ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 295

บทที่ 295 ความตระหนกของลั่วอวี้เหิง

ชั้นบนสุดของหอดูดาว ท่านโหราจารย์ไม่รู้ว่าออกมาจากแท่นแปดทิศเมื่อไรสายตาของเขาจับจ้องไปที่มีดแกะสลักในมือของสวี่ชีอันด้วยสายตาเฉียบคม

‘เจ้าก็เลือกเขาเช่นกันหรือ…’ เวลานี้ ‘ชาย’ ผู้เฝ้ามองเมืองหลวงมานานกว่าห้าร้อยปี และอยู่ภายในใจประชาชนของต้าฟ่ง พึมพำกับตัวเองในก้นบึ้งของหัวใจ

“ฮ่าๆๆ…”

จักรพรรดิหยวนจิ่งแหงนหน้าคำราม มือสองข้างไขว้หลัง เขายืนฟังเสียงปีติยินดีของเหล่าราษฎรอยู่ในอาคารที่สูงเป็นอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง นี่คือชัยชนะแห่งต้าฟ่งและชัยชนะของเขา

คราวนี้สำนักพุทธก็อยู่ใต้เท้าของเขาแล้ว

“เยี่ยมมากที่ไม่คุกเข่า” จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดถอนใจ “หลายปีแล้ว หลายปีแล้วที่เมืองหลวงไม่มีอัจฉริยะหนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้”

“กรี๊ด…”

ยายตัวร้ายระเบิดเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูออกมาและย่ำเท้าอย่างตื่นเต้น “ชนะแล้ว ฮว๋ายชิ่ง เจ้าสุนัขรับใช้ชนะแล้ว เขาเป็นคนของข้า เขาเป็นคนของข้า”

ฮว๋ายชิ่งมองไปทางสวี่ชีอันที่หมดสติ ดวงตาคู่งามราวกับหมกมุ่นอยู่

นางเป็นผู้หญิงที่โดดเด่น สูงส่งและหยิ่งผยอง แม้ว่าจะเป็นจอหงวน สำหรับฮว๋ายชิ่งก็ยังแค่เป็นที่น่าพอใจ ในเมืองหลวงมีอัจฉริยะมากมาย แต่ผู้ที่สามารถทำให้องค์หญิงชื่นชมได้อย่างแท้จริงมีเพียงเว่ยเยวียนคนเดียวเท่านั้น

เจ้าสำนักจ้าวโส่วเป็นผู้อาวุโสที่สมควรได้รับการเคารพนับถือ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นางชื่นชม

ในเวลานี้เอง ฮว๋ายชิ่งหวนนึกถึงเกียรติประวัติต่างๆ ของสวี่ชีอัน คดีเงินภาษียังขาดประสบการณ์ เขาแอบวางแผนใส่ร้ายลูกชายของรองเจ้ากรมกรมการคลังโจวลี่ เพื่อกำจัดภัยแฝงไปให้หมดสิ้น

ต่อมาเขาก็เข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฟันฆ้องเงิน ติดคุกและได้รับคำสั่งในยามวิกฤตให้สืบสวนคดีซังผอ…เขาเกือบจะเสร็จสิ้นการสืบสวนคดีอวิ๋นโจวอย่างอิสระ ทว่าต่อมาก็เสียชีวิตในการรบท่ามกลางกองทัพกบฏสี่ร้อยคน เมื่อกลับเมืองหลวง…เขาก็ได้รับคำสั่งให้สืบสวนคดีพระสนมฝู

ในช่วงเวลานี้ เขาก็มีผลงานชิ้นเอกที่ตกทอดมาแต่โบราณกาลออกมาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้กลุ่มบัณฑิตได้รับขวัญกำลังใจ

จวบจนตอนนี้ เขาเข้าร่วมพิธีต้าวฮวดกับสำนักพุทธแทนสำนักโหราจารย์ ฟันดาบสองครั้งและบังคับนำความเชื่อมั่นของประชาชนในเมืองหลวงกลับมา

ครั้งสนทนาเต๋า เขาก็ทำให้ภิกษุเฒ่าผู้ลุ่มหลงใต้ต้นโพธิ์พ้นทุกข์ ทำให้พระอรหันต์ระดับสองผู้ยิ่งใหญ่ตรัสรู้และตระหนักรู้ในพุทธศาสนานิกายมหายาน

จากนั้น แสงใสก็พุ่งลงมาจากเหนือท้องฟ้าและเขาก็ทำลายธรรมลักษณะด้วยการโจมตีครั้งเดียวและทำลายของวิเศษของพระอรหันต์

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งไม่เคยเห็นผู้ชายที่โดดเด่นเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยเลย

เหล่าญาติผู้หญิงต่างส่งเสียงเชียร์ เหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือน ทหารและขุนนางต่างก็หัวเราะเสียงดัง…ท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ราวกับระเบิด สวี่ผิงจื้อนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ราวกับว่าหมดเรี่ยวแรง

อีกนิดเดียว เขาก็ถูกสำนักพุทธแย่งชิงไปด้วยมือขนาดใหญ่แล้ว

ท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงตะโกนอันเดือดพล่านของประชาชนในเมืองหลวง เจ้าของบ้านสวี่ชีอันกลับไม่มีใครสนใจ สวี่เอ้อร์หลางจึงเดินเข้าไปเงียบๆ และแบกพี่ใหญ่ไว้บนหลัง

‘สุดท้ายก็เป็นข้าคนเดียวที่ต่อกรกับทุกอย่าง…’ สวี่เอ้อร์หลางคิดในใจ

เขาแบกสวี่ชีอันไว้บนหลังและเดินไปทางหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ดวงตาเหลือบไปเห็นมีดแกะสลักที่สวี่ชีอันกำไว้ในมือแน่น

‘นี่คืออะไร ดูเหมือนกับมีดแกะสลัก’

ดูจากรูปทรงน่าจะเป็น ‘พู่กันหมึก’ ที่ปัญญาชนในสมัยโบราณใช้ สมัยนั้นยังไม่มีกระดาษ จึงเขียนตัวอักษรบนไม้ไผ่ ปัญญาชนจะถือมีดแกะสลักและเขียนความสามารถอันยิ่งใหญ่บนไม้ไผ่

‘มีดแกะสลักนี่มาจากไหน…’ เขารอจนไม่มีใครสังเกตและแอบขโมยมันมาจากมือของพี่ใหญ่! สวี่เอ้อร์หลางอยากได้นิดหน่อย โบราณวัตถุประเภทนี้ดึงดูดปัญญาชนอย่างมาก

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ยืนอยู่กับที่อย่างไร้จิตวิญญาณ ไม่ใช่เพราะเขาเสียใจที่อาวุธเวทมนตร์บาตรพระทองคำถูกทำลาย แต่เขาเสียใจที่ชาวพุทธที่เกิดมาพร้อมรากปัญญาไม่ได้เปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ

“อาจารย์ปู่…”

ภิกษุจิ้งเฉินมองแผ่นหลังของสวี่เอ้อร์หลาง มองสวี่ชีอันที่อยู่บนไหล่ของเขาและเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ประสกสวี่เป็นอัจฉริยะที่สวรรค์ประทานให้แก่สำนักพุทธ เป็นผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายมหายาน อาจารย์ปู่ต้องพาเขากลับไปยังแดนประจิมให้จงได้”

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ครุ่นคิดอยู่นานและถอนหายใจยาว “ช่างเถิด โชคชะตายังมาไม่ถึง”

ภิกษุจิ้งเฉินไม่ยินยอม ราวกับเขาคิดอะไรอยู่ เขาหันกลับไปมองหอดูดาวและอ้าปาก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ

พิธีต้าวฮวดระหว่างสำนักพุทธกับสำนักโหราจารย์สิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลพวงของเหตุการณ์ที่ยอดเยี่ยมนี้ก็ยังดำเนินต่อไป

ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีน้ำเงินมอซอถือขวดเหล้าที่ว่างเปล่า ก้าวข้ามธรณีประตู เข้าไปในห้องโถงและเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์

“เถ้าแก่ ข้าได้ยินมาว่าขอเพียงแค่ข้าเล่าเรื่องพิธีต้าวฮวดให้ท่านฟัง ท่านก็จะให้เหล้าข้าฟรีหนึ่งขวดใช่หรือไม่”

เจ้าของร้านที่ไว้เคราแพะยิ้มและพยักหน้า “เจ้าสามารถดื่มไปพลางเล่าไปพลางได้และทางร้านยังจะมอบถั่วลิสงให้อีกหนึ่งจานด้วย”

ชายวัยกลางคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เดิมทีเขาอยากนำเหล้ากลับไปดื่มที่บ้าน แต่เจ้าของร้านให้มากเกินไป เขาจึงพูดว่า “ได้ เช่นนั้นก็ดื่มที่นี่ เร็ว นำถั่วลิสงมา”

เจ้าของร้านกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อให้เสิร์ฟเหล้าหนึ่งขวดกับถั่วลิสงหนึ่งจานให้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีน้ำเงินมอซอ

ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินดื่มเหล้าอึกหนึ่ง หยิบถั่วลิสงอีกสองเม็ดโยนเข้าปากและเอ่ยช้าๆ

“พระอรหันต์แห่งสำนักพุทธรูปนั้นโยนบาตรพระทองคำลงพื้น ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฟ้าร้องผสานกัน ท้องฟ้าจำแลงเป็นแดนพุทธ ภายในแดนพุทธนี้มีทั้งหมดสี่ด่าน ด่านแรกชื่อว่าต่ายกลแปดทุกข์ ด่านนี้ช่างน่าทึ่ง ว่ากันว่าภิกษุชั้นสูงแห่งสำนักพุทธใช้เพื่อขัดเกลาจิตพุทธ…ด่านที่สองชื่อว่าค่ายกลระดับเพชร เถ้าแก่รู้หรือไม่ว่าระดับเพชรที่ประจำการเป็นใคร”

ชายวัยกลางคนชำเลืองมองเจ้าของร้าน

“ไม่ใช่ภิกษุน้อยจากหนานเฉิงรูปนั้นหรือ” เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะเยาะ

“ใช่ ไม่ใช่ภิกษุน้อยหรือ” นักดื่มที่อยู่โต๊ะข้างๆ สมทบ

“พวกเจ้ารู้…” ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินตกตะลึง

“ไม่ใช่เพราะให้ฆ้องเงินสวี่ของพวกเราฟันดาบเดียวหรือ ระดับเพชรไร้พ่ายอะไรกัน ก็แค่เสือกระดาษ ถุย” สีหน้าของนักดื่มที่พูดเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในคนของเมืองหลวง

หากพูดถึงภิกษุน้อยจิ้งซือเมื่อวันก่อน พวกเขาคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและพูดว่า “ต้าฟ่งมียอดฝีมือมากมาย เพียงแค่ภิกษุน้อยรูปเดียวก็จัดการไม่ได้หรือ”

โกรธเกรี้ยวที่ไร้ความสามารถ

แต่ตอนนี้ เมื่อพูดถึงภิกษุน้อยระดับเพชรรูปนั้น แม้แต่ผู้คนในตลาดก็ยืดอกอย่างภาคภูมิใจและหัวเราะเยาะอย่างดูแคลน ไม่มากไปกว่านั้น

นี่คือหน้าตาที่สวี่ชีอันแย่งกลับมาทีละน้อยและความเชื่อมั่นที่สร้างขึ้นใหม่ทีละน้อยระหว่างพิธีต้าวฮวด

ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินมองเจ้าของร้านด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้แต่แรกแล้ว เหตุไฉนยังตั้งกฎข้อนี้ขึ้นมาอีก”

“ต่างคนก็มองเห็นต่างกัน เสริมส่วนที่ขาดไปด้วย” เจ้าของร้านยิ้มตาหยี “วันนี้ข้าเฝ้าร้านจึงไม่ได้ไปดูพิธีต้าวฮวด ช่างเป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ขอเพียงได้ลิ้มรสซ้ำๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นและดื่มเหล้าเล็กน้อย ความเสียใจก็จะเปลี่ยนเป็นความสุข”

ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินพยักหน้าและพูดต่อ “…หลังจากฆ้องเงินสวี่ออกมา เขาก็แต่งบทกวีไปทีละก้าว…”

“เดี๋ยวก่อน” จู่ๆ เจ้าของร้านก็เรียกให้หยุดและถามว่า “เมื่อทะเลไปถึงจุดสิ้นสุดจะมีท้องฟ้าเป็นชายฝั่ง เมื่อทหารไปถึงจุดสูงสุดจะมีข้าเป็นยอดเขา เจ้าแน่ใจหรือว่ามีบทกวีบทนี้ หลายคนก่อนหน้าก็พูดถึงส่วนนี้กับข้า แต่ก็ไม่ได้กล่าวไว้”

ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินพยักหน้าอย่างแรง “มี มีประโยคนี้ ข้าอ่านหนังสือมาสิบกว่าปี บทกวีไม่กี่ประโยคจะจำไม่ได้เชียวหรือ”

“อืม…มันแปลกๆ” เจ้าของร้านขมวดคิ้ว

เวลานี้มีชาวยุทธภพคนหนึ่ง ‘กระแอม’ หนึ่งทีและเอ่ยเสียงเบา “เถ้าแก่ ผู้ที่บอกเรื่องเหล่านี้กับท่านล้วนเป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพ”

เจ้าของร้านถามกลับ “มีปัญหาอะไรหรือ”

“เฮ้อ!” ชาวยุทธภพคนนั้นโบกมือ “คนธรรมดาเช่นพวกเจ้าอาจไม่สนใจแล้วก็แค่พูดออกมา แต่ในฐานะคนที่ฝึกวิทยายุทธ์ ใครจะกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่หาเรื่องตาย ก็หาเรื่องต่อยตี”

เจ้าของร้านตระหนักได้ในทันทีว่า ทหารนั้นกล้าหาญดุดันและทนเห็นคนหยิ่งผยองไม่ได้มากที่สุด พวกเขาจึงมักจะชักดาบใส่กันเพราะอีกฝ่ายพูดจาไม่เหมาะสมไม่กี่ประโยค เรื่องแบบนี้แม้จะอยู่ในเมืองหลวงที่มีกฎเข้มงวดก็ยังเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

“ข้ารวบรวมบทกวีดีๆ มาได้อีกบทหนึ่ง นี่คือบทกวีของยอดกวีสวี่ เร็ว รีบเตรียมกระดาษกับพู่กันหมึกมาให้ข้า” เจ้าของร้านรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาและสั่งเสี่ยวเอ้อร์

สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน

สำนักบัณฑิตฮั่นหลินอยู่ในสังกัดของสำนักราชเลขาธิการ รับผิดชอบเรียบเรียงหนังสือและประวัติศาสตร์ ร่างพระราชกฤษฎีกา เป็นวิทยากรของสมาชิกในราชวงศ์และทำหน้าที่เป็นผู้คุมการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง