หากตอบไม่ดี ข้าอาจจะมีปัญหาและเปิดเผยสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยได้ ตัวอย่างเช่น…มีดแกะสลักถูกข้าเรียกมา

สวี่ชีอันสวมเสื้อผ้ากับหมวกให้เรียบร้อย แล้วไปที่ห้องโถงพร้อมกับเจ้าสำนักจ้าวโส่ว

……………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง