ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 308

บทที่ 308 ร่างอมตะ

นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ได้มองนานนัก หลังจากเท้าแตะพื้น เขาก็ผลักเหิงหย่วนที่กำลังจะหันหลังกลับไปช่วยคน แล้วตะโกนว่า “ฉู่หยวนเจิ่น พาเหิงหย่วนออกไป!”

“ส่วนคนที่เหลือ รีบถอยออกจากหลุมฝังศพหลัก”

ท้ายที่สุดเขาหันหลังกลับท่ามกลางลมกระโชกแรง เขย่าหอกแล้วขว้างออกไป หอกเหล่านั้นที่ห่อหุ้มด้วยพลังปราณหยินก็ระเบิด ทำลายร่างของนักบวชเต๋าจินเหลียน

ใบหน้าของเขาพลันซีดขาว ร่างกายของเขาเกือบจะกลายเป็นหยินทันที

กลุ่มโฮ่วถู่อาศัยประโยชน์จากจังหวะนี้หลบหนีออกจากหลุมฝังศพหลักพร้อมกับฉู่หยวนเจิ่นและจงหลี เหิงหย่วนถูกฉู่หยวนเจิ่นโจมตีเพื่อผนึกเส้นลมปราณและบังคับให้พาพวกเขาออกไป

นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ได้ต่อสู้อีก คงเหลือไว้เพียงภาพติดตา ก่อนจะหนีไปในทันที

‘ตูม!’

ประตูหลุมฝังศพหลักถูกปิดลง

“เจ้าไม่ใช่นายท่าน แต่กลับบังอาจช่วงชิงโชคชะตาของนายท่านอย่างนั้นรึ”

ซากมัมมี่ชุดเหลืองยกแขนขึ้นสูง จนร่างของสวี่ชีอันลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ปากสีม่วงดำของมันพ่นไอหยินอันน่าสยดสยองออกมา

อุณหภูมิของสุสานทั้งหมดลดลงอย่างรวดเร็ว แท่นสูงและชั้นหินถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง ส่งเสียง ‘ครืน’ แอ่งน้ำทั้งสองข้างของทางเดินพลันควบแน่นเป็นน้ำแข็ง

สีทองสว่างขึ้นระหว่างคิ้วของสวี่ชีอันและปกคลุมใบหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลั่งไหลไปตามร่างกายราวกระแสน้ำ แต่เขากลับถูกมัมมี่บีบคอแน่น ปิดกั้นแสงสีทอง ทำให้มันไม่สามารถปกคลุมพื้นผิวของร่างกายและเปิดเผยร่างระดับเพชรไร้พ่ายออกมาได้

“เจ้ามดต่ำต้อย ในเมื่อเจ้ากล้าช่วงชิงโชคชะตาของนายท่าน เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าติดอยู่ที่นี่ตลอดไป กลืนกินเนื้อของเจ้า บดเคี้ยวกระดูกของเจ้า แล้วกดวิญญาณของเจ้าไว้ในหลุมฝังศพ ให้เผชิญกับความทุกข์ทรมานในชีวิตหลังความตายไปชั่วนิรันดร์”

มัมมี่ชุดเหลืองโกรธแค้นยิ่ง เนื้อบริเวณมุมปากของมันแยกออก เผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคมคู่หนึ่ง

จากนั้นมันก็กัดคอของสวี่ชีอัน

‘กึก!’

เสียงเหล็กเสียดสีดังออกมา เขี้ยวแหลมคมที่สามารถบดขยี้เหล็กชั้นดีได้ง่ายๆ กลับไม่สามารถเจาะเลือดเนื้อของสวี่ชีอันได้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่แสงสีทองทะลุผ่านฝ่ามือของเขา ย้อมลำคอของเขาให้เป็นสีทองอร่าม

แสงสีทองแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมร่างกายของสวี่ชีอัน

ร่างสีทองอร่ามพลันสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ส่องสว่างไปทั่วทุกมุมของสุสานหลัก

ราวกับเทพเซียนเสด็จลงจากสวรรค์

“ซากศพไร้ค่า…กล้าอวดดีต่อหน้าอาตมางั้นรึ”

ประโยคครึ่งแรกเป็นเสียงของสวี่ชีอัน แต่ครึ่งหลังของประโยค เสียงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดว่ามาจากบุคคลอื่น

ยามนี้สวี่ชีอันเหมือนกับเป็นร่างจุติของเทพเซียนแห่งสวรรค์ ยื่นมือออกมา แล้วค่อยๆ ง้างนิ้วของมัมมี่ชุดเหลือง เขาสามารถง้างอย่างรุนแรงในคราวเดียวได้ แต่เลือกใช้วิธีการที่เชื่องช้าเพื่อตอกย้ำความเจ็บปวดทรมานยิ่งขึ้น

แขนของมัมมี่ชุดสีเหลืองสั่นสะท้านเล็กน้อย ความแข็งแกร่งของมันไม่เพียงพอที่จะต่อสู้

‘ฉึบ!’

อีกมือของมัมมี่ชุดเหลืองจ้วงแทงเข้าที่หน้าอกของสวี่ชีอัน แต่ยังไม่สามารถทะลุผ่านสีทองอร่ามที่เคลือบอยู่ทั่วร่างได้ ฝ่ามือของมันกำหมัดแน่นทันที เปลี่ยนจากการแทงเป็นหมัดหนักหน่วง ส่งให้ร่างสวี่ชีอันลอยกระเด็นออกไป พร้อมกับเสียงระเบิดของพลังปราณที่ดังลั่นทำลายโสตประสาท

“โฮก…”

มัมมี่ชุดเหลืองฉีกปากที่เต็มไปด้วยเลือดแห้งกรังออกกว้าง ภายในคล้ายเป็นกระแสน้ำวนลึกที่ไม่สามารถเติมเต็มได้ ซากมัมมี่ทั้งสี่บนแท่นสูงถูกกระแสดึงดูดรุนแรงราวพายุดูดร่างเข้าไป

จากนั้นซากมัมมี่ทหารยามที่ยืนอยู่ตรงสองเสาของบันไดก็ลอยขึ้นจากพื้นทีละตัว ถูกดึงดูดเข้าไปในปากมัมมี่โดยสมัครใจ

‘กร๊อบ กร๊อบ’ ระหว่างการเคี้ยวนั้น รูปร่างของมัมมี่ชุดเหลืองก็ใหญ่โตขึ้น กรงเล็บสีดำสนิทยืดออก เนื้อที่เหี่ยวแห้งก็บวมเป่งขึ้นเช่นกัน ชิ้นส่วนของเกล็ดที่เรียงตัวราวกับเกราะค่อยๆ โผล่ออกมาปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย

แผงคอแข็งสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นบนศีรษะ

มันกลายเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่มีความสูงถึงสิบฟุต

มัมมี่ชุดเหลืองซึ่งมีรูปลักษณ์แปลกไปจากเดิมมากยืนอยู่บนแท่นสูง มองขึ้นไปยังร่างสีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วพูดด้วยเสียงอันดังกึกก้องว่า

“ที่แท้เจ้ามดต่ำต้อยเช่นเจ้าที่บังอาจช่วงชิงโชคชะตาของนายท่านก็มีอรหันต์ซ่อนเร้นอยู่ในร่าง ดูเหมือนว่าข้าหลับใหลนานเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าร่างกายที่แข็งแรงเช่นนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกแล้ว”

“นี่คือร่างทองของสำนักพุทธ” ไต้ซือเสินซูตอบกลับ

“สำนักพุทธงั้นหรือ” สัตว์ประหลาดเอียงศีรษะ จ้องไปที่ร่างสีทองด้วยแววตาดุร้าย

“อ้าว เจ้าไม่รู้จักสำนักพุทธหรอกหรือ ดูเหมือนว่าถูกก่อตั้งขึ้นมานานแล้วแท้ๆ” ไต้ซือเสินซูกล่าวเบาๆ “บังเอิญเสียจริง อาตมาเองก็เกลียดชังสำนักพุทธยิ่งนัก”

คลื่นสีทองพลันระเบิดออกกลางอากาศ ก่อนที่ร่างของเขาจะกระแทกลงมาเสมือนอุกกาบาต

‘ตูม!’

ฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายประกบกันขณะต่อสู้อยู่บนแท่นสูง แท่นสูงนี้ยืนหยัดมานานนับปี เวลานี้กลับเกิดเสียงปริแตกที่คมชัดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เศษหินดินทรายแตกกระจายและหลุดร่วง

ในที่สุดก็เกิดเสียงดัง ‘ครืน’ แท่นสูงพังทลายลงจนหมดสิ้น

ร่างสีทองและซากมัมมี่ร่วงลงมาพร้อมกัน ฝ่ายหลังเหวี่ยงหมัดทุบเข้าที่หน้าผากของร่างสีทอง ขณะเดียวกันแสงสีทองที่เป็นผลมาจากแรงกระแทกก็โปรยปรายไปทั่วราวกับเศษซาก ทำให้ร่างสีทองหน้ามืดตามัว

‘ตุบ ตุบ ตุบ’

หมัดของมัมมี่เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่จะระดมชกเข้าที่บริเวณหน้าอกและหน้าผากของร่างสีทอง ทำให้แสงสีทองกระจายออกมาเป็นชิ้นๆ

ร่างสีทองรีบคว้าข้อมือของซากมัมมี่ไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดว่า “เจ็บ เจ็บเจียนตาย”

จากนั้นเขาก็กล่าวพึมพำกับตนเอง “ฮึ่ม เจ้าสัตว์โสมมตัวนี้ช่างร้ายกาจนัก ต้องเริ่มโต้ตอบบ้างแล้ว…”

สิ้นเสียงนั้น ฝ่าเท้าของเขาก็เตะซากมัมมี่สัตว์ประหลาดจนลอยขึ้นกลางอากาศ

แสงสีทองสลายเป็นเส้นบางๆ พุ่งห่างออกไป ตามด้วยเสียงตกกระทบดัง ‘ปัง’ ร่างต้องกระแทกเข้ากับโดมของสุสานหลักเป็นแน่ เพราะมีเศษก้อนหินแตกและร่วงหล่นเต็มไปหมด

มัมมี่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง เงยหน้ามองขึ้นไปบนโดมด้านบนพร้อมกับคุกเข่าลงอยู่ในท่าทางสะสมพลังปราณ

“อ๊าก!”

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น อุกกาบาตสีทองอร่ามตกลงมาอีกครั้ง

มัมมี่ชุดเหลืองซึ่งเตรียมพร้อมมานานแล้ว รวบรวมกำลังชกหมัดขึ้นไปบนท้องฟ้า หมายให้พลังพุ่งออกไปปะทะเข้ากับร่างสีทองนั้น

สิ้นแสงสีทองอร่ามที่ปรากฏ ก้อนกรวดและน้ำข้นขุ่นที่อยู่ด้านล่างพลันม้วนกลิ้งขึ้นไปสู่ด้านบน แรงหมัดแปรเปลี่ยนกลายเป็นลมกระเพื่อม กระแทกเข้ากับกำแพงหินทั้งสี่ด้านของหลุมฝังศพ จนกำแพงหินแตกร้าวออกทีละรอย ก้อนหินน้อยใหญ่กลิ้งตกลงมา

เท้าของมัมมี่ชุดเหลืองจมลึกลงไปในพื้นดิน พร้อมกันกับร่างสีทองที่ฉวยโอกาสนี้ในการชกกลับ ด้วยพลังหมัดอันรุนแรง ทำให้ซากมัมมี่ถูกกระแทกจมเข้าในไปกำแพงหิน

“ไต้ซือ ต้องตัดหัวมันออก” สวี่ชีอันกล่าวเสียงดัง

ร่างสีทองกำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่แล้วปากที่อาบชุ่มโชกไปด้วยเลือดของซากมัมมี่ก็อ้ากว้างอีกครั้ง กลายเป็นกระแสน้ำวนที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง

แสงสีทองถูกดูดกลืนเข้าไปในปากของมัน ทำให้ร่างกายที่อาบเคลือบด้วยสีทองของเขาพลันจางลงในทันที

ในช่วงเวลาวิกฤติ ร่างสีทองกวักมือเรียก ทันใดนั้นภายในน้ำเน่าขุ่น ดาบยาวสีดำทองก็พุ่งขึ้นมาจากน้ำ กระแทกเข้ากับใบหน้าด้านข้างของซากมัมมี่ ทำให้หัวของมันสั่นคลอนเล็กน้อย

ร่างสีทองฉวยโอกาสนี้จนสามารถหลุดออกจากกระแสน้ำวน ก่อนก็กวาดขาฟาดเข้าที่ด้านหลังศีรษะอีกฝ่าย เศษแสงสีทองสาดกระเซ็น เกล็ดและเขาที่งอกขึ้นอยู่เหนือส่วนหัวของซากมัมมี่ปริแตก

‘ผัวะ ผัวะ!’

หน้าแข้งเตะซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาพติดตา ระดมเตะเข้าที่ด้านหลังหัวซากมัมมี่ไม่หยุดหย่อน กระทั่งมันระเบิดออก เขาแหลมคมหักเป็นท่อนๆ

ขณะนั้นเอง ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของสวี่ชีอัน ดาบโบราณขึ้นสนิมที่พุ่งออกมาจากน้ำเมื่อครู่ กลับแปรพักตร์พุ่งเข้าโจมตีจากทางด้านหลังของเขา

เขาจึงรีบดึงขาที่ยังระดมเตะกลับมาอย่างทันท่วงทีโดยไม่ลังเล แล้วม้วนตัวกลิ้งไปด้านข้าง

วินาทีต่อมา เสียงกรีดร้องดังขึ้น ดาบโบราณที่ล้มเหลวในการโจมตีอยู่ในมือของมัมมี่แล้ว

มันยังคงเป็นดาบขึ้นสนิมธรรมดาสามัญ ทว่าไอหยินชั่วร้ายที่เล็ดลอดออกมาจากมัน ทำให้คิ้วของร่างสีทองกระตุก

“นี่คืออาวุธเวทมนตร์ที่นายท่านทิ้งไว้ ดูดซับพลังหยินจำนวนนับไม่ถ้วนในสุสาน เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำลายเกราะปกป้องร่างกาย” เสียงของมัมมี่ทั้งทุ้มต่ำและแหบแห้ง

ขณะที่มันเอื้อนเอ่ย ไอหยินสีดำสนิทก็ล้นทะลักออกมาจากน้ำขุ่นด้านล่าง ผสานเข้ากับร่างกายของมัน ซ่อมแซมเขาแหลมที่แตกร้าว

ทำอย่างไรดี สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นบนดินแดนที่ฮวงจุ้ยเอื้ออำนวย ซึ่งเทียบเท่ากับค่ายกลที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ซากมัมมี่จึงอาศัยประโยชน์จากมัน…ร่างกายของสวี่ชีอันถูกส่งให้ไต้ซือเสินซูครอบงำโดยสมบูรณ์ ทว่าจิตใต้สำนึกของเขายังคงชัดเจน จึงทำการวิเคราะห์มันโดยสัญชาตญาณ

ลองคิดดูว่าถ้าเป็นตัวข้าเอง จะจัดการกับสิ่งชั่วร้ายนี้อย่างไร

ไต้ซือเสินซูพนมมือ เสียงที่สงบและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ดังขึ้น “วางดาบนั่นลง แล้วหันกลับเข้าฝั่ง”

เสียงนั้นเต็มไปด้วยพลังมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานได้ ฉับพลันมือของมัมมี่ที่กำลังถือดาบก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันใด ราวกับว่ามันจับอาวุธไม่มั่นคง ก่อนจะเปลี่ยนมาจับดาบด้วยมือทั้งสองข้าง ถึงกระนั้นแขนทั้งสองข้างก็ยังสั่นสะท้าน

ระหว่างที่ศัตรูกำลังต่อต้านพลังไร้เทียมทาน ร่างสีทองฉวยโอกาสนี้ทะยานออกไป ร่างลอยอยู่เหนือซากมัมมี่ ก่อนที่สองมือจะสร้างรอยประทับขึ้นอย่างรวดเร็ว

อักขระ ‘สวัสติกะ’ สีทองอร่าม ควบแน่นอยู่เหนือร่างสีทอง ยิ่งนานอักขระ ‘สวัสติกะ’ ก็ยิ่งปรากฏชัดเจนมากขึ้น โดยมีลักษณะเป็นวงกลม โดยมีร่างสีทองอยู่ตรงกลาง

ร่างสีทองหลับตาลง รอยประทับที่ฝ่ามือสร้างขึ้นยังคงดำเนินต่อไป จากนั้นจึงโบกมืออย่ารวดเร็วจนมองเห็นเพียงภาพติดตา

อักขระ ‘สวัสติกะ’ สว่างเรืองขึ้นเรื่อยๆ เปล่งแสงแห่งพุทธสีทองพราวพร่าง ย้อมให้ทั่วทั้งหลุมฝังศพเปล่งประกายไปด้วยรัศมีสีทองเจิดจ้า

ทันใดนั้น ฝ่ามือทั้งสองข้างก็หยุดโบกสร้างรอยประทับ กลับมาพนมมือดังเดิม

‘บูม!’

มวลอากาศส่งเสียงอึกทึก ลำแสงสีทองพวยพุ่งลงมาจากอักขระ ‘สวัสติกะ’ ครอบคลุมทั่วร่างมัมมี่ชุดเหลือง

‘ซู่ๆ…’

เสียงราวกับน้ำซึ่งถูกเทราดลงในกระทะน้ำมันที่กำลังเดือดดังขึ้น ควันดำพวยพุ่งออกมา ซากมัมมี่ที่อยู่ท่ามกลางแสงสีทองแผดเสียงคำราม

ก่อนที่แสงสีทองจะดับไป ไต้ซือเสินซูกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “หยุดโกรธ หยุดโมโห หยุดต่อสู้”

ลำแสงสีทองจางหายไป ร่างของซากมัมมี่เต็มไปด้วยรอยไหม้ บนเขามีรอยแตกร้าว เผยให้เห็นเลือดเนื้อสีดำสนิท

ทว่าตอนนี้มันไม่หลงเหลือความโกรธแค้นหรือจิตสังหารใดๆ อีกต่อไป ไม่เคลื่อนไหวทำสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงต้องการสงบสติอารมณ์และหาทางออกอย่างสันติ

แต่ไต้ซือเสินซูกลับไม่มีความคิดเช่นนั้น เขาลดระดับลงมาจากด้านบน หมายสังหารอีกฝ่ายให้ตายตกไปด้วยดาบเดียว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง