ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 309

บทที่ 309 ปริมาณข้อมูลมากเกินไป สมองขัดข้องแล้ว

ลอกคราบหรือ?!

เมื่อได้ยินคำพูดของไต้ซือเสินซู สวี่ชีอันก็ตกตะลึง และนึกถึงรายละเอียดมากมายขึ้นมาในทันที

จากภาพสลักฝาผนัง เห็นได้ชัดว่าเจ้าของสุสานแห่งนี้เป็นนักบวชเต๋า แต่สิ่งที่โผล่มาจากโลงศพสีทองแดงนั้นกลับกลายเป็นศพมัมมี่ลูกสมุนในชุดสีเหลืองแทน

สวมชุดสีเหลือง…เป็นแค่ข้ารับใช้กล้าใส่ชุดสีเหลืองได้อย่างไร จุดนี้น่าสงสัยมาก

นอกจากนี้ยังมีรอยไหม้จำนวนมากบนร่างมัมมี่ซึ่งสอดคล้องกับประวัติที่เคยถูกฟ้าผ่า

รายละเอียดทั้งหมดข้างต้นได้รับการอธิบายหลังจากที่ไต้ซือเสินซูเปิดเผยตัวตนของมัมมี่

ร่างกายนี้เป็นร่างเก่าของนักบวชลัทธิเต๋าที่ล้มเหลวในการฝ่าทัณฑ์หรือไม่ แล้วเจ้าตัวล่ะ เจ้าของร่างนั้นฝ่าทัณฑ์สำเร็จ และก้าวสู่ระดับหนึ่งไปแล้ว หรือว่าไปยึดร่างอื่นแทน…ความคิดของสวี่ชีอันพุ่งไปยังร่างเดิมของนักบวชลัทธิเต๋าอย่างอดไม่ได้

และแล้วก็นึกถึงจุดที่ไม่ชอบมาพากลขึ้นได้ นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยกล่าวว่า ช่วงฝ่าทัณฑ์ของระดับสอง หากสำเร็จก็เสวยสุขไป อา ไม่สิ หากสำเร็จก็ได้บรรลุเป็นเทพเดินดิน

ล้มเหลวและกลายเป็นเถ้าธุลี แต่คนคนนี้กลับคงร่างเดิมไว้ได้ หรือจะใช้วิถีทางใดทางหนึ่งหลีกหนีจากจุดจบของการเป็นเถ้าธุลีมาได้? หรือเป็นเพราะระดับขั้นของนักบวชเต๋าจินเหลียนต่ำเกินไป ความรู้จำกัด จึงใส่ไข่จนทัณฑ์สวรรค์ฟังดูเกินจริง

“เจ้าคิดจะขโมยโชคชะตานายท่านของข้าหรือ” ใบหน้าอัปลักษณ์สยดสยองของมัมมี่แสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยาม

ภาษาของมัมมี่นั้นคล้ายกับภาษาราชการของต้าฟ่งมาก แต่ก็มีจุดต่างในการออกเสียงบ้างเล็กๆ น้อยๆ

มนุษย์ได้ยึดครองที่ราบภาคกลางมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล แม้ว่าจะมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังดำรงอยู่ ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางภาษาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

ชายคนนี้จงรักภักดีต่อเจ้าของร่างเดิมของตนมากเลยสินะ…แหงล่ะ อย่างไรก็เป็นเจ้าของร่างเก่ากับเจ้าของร่างใหม่นี่ สวี่ชีอันเอ่ยในใจ

ไต้ซือเสินซูกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “นักบวชเต๋าเอ๋ย ฝึกฝนดาบยังต้องอาศัยโชคในการฝึกฝน ถึงแม้เจ้าจะไม่พูด อาตมาก็สามารถคาดเดาถึงรากเหง้าของนักบวชผู้นั้นได้”

นิกายมนุษย์!

ผู้นำเต๋าผู้นั้นเป็นคนจากนิกายมนุษย์…ถึงว่าล่ะเหตุใดภาพสลักฝาผนังจึงให้ความรู้สึกเดจาวูชัดเจนขนาดนี้ ซึ่งสามารถอธิบายได้อีกว่าเหตุใดลัทธิเต๋าต้องการปลงพระชนม์จักรพรรดิเพื่อชิงบัลลังก์… เฮ้อ น่าเสียดายที่ลั่วอวี้เหิงไม่ใช่ผู้ชาย มิฉะนั้น…อันตราย จักรพรรดิหยวนจิ่ง อันตรายแล้ว!

สวี่ชีอันนึกคิดอย่างเสียใจ

มัมมี่เงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ “ดูจากสถานะเช่นเจ้าแล้ว ก็คงจะมองออกได้ไม่ยาก”

ไต้ซือเสินซูพยักหน้า “เจ้าไม่อยากรู้ว่านายท่านของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้นะ”

คราวนี้มัมมี่ไม่ลังเล “ได้!”

ทักษะในการเจรจา คือเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ตราบใดที่มีความต้องการ ก็มีที่ว่างสำหรับการเจรจา…ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังวาดฉากละครจิตวิทยาของตนไปพลาง ก็ฟังบทสนทนาของลูกพี่ทั้งสองไปพลาง

“เขามาจากยุคไหน” ไต้ซือเสินซูถาม

“ราชวงศ์ต้าเหลียง”

“ราชวงศ์ต้าเหลียง…เจ้ารู้จักหรือไม่”

พระเสินซูขมวดคิ้ว ประโยคสุดท้ายนั้นเอ่ยถามสวี่ชีอัน

จากนั้น เขาก็ถามเองตอบเอง เป็นเสียงของสวี่ชีอันที่ออกมาจากปาก “ไต้ซือ ข้าเป็นเพียงทหารชั้นต่ำ หาใช่ศิษย์สำนักขงจื๊อ ข้าไม่เคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของต้าฟ่งเสียด้วยซ้ำ…”

ข้าเป็นแค่ทหาร ท่านอย่าเอาข้ามาแบกรับความกดดันที่ไม่ควรจะมีของระบบนี่สิ…สวี่ชีอันประชดประชันอย่างนึกขัน

“ดูจากท่าทางของเจ้า ข้าคงหลับใหลนานเกินไปหน่อย” เสียงแหบแห้งที่ออกมาจากลำคอของมัมมี่ ทำให้คนฟังรู้สึกว่าเสียงของเขานั้นเน่าเสียไปแล้ว

“ราชวงศ์ต้าเหลียง คือช่วงหมื่นปีหลังจากสูญสิ้นเทพอสูร ในขณะนั้นแว่นแคว้นต่างๆ เข้ายึดครองที่ราบภาคกลาง ทายาทของเทพอสูรยังคงสร้างความหายนะไปทั่วดินแดนจิ่วโจว แต่อย่างไรก็ตามพวกมันก็มีแค่พลังที่ถูกทำลายไปแล้ว ไม่อาจกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ได้

“นอกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ก็ไม่ควรสบประมาทพลังของเผ่าปีศาจ แต่เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์กรีธาทัพเข้ายึดครองแผ่นดิน เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยึดถือเผ่าพันธุ์และหมู่คณะเป็นหัวใจหลัก แม้ว่าพวกมันจะร่วมมือกัน แต่ปกติมักจะต่างคนต่างอยู่ เมื่อใดเกิดสงครามกับมนุษย์ขึ้นมา เผ่าพันธุ์ปีศาจก็จะรวมกันเป็นหนึ่ง”

หลังจากเทพอสูร เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจก็แย่งชิงอำนาจ…ประวัติศาสตร์นี้กินเวลานานเท่าไร ข้ารู้สึกว่าเหตุใดประวัติศาสตร์ของโลกนี้ช่างยุ่งเหยิง มีอดีตที่ตรวจสอบไม่ได้มากมายเหลือเกิน

ขนาดบัณฑิตจอหงวนอย่างฉู่หยวนเจิ่นยังไม่รู้จักเครื่องแต่งกายที่สลักบนฝาผนังเลย

โลกนี้ต้องการคนอย่างซือหม่าเชียน[1]สักคน…สวี่ชีอันพึมพำในใจ

“แล้วเทพอสูรตายได้อย่างไร” สวี่ชีอันพยายามแทรกเข้ามาในบทสนทนา และช่วงชิงกรรมสิทธิ์ ‘บัญชีผู้ใช้’ คืนมาชั่วคราว

มัมมี่ส่ายหัว

เอาเถอะ ประวัติศาสตร์มีจุดบกพร่องอยู่มากเกินไป อีกทั้งไม่มีระบบการศึกษาใดที่สมบูรณ์แบบ เรื่องราวเล็กน้อยเช่นนี้คงจะไม่มีวันปรากฏขึ้นอีก อืม เว้นแต่จะไปถามเทพเจ้ากู่ในหุบเหวลึกทางซินเจียงตอนใต้เอง…สวี่ชีอันถามต่อ

“เทพอสูรอยู่ในระดับใด”

“ระดับหรือ” มัมมี่ถามกลับ

โอ๊ะโอ ระดับที่เก้าถึงระดับที่หนึ่งในตอนนี้เป็นแนวคิดที่เสนอโดยปราชญ์ขงจื๊อ และยังแบ่งระดับด้วยตัวเองอีก เจ้าของสุสานนี้อยู่ในยุคก่อนหน้านั้นนี่หว่า…สวี่ชีอันตกตะลึง และรีบเปลี่ยนคำพูด

“มีพลังอะไรบ้าง”

“คำถามของเจ้านั้นคลุมเครือเกินกว่าข้าจะตอบได้ เทพอสูรแต่ละตนมีพลังการต่อสู้ที่แตกต่างกัน จะมาพูดรวมๆ ไม่ได้ เทพอสูรที่ทรงพลังที่สุด เป็นอมตะ แข็งแกร่งพอที่จะทำลายโลกได้เชียว” มัมมี่ส่ายหน้า

เช่นนั้นข้าขอทึกทักเอาว่าเทพอสูรที่ทรงพลังที่สุดนั้นแข็งแกร่งเหนือกว่าระดับสูงสุดได้หรือไม่ สวี่ชีอันตกอยู่ในห้วงความคิด ไม่ได้กล่าวอะไร

ไต้ซือเสินซูรับช่วงต่อ ‘บัญชีผู้ใช้’ แล้วถามว่า “ในยุคที่เจ้ามีชีวิตอยู่ มีเทพอสูรที่แข็งแกร่งระดับจุดสูงสุดกี่มากน้อย”

“หลังจากที่เทพอสูรสูญสิ้นไปแล้ว ก็ไม่มีใครไปถึงจุดสูงสุดของเทพอสูรได้ เทพเจ้ากู่ผู้รอดพ้นจากความตายเพียงตนเดียวคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลานั้น” มัมมี่ตอบ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวี่ชีอันก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากมุมมองนี้ สาเหตุของการสูญสิ้นเทพอสูรนั้นเป็นดั่งหลุมขนาดใหญ่ เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ได้ทำลายเทพอสูร

นอกจากนี้ ลัทธิเต๋ายังมีบุคคลที่แข็งแกร่งเหนือระดับสูงสุด ที่มีดำรงชีวิตอยู่ในช่วง ‘ยุคที่ขาดหายไป’

ไต้ซือเสินซูขมวดคิ้ว “ปรมาจารย์เต๋าล่ะ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สวี่ชีอันก็ตระหนักได้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหตุใดจึงไม่มีบุคคลผู้อยู่เหนือระดับสูงสุดอีกล่ะ มัมมี่ไม่รู้จักสำนักพุทธ บ่งบอกว่าในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ พระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ ทำนองเดียวกันกับโหร

แต่ถึงอย่างไรก็มีปรมาจารย์เต๋าผู้โค่นบัลลังก์แล้ว เช่นนั้นก็ต้องเกิดขึ้นหลังจากช่วงของปรมาจารย์เต๋าแน่นอน อย่างไรก็ต้องรู้ว่าปรมาจารย์เต๋าคือผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า

แสดงว่าปรมาจารย์เต๋าก็เป็นบุคคลผู้อยู่เหนือระดับสูงสุดเหมือนกันไม่ใช่หรือ เช่นนั้นจะมีแต่เทพเจ้ากู่ที่อยู่เหนือระดับสูงสุดเพียงตนเดียวได้อย่างไร

“ปรมาจารย์เต๋าคืออะไร” น้ำเสียงของมัมมี่มึนงง

“ก็…” สวี่ชีอันพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง จิตใจของเขาตกอยู่ในภาวะสับสน

เขาไม่รู้จักปรมาจารย์เต๋า เขาไม่รู้จักปรมาจารย์เต๋างั้นหรือ?!

เป็นนักบวชเต๋าแต่ไม่รู้จักปรมาจารย์เต๋า เป็นไปได้อย่างไร

“เจ้าไม่รู้จักผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋าหรอกหรือ” สวี่ชีอันถามคำถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ลัทธิเต๋า?” มัมมี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน คงเป็นพลังที่ปรากฏขึ้นหลังจากยุคต้าเหลียงสินะ”

ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับลัทธิเต๋า แต่ภาพนักบวชเต๋าบนภาพสลักฝาผนังนั่นมีตัวตนอยู่จริง…กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีความเป็นไปได้มากว่าแนวคิดของลัทธิเต๋ายังไม่ปรากฏขึ้นในช่วงนั้น

แต่กระทั่งปรมาจารย์เต๋าก็ไม่เคยได้ยินชื่อ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

สวี่ชีอันนึกถึงคำอธิบายของเว่ยเยวียนเกี่ยวกับระบบทหาร ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เริ่มต้นจากเหล่าทหารที่ฝึกกำลัง อาศัยสติปัญญาและพรสวรรค์ของตัวเอง สำรวจและสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และหลังจากนั้นอีกหลายขวบปี จึงก่อร่างสร้างตัวเป็นระบบทหารอย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เป็นไปได้หรือไม่ที่ปรมาจารย์เต๋าไม่ใช่ผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า ตอนนั้นมีแค่ระบบทั่วๆ ไป ซึ่งทุกคนต่างเดินทางสายนี้ และในที่สุดก็มาถึงยุคที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ประสมประสานความคิด ก้าวสู่ขั้นเหนือสูงสุดได้สำเร็จ และกลายเป็นอมตะ

หลังจากนั้นถึงจะมีลัทธิเต๋าเกิดขึ้น

ข้าจำได้ว่าตอนที่สืบค้นข้อมูลของสามนิกายแห่งลัทธิเต๋าที่คลังเอกสาร บันทึกไว้ข้างต้นว่า วันเกิดของปรมาจารย์เต๋าไม่ชัดเจน และไม่สามารถตรวจสอบได้…ซึ่งสอดคล้องกับปรากฏการณ์จุดบกพร่องทางประวัติศาสตร์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง