บทที่ 299 วางแผนแทงข้างหลัง (2)
สวี่หลิงเยวี่ยนั่งอยู่ที่ริมสระ ปะทะสายลมอ่อน ชมเชยทัศนียภาพเงียบๆ
งานชุมนุมวรรณกรรมไม่น่าสนใจ นางไม่ใช่คนในวงนั้น อีกทั้ง ‘ชายหนุ่มมากพรสวรรค์’ ที่ท่านแม่กล่าวก็ไม่เลวเลย ทว่าหากเทียบพวกเขากับพี่ใหญ่และพี่รองก็ดูจะห่างชั้นอยู่เล็กน้อย แม้ว่าคนเหล่านี้จะล้วนเป็นบัณฑิตบรรณาการก็ตาม
“ฮึ! ”
เสียงฮึดฮัดดังขึ้นจากด้านหลัง สาวน้อยชุดสีม่วงเดินเข้ามาและมองสวี่หลิงเยวี่ยอย่างเชือดเฉือนพร้อมด่าทอ “นังคนชั้นต่ำ เมื่อครู่เจ้าแสร้งทำเป็นน่าสงสารไปทำไม”
สวี่หลิงเยวี่ยเงยหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงอ่อน “พี่เหยียนเอ๋อร์พูดอะไรน่ะเจ้าคะ ขะ…ข้าแสร้งทำเป็นน่าสงสารตั้งแต่เมื่อใด”
สาวน้อยชุดสีม่วงเย้ยหยัน “เล่ห์เหลี่ยมแค่นั้นของเจ้าก็กล้าทำอะไรโง่ๆ ต่อหน้าข้า แสร้งทำหรือไม่นั้นตัวเจ้าเองก็ไม่กระจ่างแจ้งหรือ เด็กสาวชั้นต่ำที่มาจากตระกูลทหารอันหยาบคาย คู่ควรที่จะนั่งอยู่ที่นี่หรือ คู่ควรที่จะร่วมโต๊ะกับข้างั้นหรือ ไสหัวออกไปจากจวนสกุลหวางเดี๋ยวนี้ อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีก”
สวี่หลิงเยวี่ยคิ้วขมวด “ที่พี่เหยียนเอ๋อร์เกลียดข้าเป็นเพราะพี่ใหญ่ของข้างั้นหรือ”
สาวน้อยชุดสีม่วงยิ้มเยาะพร้อมด่าทอ “เจ้าก็รู้ตัวนี่”
สวี่ชีอันที่เป็นศัตรูกับท่านอาผู้นั้นย่อมเป็นเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือนังคนหลอกลวงนี่จงใจแสร้งทำเป็นน่าสงสารเมื่อครู่ จึงได้รับความเห็นใจจากเหล่าพี่ๆ น้องๆ ทำให้นางถูกตอกกลับเบาๆ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
สาวน้อยชุดสีม่วงไม่เคยได้รับความกล้ำกลืนเช่นนี้มาก่อน
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็ยิ่งเดือดดาล ยิ่งอิจฉาในความงามของสวี่หลิงเยวี่ย แล้วมองตาเขียว “นังคนชั้นต่ำเช่นเจ้า ก็แค่ลูกไม้ง่ายๆ รูปร่างหน้าตาเช่นนางจิ้งจอก เชื่อหรือไม่เดี๋ยวแม่จะขายเจ้าให้หอนางโลม ให้เจ้าได้ลิ้มลองความยากแค้นของโลกมนุษย์เสีย”
สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกกล้ำกลืนโดยพลัน “พี่รองเป็นคนพาข้ามางานชุมนุมวรรณกรรม คำเชิญจากจวนสกุลหวางข้าจะออกไปกลางคันได้อย่างไร หรือพี่สาวจะช่วยข้ารึ”
เมื่อสาวน้อยชุดสีม่วงได้ยินก็ขมวดคิ้ว
บัดนี้สวี่หลิงเยวี่ยแอบยื่นมือออกไปหยิกเอวเล็กของสาวน้อยชุดสีม่วงอย่างแรง
สีหน้าของสาวน้อยชุดสีม่วงซีดขาวด้วยความเจ็บปวด แล้วยื่นมือผลักนางโดยไม่รู้ตัว
สวี่หลิงเยวี่ยจึง ‘ฉวยโอกาส’ ล้มตัวไปด้านหลังและตกลงไปในสระน้ำ
“ช่วย ช่วยด้วย…ข้าว่ายน้ำไม่เป็น พี่รอง พี่รองช่วยข้าด้วย…”
สวี่หลิงเยวี่ยตะโกนร้อง เสียงกรีดร้องดังขึ้นได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าชายมากพรสวรรค์และหญิงงามทุกคน
“ตกน้ำ มีคนตกน้ำ”
“ใครก็ได้รีบช่วยเร็วเข้า…”
เสียงร้องดังขึ้นไม่หยุด ทุกคนเข้ามามุงกันอย่างรวดเร็ว
สวี่ซินเหนียนที่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือมองไปตามเสียงก็เห็นสวี่หลิงเยวี่ยตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ท่าทางกำลังจมน้ำ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนสี ยังไม่ทันจะทักทายคุณหนูหวางก็สาวเท้าวิ่งออกไป
‘ตู้ม…’
เขาพุ่งตัวกระโดดลงไปในสระน้ำ คว้าเอวของสวี่หลิงเยวี่ยไว้ พยุงนางขึ้นเหนือน้ำและดึงสวี่หลิงเยวี่ยขึ้นไปภายใต้ความช่วยเหลือของคุณหนูหวางและคนอื่นๆ
“ระ…รีบไปหยิบเสื้อคลุมของข้าในบ้านมาเร็วเข้า” คุณหนูหวางรีบสั่งสาวใช้
ไม่นานนักสาวใช้ก็หยิบเสื้อคลุมมา คุณหนูหวางคลุมเสื้อให้สวี่หลิงเยวี่ยเองกับมือ สวี่หลิงเยวี่ยซุกอยู่ในอ้อมอกของพี่รอง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ฝูงชนล้อมรอบและมองดูสถานการณ์
สวี่ซินเหนียนสีหน้าอึมครึม กวาดตามองสาวน้อยชุดสีม่วงแล้วก้มหน้าถาม “หลิงเยวี่ยเกิดอะไรขึ้น”
สวี่หลิงเยวี่ยสูดจมูก ผมสลวยปรกติดใบหน้าสวย ทั้งอ่อนแรงและน่าสงสาร สะอึกสะอื้นเอ่ย
“ขะ…ข้าไม่รู้ พี่สาวผู้นี้ให้ข้าไสหัวออกไปจากจวนสกุลหวาง บอกว่าข้าไม่คู่ควรจะร่วมโต๊ะกับนาง ข้าไม่สนใจ นะ…นางจึงผลักข้าลงสระ”
ทุกคนมองไปที่สาวน้อยชุดสีม่วงในทันใด เหล่าบัณฑิตบรรณาการชำเลืองมองสวี่หลิงเยวี่ยที่ทำตัวน่าสงสารเรียกให้ผู้คนเห็นอกเห็นใจ แล้วมองสาวน้อยชุดสีม่วงตัวร้ายใช้อำนาจบาตรใหญ่ จากนั้นก็ขมวดคิ้วเงียบๆ
“ข้าเปล่า”
ใบหน้าของสาวน้อยชุดสีม่วงแดงก่ำด้วยความโกรธ ชี้ที่สวี่หลิงเยวี่ยพร้อมด่าทอ “นังคนชั้นต่ำ เจ้าบังอาจให้ร้ายข้า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าหยิกข้าก่อน พวกเจ้าอย่าหลงเชื่อนาง นังชั้นต่ำนี่กำลังให้ร้ายข้า นางจงใจลงน้ำไปเอง”
บุตรีคนหนึ่งขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยเสียงเบา “แม้เหยียนเอ๋อร์จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องอย่างผลักคนตกน้ำได้”
สาวน้อยชุดสีม่วงส่งสายตาซาบซึ้งไปที่สหายคนสนิท จากนั้นก็ชี้ที่สวี่หลิงเยวี่ยร่วมด้วย “นางทำตัวเอง นางจงใจกระโดดลงน้ำเอง ยังคิดจะให้ร้ายข้าด้วย นังคนชั้นต่ำนี่ช่างใจดำเสียจริง”
ทุกคนมองไปที่สวี่หลิงเยวี่ยด้วยความสงสัย
สวี่หลิงเยวี่ยไม่สนใจสายตารอบข้าง น้ำตาไหลเปาะแปะเป็นสาย ร้องสะอึกสะอื้นพร้อมเอ่ย
“พี่รอง พี่ใหญ่ได้ล่วงเกินใครไปหรือไม่ พี่เหยียนเอ๋อร์ผู้นี้บอกว่าพี่ใหญ่มักจะตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านอาของนาง นางทำอะไรพี่ใหญ่ไม่ได้ แต่แอบขายข้าให้หอนางโลมได้”
ขายให้หอนางโลม…ไฟโทสะของสวี่ซินเหนียนลุกโชนขึ้นเหนือศีรษะในบัดดล จับจ้องสาวน้อยชุดสีม่วงอย่างแน่วแน่ “มิทราบว่าแม่นางเป็นบุตรสาวบ้านไหนรึ”
คุณหนูหวางรู้สึกผิดเล็กน้อยจึงเอ่ยเสียงเบา “ท่านอาของเหยียนเอ๋อร์คือเจ้ากรมซุนซ่างซู”
บัณฑิตบรรณาการทุกคนกระจ่างแจ้งโดยพลัน มีสีหน้าของ ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’ ในฐานะบัณฑิตบรรณาการจะต้องเข้าวังเป็นขุนนางในวันหน้า พวกเขามีความเข้าใจในท้องพระโรงประมาณหนึ่ง
บุญคุณความแค้นของซุนซ่างชูกรมอาญากับสวี่ชีอันพวกเขาก็เคยได้ยินมาก่อน ‘คดีซังผอ มอบให้แก่ซุนซ่างชู’ ที่โด่งดังที่สุดบทนั้นยังคงถูกผู้คนหยิบยกมาพูดคุยกันสนุกปากจนกระทั่งทุกวันนี้
ด้วยชื่อเสียงของยอดกวีสวี่ในปัจจุบัน กลอนบทนี้จะต้องถูกเล่าขานสู่คนรุ่นหลังเป็นแน่ ซุนซ่างชูก็จะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปชั่วลูกชั่วหลานเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้แรงจูงใจที่เหยียนเอ๋อร์ผลักน้องสาวของยอดกวีสวี่ตกน้ำก็มีมากพอแล้ว
“เจ้า…”
สาวน้อยชุดสีม่วงเงียบไปอีกครั้ง นางพูดเช่นนี้ไว้จริงๆ เดิมคิดจะปฏิเสธ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของบุรุษรอบข้าง นางก็รู้ว่าถึงตนจะแก้ต่างไปก็ไร้ค่า
“เจ้าบอกว่าน้องสาวข้าหยิกเจ้า หยิกตรงไหนหรือ” สวี่ซินเหนียนเอ่ยถาม
“ที่เอวข้า” ในดวงตาของสาวน้อยชุดสีม่วงเดือดดาลด้วยไฟโทสะ
สวี่ซินเหนียนพยักหน้าช้าๆ “แม่นางแผนการช่างแยบยล รู้ว่าสิ่งอนาจารปัญญาชนมิอาจมอง จึงมิอาจพิสูจน์ได้ ทุกสิ่งล้วนอาศัยเพียงลมปากเจ้า”
สาวน้อยชุดสีม่วงชะงักงัน พลันเข้าใจเหตุผลที่นังคนชั้นต่ำคนนี้หยิกที่เอวของนาง ตอนนี้ถึงมีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้
“พวกเราพิสูจน์ได้” สาวน้อยนางหนึ่งเอ่ยขึ้น
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า “หันกลับไปหยิกตนเองก็มีรอยช้ำแล้ว น้องสาวข้าคารมไม่คมคาย แม้มีร้อยปากก็เถียงไม่ขึ้น”
นี่…สาวน้อยชุดสีม่วงและสหายคนสนิทใกล้ชิดถูกสวี่เอ้อร์หลางต้อนจนพูดไม่ออก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง