ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 300

บทที่ 300 เข้มงวดกับตัวเอง (1)

หอเฮ่าชี่

เจียงลวี่จงนั่งอยู่ที่โต๊ะพลางยกชาที่เจ้าพนักงานนำมาให้เป่าไล่ไอร้อนแล้วจิบชิมรส ก่อนจะกล่าวอย่างถอดถอนใจ

“จำได้ว่าเคยดื่มชาที่เรือนของเว่ยกงเมื่อปีก่อน กลิ่นหอมอบอวล ทิ้งกลิ่นติดปากติดฟัน สามชั่วยามมิจางหาย”

เว่ยเยวียนที่ยืนหาหนังสืออยู่หน้าชั้นหนังสือและกำลังหันหลังให้เขาเอ่ยเบาๆ “นั่นมันชาถวายในวัง สามปีผลิตได้เพียงสามจิน ปกติฝ่าบาทโปรดการดื่มมันยิ่งนัก”

มิน่าเล่า… เจียงลวี่จงเข้าใจในทันที ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้ “ชาชั้นยอดถึงเพียงนี้ผลิตจากที่ใด”

“ผลิตจากเมืองหลวง”

“เมืองหลวงมีชาชนิดนี้ด้วยหรือ เหตุใดข้าน้อยไม่เคยได้ยิน”

“สตรีนางหนึ่งเป็นคนปลูก นางอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ชานี่จึงผลิตจากเมืองหลวง” เว่ยเยวียนเสียงอ่อนโยนและทุ้มลึก

เจียงลวี่จงพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีก แม้ชาจะดี แต่เขาเป็นทหารจึงไม่ได้ชื่นชอบเรื่องชามากนัก เขามาหอเฮ่าชี่ครั้งนี้ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน

“วันนี้ได้ยินหนิงเยี่ยนพูดเรื่องหนึ่ง เขาสำราญอยู่ในสำนักสังคีตราวกับปลาได้น้ำ ได้ความนิยมชมชอบจากเหล่านางคณิกาย่อมมีเหตุผล” เจียงลวี่จงกล่าว

“สาวงามชื่นชอบบทกวี โดยเฉพาะนางคณิกา” เว่ยเยวียนยิ้ม

“ไม่ใช่” เจียงลวี่จงส่ายหน้า “นอกจากบทกวี ยังมีความลับอีกสองอย่างคือ บทสนทนาที่อ้อมค้อม และ ถึงขั้นนี้แล้ว จะยินยอมหรือไม่ ข้าน้อยหยั่งรู้อยู่นาน แต่ก็ไม่ได้อะไร…แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะข้าน้อยอยากกลายเป็นคนแบบนั้น ข้าน้อยเพียงแค่อยากรู้เท่านั้น

“เว่ยกงมีความรู้ความสามารถ บนหยั่งรู้สวรรค์ ล่างหยั่งรู้พื้นพสุธา ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงมาขอคำชี้แนะ ด้วยสติปัญญาของเว่ยกงคงเข้าใจได้ไม่ยาก”

พูดจบเจียงลวี่จงก็เห็นเว่ยกงหันกายมาจ้องเขา

จ้องอยู่สิบกว่าวินาที เว่ยเยวียนก็ถอนสายตากลับไปแล้วเอ่ยถามอย่างสบายๆ “ลวี่จง เจ้าติดตามข้ามาสิบปีแล้วใช่หรือไม่”

“ขอรับ”

“สิบปีที่ผ่านมา เจ้ารับผิดชอบงานดี รอบคอบ ระมัดระวัง ในสายตาข้านั้นน่าพอใจยิ่ง” เว่ยเยวียนดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาพลางกล่าว

“เอาล่ะ ข้าจะอ่านหนังสือต่อ เจ้าออกไปได้แล้ว”

เจียงลวี่จงออกไปด้วยความงุนงงและกลับไปยังห้องของตน

นั่งก้นยังไม่ทันร้อน เจ้าพนักงานคนหนึ่งก็เข้ามาค้อมกายให้ แล้วพูดว่า “ฆ้องทองคำเจียง เว่ยกงมีคำสั่ง”

นี่ไม่ใช่ว่าจะไล่ข้าออกไปหรอกนะ…เจียงลวี่จงถาม “เรื่องอันใด”

“เว่ยกงบอกว่าฆ้องทองคำเจียงรับผิดชอบงานดี รอบคอบ ระมัดระวัง ควรรักษาความดีนี้ต่อไป จากนี้หนึ่งเดือน งานคุ้มกันยามวิกาลจะถูกส่งให้ท่าน”

ชะงักอยู่ชั่วขณะ เจ้าพนักงานก็กล่าวต่อ “เว่ยกงยังบอกว่าหวังว่าฆ้องทองคำเจียงจะต้องเก็บของแล้วย้ายมาอยู่ที่ทำการปกครอง อย่าเพิ่งกลับบ้านชั่วคราวขอรับ”

“???”

นี่คือคำสั่งที่ควรให้แก่บริวารที่รับผิดชอบงานดี รอบคอบ ระมัดระวังอย่างนั้นหรือ นี่คือภาษามนุษย์งั้นรึ ปฏิบัติหน้าที่ยามวิกาลตลอดหนึ่งเดือน หมายความว่าจากนี้หนึ่งเดือน แม้แต่เยี่ยมหน้าไปที่สำนักสังคีตก็ยังทำไม่ได้ แม้แต่สตรีก็ยังพบไม่ได้ไม่ใช่หรือ!

เจียงลวี่จงตะลึงงัน

ครั้งนี้สวี่ชีอันรอถึงหนึ่งชั่วยาม หนึ่งชั่วยามเต็มๆ

โชคดีที่ตอนมาไม่ได้ดื่มน้ำเยอะเกินไป มิเช่นนั้นคงอับอายแย่…แดดไม่แรงพอ ดับความเศร้าของข้าไม่ได้เลย…เขารอคอยอย่างอดทนโดยไม่บ่นหรือเร่งเร้า

ทว่าสวี่ชีอันสังเกตเห็นว่าทุกหนึ่งเค่อจะมีนางกำนัลแอบยืนมองไปทางประตูจากในเรือน

สวี่ชีอันแกล้งทำเป็นไม่เห็น

ดวงอาทิตย์สว่างไสว ลมฤดูใบไม้ผลิโอบให้ไออุ่น หลังจากเข้าฤดูใบไม้ผลิ สวนดอกไม้ด้านหลังสวนเส้าอินก็เริ่มตื่นตัวค่อยๆ เผยให้เห็นด้านที่สวยงามน่าหลงให้ของมัน

องค์หญิงรองหลินอันผู้มีดวงตาดอกท้อ กลิ่นอายเสน่ห์น่าหลงใหลนั่งอยู่ในสวนด้วยความตื่นเต้น กำลังสั่งให้นางกำนัลประจำตัวสองคนเดินหมาก

หลังจากเล่นหมากรุกชำนาญมากขึ้น นางก็เริ่มสอนคนอื่นให้เล่นหมากรุก

นางกำนัลสองคนไม่เคยมีประสบการณ์การเล่นเลย แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งองค์หญิงรองผู้ใจร้อน

“องค์หญิง ใต้เท้าสวี่ยังรออยู่ข้างนอกเพคะ” นางกำนัลเข้ามารายงานเมื่อครบกำหนดเวลา

หลินอันตอบ “อืม” อย่างไว้ท่าและไม่พูดอะไรอีก

นางกำนัลถอยออกไป

ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ นางก็ไปดูสถานการณ์อีกครั้ง เห็นสวี่ชีอันยังอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกหวั่นไหว

‘องค์หญิงของเราเกรี้ยวกราดอยู่เสมอ นี่ไม่ใช่ว่ากำลังผลักไสยอดบุรุษอย่างใต้เท้าสวี่ไปหาองค์หญิงฮว๋ายชิ่งหรอกหรือ’ …ความคิดวาบเข้ามาในหัว นางเห็นสวี่ชีอันที่จู่ๆ ก็ตัวสั่นแล้วล้มลงกับพื้น ก่อนจะหมดสติไป

“ตายแล้ว…”

นางกำนัลร้อนใจ รีบพุ่งออกมาดู เห็นเพียงสีหน้าซีดเซียวของสวี่ชีอันและคิ้วที่ขมวดเป็นปมด้วยความทรมาน

“ใต้เท้าสวี่ ใต้เท้าสวี่เจ้าคะ” นางกำนัลเขย่าตัวเขาด้วยความกังวล ทำท่าเหมือนจะร้องไห้

สวี่ชีอันที่ ‘เป็นลม’ พลันลืมตาตื่น เขาจับหน้าอกไอสองสามที ก่อนจะโบกมือ “ไม่มีอะไร ข้าไม่เป็นไร แค่บาดเจ็บหนักจากการประลอง เมื่อครู่ยืนนานเกินไป อาการบาดเจ็บจึงกำเริบ พักสักหน่อยก็หายแล้ว”

นางกำนัลยิ่งสงสารและยิ่งหวั่นไหวเข้าไปอีกจึงเอ่ยโน้มน้าว “ใต้เท้าสวี่ ท่านกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ องค์หญิงรองกำลังโกรธ ไม่ออกมาพบท่านหรอกเจ้าค่ะ”

“พระองค์กำลังอารมณ์ไม่ดีหรือ”

สวี่ชีอันตกใจ “พระองค์ทรงเป็นอะไร ผู้ใดตาไร้แววกล้าทำให้พระองค์ทรงกริ้ว”

นางกำนัลพูดไม่ออก ในใจอยากบอกว่าคนที่ทำให้พระองค์ทรงกริ้วก็ท่านมิใช่หรือ

นางกล่าวเสียงเบา “องครักษ์สวนเส้าอินเห็นใต้เท้าเข้าวังมา แล้วไปที่สวนเต๋อซิน”

สวี่ชีอันเงียบไป

เมื่อเห็นว่าเขาไม่อธิบาย นางกำนัลก็ผิดหวังเล็กน้อย เอ่ยเร่งอีกครั้ง “ใต้เท้าสวี่กลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังพระองค์อารมณ์ดีแล้วท่านค่อยมา”

พูดจบนางก็ผละจากสวี่ชีอันแล้วกลับเข้าตำหนักไป

สาวเท้ามาจนถึงในศาลาก็กล่าวอย่างเร่งรีบ “ทูลกระหม่อม ใต้เท้าสวี่เพิ่งหมดสติไปเพคะ”

หลินอันเงยหน้าขึ้นทันที ความตกใจและกังวลปรากฏบนใบหน้า ก่อนจะข่มกลั้นมันแล้วเอ่ยเบาๆ “หมดสติหรือ”

“ใต้เท้าสวี่บอกว่าเพราะยืนนานเกินไป อาการบาดเจ็บจากการประลองเมื่อวานจึงกำเริบเพคะ” นางกำนัลก้มหน้าตอบ

“ข้าก็ไม่ได้ให้เขารอเสียหน่อย…เล่นหมากแค่นี้ยังทำไม่ได้ พวกเจ้านี่โง่จริงๆ”

หลินอันตำหนิอย่างฉุนเฉียว จากนั้นจึงหันไปหานางกำนัลแล้วพูดว่า “ถ้าเขาไม่ยอมไปก็ให้เขาเข้ามาเถอะ”

สวี่ชีอันถูกพาไปที่ห้องโถงด้านข้าง จิบชาร้อนๆ และรออยู่นาน กว่าจะเห็นร่างสวมชุดสีแดงเดินเข้ามา ใบหน้ากลม องคาพยพทั้งห้างดงาม สีหน้าเย็นชา ดวงตาเย้ายวนคู่นั้นกำลังแสร้งทำเป็นเฉยชา

“ข้าบอกว่าไม่รับแขกมิใช่หรือ พวกเจ้าให้เขาเข้ามาทำไม”

หลินอันตำหนิอย่างเผยพิรุธ ก่อนจะมองไปยังสวี่ชีอัน หลังจากประเมินแล้วก็ดูจะโล่งใจ จึงสั่งว่า

“ใต้เท้าสวี่ออกแรงเพื่อราชสำนัก ข้าก็ย่อมไม่ดูดายให้ท่านบาดเจ็บ หงเอ๋อร์ ยกของเข้ามา”

นางกำนัลตัวใหญ่ที่เคยถูกสวี่ชีอันตบก้นถอยออกไป ครู่เดียวก็พาบ่าวรับใช้ผู้ชายจากในสวนเข้ามาพร้อมกับยาและวัตถุดิบยาบำรุงร่างกายในมือ

“วัตถุดิบยาและยาพวกนี้ข้าได้มาจากห้องโอสถหลวง ใต้เท้าสวี่เอาไปเถอะ” หลินอันกล่าวอย่างไว้ท่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง