บทที่ 307 เรื่องไม่คาดคิด! เจ้าของสุสานปรากฏตัว
ทันทีที่โลงศพสีบรอนซ์ทองถูกเปิดออก วิญญาณชั่วร้ายก็ลอยขึ้นมาในอากาศ หลุมฝังศพหลักพังทลายลง แสงเทียนและคบเพลิงที่ถืออยู่ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
คนที่กำลังจะหันหลังหนีไป กลับไม่อาจก้าวขาเดินต่อไปได้ ร่างทั้งร่างแข็งทื่อ ไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อ แต่เลือดทั่วร่างกายดูเหมือนจะจับตัวเป็นก้อน อากาศเย็นก็ปกคลุมเต็มไปทั่ว ราวกับว่าอยู่ในที่ที่มีสภาพแวดล้อมหนาวเย็นมาก ทั้งร่างกายเหมือนถูกแช่แข็ง
หากนักบวชเต๋าจินเหลียนมีร่างแมวอยู่ที่นี่ด้วย ตอนนี้ร่างทั้งร่างคงปลิวหายไปแล้ว
‘ปัง!’
มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลังทางที่ฝาโลงศพเปิดออก ในขณะเดียวกัน ผู้คนที่หันหลังไปยังแท่นสูงก็เห็นเหตุการณ์จากบันไดทางด้านล่าง ซากศพที่สวมชุดเกราะต่างพากันบิดคอพร้อมกัน หมุนร่างกายหนึ่งรอบหนึ่งร้อยแปดสิบองศา โครงกระดูกและใบหน้าของเขาบิดไปข้างหลัง จ้องมองไปที่ฝูงชนอย่างเงียบๆ
ภาพเหตุการณ์นี้น่ากลัวและแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ความกลัวอันใหญ่หลวงได้เข้ามาครอบงำในจิตใจ พวกโจรปล้นสุสานของกลุ่มโฮ่วถู่ก็แสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างยิ่ง
‘กร๊อบ กร๊อบ…’
สวี่ชีอันได้ยินเสียงกระดูกที่อยู่ไม่ไกล ชายชุดเกราะที่ยืนอยู่ที่มุมทั้งสี่ของแท่นสูงก็ฟื้นคืนชีพเช่นกัน
เขาค่อยๆ สอดส่ายสายตาเพื่อดูการท่าทีเหล่าสหายของเขา
ฉู่หยวนเจิ่นลืมตาขึ้นเล็กน้อย หยดเหงื่อปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา กระบี่ยาวบนหลังของเขาสั่นหลายครั้ง ราวกับว่าเขาต้องการจะดึงมันออกมา แต่มันกลับถูกกดทับด้วยพลังที่มองไม่เห็น
กล้ามเนื้อใบหน้าของไต้ซือเหิงหย่วนกระตุก กล้ามเนื้อที่บิดเบี้ยวบนใบหน้าของเขายื่นออกมา เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเอาชนะพลังการกดขี่ของกองกำลังที่มองไม่เห็น เพื่อฟื้นคืนอิสรภาพ
หน้าอกของนักบวชเต๋าจินเหลียนกระเพื่อมขึ้นลงหลายครั้ง เขากำลังหายใจอยู่ เขาเป็นคนที่สงบที่สุด แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
กลุ่มลัทธิเต๋ายับยั้งการเคลื่อนไหวของเขา พร้อมที่จะตัดหางตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอดหรือเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องเรา…สวี่ชีอันคิดกับตัวเอง ดวงตาของเขากลอกไปมาที่เบ้าตา มองไปทางจงหลี
ลี่น่าที่อยู่บนหลังของนางอยู่ในอาการโคม่า แต่นางคือคนที่ ‘สบายใจ’ ที่สุดสำหรับจงหลีผู้โชคร้าย ร่างกายที่บอบบางภายใต้เสื้อคลุมลินินสั่นเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเป็นความรับผิดชอบของนางหรือความรับผิดชอบของข้า…หรืออาจจะทั้งสองอย่าง! สวี่ชีอันพยายามมองโลกในแง่ดีท่ามกลางความทุกข์
ในขณะนี้ มีภาพหนึ่งปรากฏแวบขึ้นมาทันทีในจิตใจของเขา มือที่มีเส้นขนสีเขียวยื่นออกมาจากโลงศพสีบรอนซ์ทองและจับไปที่ขอบของโลงศพ
คนในโลงศพค่อยๆ ลุกขึ้น มันคือซากศพในชุดคลุมสีเหลือง มีมงกุฎทำด้วยทองคำบริสุทธิ์สวมอยู่บนศีรษะ ผิวหน้าแทบจะกลืนไปกับกระดูก จมูกของเขาเน่าสลาย เหลือเพียงหลุมสองหลุมเท่านั้น
ลูกตาที่ฝังอยู่ในเบ้าตา ราวกับจะหลุดออกมาได้ทุกเมื่อ
ช่วงเวลาที่ได้รับรู้ถึงซากศพนี้ สมองของสวี่ชีอันเป็นเหมือนตะปูเหล็กที่ฝังอยู่ในนั้น ความเจ็บปวดทำให้เกือบจะเป็นลม ภาพที่มองเห็นแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
คนที่นอนอยู่ในโลงศพเป็นคนของลัทธิเต๋าจริงๆ เป็นระดับสองที่พ่ายแพ้ต่อการฝ่าทัณฑ์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันมีพลังมหาศาล…สวี่ชีอันอยู่ในสภาพมึนงง
หลังจากเงียบไปไม่กี่วินาที เสียงฝีเท้าแรกก็ดังขึ้น ซากศพที่ตายแล้วก้าวออกมาจากโลงศพสีบรอนซ์ทอง ค่อยๆ เดินเข้าหาฝูงชน
‘หึ่ง…’
กระบี่ยาวที่พาดอยู่ด้านหลังของฉู่หยวนเจิ่นสั่นอย่างรุนแรง แต่ก็ยังไม่สามารถดึงออกมาได้ ยังคงส่งเสียง ‘แกร๊ง…’ ต่อไป
หยาดเหงื่อบนหน้าผากของลูกผู้ชายทั้งหลาย ในที่สุดก็หยดติ๋งลงมา
ดวงตาของเหิงหย่วนเบิกกว้างจนแทบจะระเบิด เส้นเลือดสีน้ำเงินเข้มบนแก้มและหน้าผากของเขาปูดโปนขึ้นมาทีละเส้น กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขากระตุกอย่างรุนแรง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังล้มเหลวในการปราบปรามแรงกดดันที่มองไม่เห็น
จงหลีเป็นเหมือนนกกระทา สั่นสะท้านไปทั้งตัว เอาแต่ก้มมุดหัวของตนเองให้ต่ำลง
กลิ่นเหม็นโชยปะทะเข้ากับจมูก เป็นเพราะสมาชิกกลุ่มโฮ่วถู่สองสามคนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนฉี่ราด
แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา เพราะเวลานี้พวกเขากำลังยืนอยู่ในหลุมฝังศพโบราณที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน ทั้งยังมีสิ่งชั่วร้ายเพิ่งลุกขึ้นมาจากโลงศพ และค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้พวกเขาจากทางด้านหลัง…
แค่คิดเกี่ยวกับมัน ก็ทำให้กระดูกสันหลังของพวกเขาเย็นวาบ ไม่ต้องพูดถึงว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
นักบวชเต๋าจินเหลียนหลับตาลง เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายสดใส ดูเหมือนว่าเขามีแผนการแล้ว
ในเวลานี้ เสียงฝีเท้าหยุดลง เสียงแหบได้กระจายไปทั่วทุกแห่งและทุกมุมของสุสานหลัก
“ยินดีต้อนรับการกลับมาของนายท่าน!”
เสียงของชุดเกราะกระทบกัน ซากศพที่มุมทั้งสี่ของแท่นสูงและซากศพบนขั้นบันไดก็คุกเข่าลง กำลังบูชาใครบางคนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน
รัศมีที่ะน่าสะพรึงกลัวนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว ราวกับกระแสน้ำไหลย้อนกลับ
ทุกคนตะลึงเมื่อพบว่าร่างกายของพวกเขากลับมามีกำลังวังชาดังเดิม
“อย่าทำอะไรตามใจโดยไม่รอบคอบ!”
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งเสียงเตือนทุกคน รวมทั้งพวกโจรปล้นสุสาน
‘เอื้อก…’
เสียงกลืนน้ำลายยังคงดังก้อง พวกโจรปล้นสุสานต่างพากันตัวสั่น แต่ก็ไม่ได้เสียสติเสียทีเดียว ประสบการณ์ในอดีตของพวกเขามีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้พวกเขาไร้สติเหมือนคนทั่วไป การคิดจะหนีอาจทำให้เรื่องยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก
ในเวลาเดียวกัน ความคิดก็แวบเข้ามาในหัวของพวกเขา นายท่าน?
นายท่านเป็นใคร ดูจากท่าทีของซากศพแล้ว นายท่านคนนั้นคือคนที่อยู่ในกลุ่มพวกเราอย่างนั้นหรือ?
โจรปล้นสุสานต่างมองหน้ากันและกัน พยายามอยู่ใกล้กลุ่มคนที่มาด้วยกันให้มากที่สุด ‘นายท่าน’ ที่สามารถกลายเป็นจุดสนใจหลักของซากศพนั้นได้ จะต้องเป็นคนแบบไหนกันนะ
และคนนั้นก็อยู่ท่ามกลางพวกเราเสียด้วย…
หัวหน้าที่คนป่วยมองไปทางนักบวชเต๋าจินเหลียนตามสัญชาตญาณของจิตใต้สำนึก ตามเนื้อหาของจิตรกรรมฝาผนังเจ้าของสุสานนี้เป็นคนของลัทธิเต๋า และเขาก็เป็นปรมาจารย์ในนิกายปฐพีท่านหนึ่ง
สรุปได้ง่ายมาก นักบวชเต๋าผู้นี้เป็นนายท่านของซากศพนี้
“เขา เขามีตัวตนตามที่กล่าวไป…เมื่อพูดแบบนี้แล้ว การมาของปรมาจารย์แห่งนิกายปฐพีในครั้งนี้ คงไม่ได้เดินทางมาเพื่อช่วยเหลือพวกข้าโดยเฉพาะแน่นอน อืม เป็นการกระทำเฉพาะพวกยอดฝีมือเท่านั้น คนอย่างข้าจะคาดเดาได้อย่างไร”
หัวหน้าที่ป่วยตัวสั่นเทา
โหรกงหยางซู่มองไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียนด้วยความไม่เชื่อสายตา
เมื่อทุกคนสังเกตเห็นความผิดปกติของผู้นำทั้งสอง พวกเขามองไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียนทันที ท่าทางอันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของเขา สร้างความสบายใจให้กับพวกเขาขึ้นมาได้บ้าง
คนในพรรคฟ้าดินยืนใกล้กันมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถบอกได้ว่าใครกันแน่คือผู้ที่ซากศพสวมชุดเหลืองกำลังคุกเข่าให้
ฉู่หยวนเจิ่นสลัดความเฉื่อยชาออกไป เหลือบมองนักบวชเต๋าจินเหลียน
นักบวชเต๋าจินเหลียนโคลงศีรษะเล็กน้อย
‘เหิงหย่วนเป็นจอมยุทธ์ภิกษุ ไม่ใช่สมาชิกของลัทธิเต๋า แม้ว่าความสามารถของเขาจะมากล้น แต่เขาก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกจนเกินไป…ลี่น่ามาจากเผ่าพันธุ์กู่ทางซินเจียงตอนใต้ ย่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสุสานแห่งนี้…แม่หญิงจงแห่งสำนักโหราจารย์ยิ่งสามารถตัดทิ้งไปได้เลย…หรือว่า?!’
ฉู่หยวนเจิ่นหันศีรษะและจ้องไปที่สวี่ชีอัน
เขานึกถึงเหตุผลที่กลุ่มนี้มาที่สุสานหลักได้ นั่นเป็นเพราะทุกคนติดตามสวี่ชีอันวนกลับมาที่เดิมถึงสามหนด้วย ‘ความบังเอิญ’ ทำให้พวกเขาเข้ามาถึงสุสานหลักแห่งนี้
‘ปรากฏว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องที่วางแผนไว้แล้ว…สวี่หนิงเยี่ยนเป็นเจ้าของสุสานนี้งั้นหรือไม่’
การคาดเดานี้ปรากฏขึ้นในจิตใจของฉู่หยวนเจิ่น ร่างกายของเขาพลันสั่นเทาอย่างอธิบายไม่ได้
เขาหลอกใช้ข้าเหรอ? เรียกข้าว่านายท่าน? ผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างสวี่ชีอันมีสัญชาตญาณที่สามารถจับสังเกตได้ว่าคนที่ซากศพเรียกขานว่า ‘นายท่าน’ นั่นคือตัวเขาเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง