ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 323

บทที่ 323 ซูซู “เด็กน้อย ข้าเป็นผีนะ”

สวี่ชีอันยิ้ม ไม่กลัวแม้แต่น้อย เขานั่งลงที่โต๊ะ รินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้วแล้วกล่าวขณะดื่ม

“แม่ทัพหลี่อยากทำอะไร ข้าห้ามได้เสียที่ไหน แต่บังเอิญข้ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยบอกพวกเขาจริงๆ ตัวอย่างเช่นเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ในอวิ๋นโจว เป็นต้น…แม่ทัพหลี่บอกว่า ข้าเป็นอัจฉริยะในการไขคดี ยังมีอีกมากเชียวล่ะ”

ก็มาสิครับ สู้มาสู้กลับ ไม่กลัวอยู่แล้ว!

หลี่เมี่ยวเจินพยายามเก็บสีหน้าอย่างหนักหน่วง อดทนอดกลั้นต่อความอับอายในใจของนาง และพูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ ขอสั่งสอนเจ้าสักหน่อยซิ”

มือเล็กๆ ตบโต๊ะ กระบี่บินออกจากฝักที่อยู่ข้างหลัง วนเป็นครึ่งโค้งกลางอากาศ จิ้มเข้าที่บั้นท้ายของสวี่ชีอัน

สีหน้าของซูซูดูสะใจเสียเต็มประดา

หลี่เมี่ยวเจินมองนักบวชเต๋าจินเหลียนด้วยหางตา นางคิดว่า นักบวชเต๋าจินเหลียนต้องเข้ามาหยุดนางแน่นอน ทว่านางกลับเห็นนักบวชเต๋าจินเหลียนลูบเครายิ้มเผล่ ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาห้ามแม้แต่น้อย

‘อืม ดูเหมือนว่าท่านนักบวชเต๋าจะเห็นว่าชายผู้นี้น่าทุเรศเหมือนกัน จึงอยากให้ข้าสั่งสอนบทเรียนให้เขาสินะ’…ชั่วขณะที่ความคิดนั้นผุดขึ้นมา หลี่เมี่ยวเจินก็เห็นเจ้านั่นคว้าจับกระบี่บินไว้ได้ โดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ

ฝ่ามือของสวี่ชีอันถูกย้อมด้วยชั้นแสงสีทองอย่างรวดเร็ว ‘ติ๊ง’ เสียงก้อนหินกระทบกับเหล็กดังขึ้นจากฝ่ามือของเขา

หลี่เมี่ยวเจินลุกขึ้นยืนทันที ดวงตาคู่สวยของนางเบิกกว้าง นางจ้องไปที่แขนของสวี่ชีอันอย่างไม่เชื่อสายตา และพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ

“ร่างทองแห่งสำนักพุทธหรือ”

สวี่ชีอันยิ้มและกล่าว “ถูกต้อง เป็นพลังเทพวชิระที่ได้มาจากการชนะในพิธีต้าวฮวด แม่ทัพหลี่ กระบี่บินของเจ้าอ่อนแรงไปหน่อยนะ เพิ่มพลังหน่อยสิ”

ร่างทองแห่งสำนักพุทธที่ได้มาจากการชนะในพิธีต้าวฮวด…หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง ประกาศราชสำนักไม่เห็นเขียนถึงเรื่องนี้เลย

“นายท่าน เขาดูถูกนายท่านอยู่นะเจ้าคะ” ซูซูรีบใส่ไฟทันที

ความกังวลเมื่อครู่นั้นมาจากใจจริง แต่ความโกรธในตอนนี้ ก็มาจากใจจริงเช่นกัน

“อยากลองสัมผัสกระบี่บินแห่งลัทธิเต๋าอยู่พอดี” สวี่ชีอันยักคิ้ว

“งั้นก็ดี!”

หลี่เมี่ยวเจินไม่อ่อนข้อให้อีกต่อไป นางบังคับกระบี่บินให้หลุดออกจากการเกาะกุมของสวี่ชีอัน ‘กึก กึก กึก…’ กระบี่บินสั่นไหวไม่หยุด แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากฝ่ามือได้

เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์เผยสีหน้าเคร่งขรึม มือข้างหนึ่งบีบแน่น กระบี่บินเปลี่ยนทิศทางการถอยหลังเป็นเคลื่อนมาข้างหน้าทีละนิดๆ แทน

สวี่ชีอันขบกรามจนกล้ามเนื้อใบหน้าปูดโปน บริเวณหน้าผากและมือปรากฏเส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นมา ราวกับกำลังงัดข้อกับใครสักคน

การเสียดสีระหว่างฝ่ามือกับกระบี่บินเกิดเป็นเสียงแสบแก้วหู

มวยปล้ำไร้เสียงกินเวลาไม่กี่วินาที ได้ยินเพียงเสียง ‘ตู้ม’ หลังคาก็ปลิวไปด้วยแรงระเบิด คานและกระเบื้องตกลงมาแตกกระจัดกระจายเสียงดังโครมคราม ประตูและหน้าต่างก็ถูกพัดปลิวทันทีเช่นกัน

ซูซูไม่เสียแรงที่เป็นผีมายี่สิบปี นางดึงพลังหยินออกมาสร้างกำแพงป้องกัน ขัดขวางการโจมตีของพลังปราณอย่างสุดความสามารถ

“สู้ให้มันมีขอบเขตบ้าง เอาแต่พอดีสิ…”

นักบวชเต๋าจินเหลียนโอดครวญ

สวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินมองหน้ากัน คนหนึ่งถือกระบี่ อีกคนหนึ่งใช้มือ

‘ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน การฝึกฝนของเขาก้าวมาถึงสู่ขั้นนี้แล้ว’…หลี่เมี่ยวเจินจ้องมองสวี่ชีอันด้วยความรูสึกซับซ้อน เมื่อครั้งได้เจอกันที่อวิ๋นโจว เขาเป็นทหารระดับแปดที่ทะลวงระดับหลอมวิญญาณ

ในความเห็นของหลี่เมี่ยวเจินซึ่งอยู่ในระดับห้าในขณะนั้น ถือว่าฝึกตนได้ไม่เลวเลย ใครจะไปคิดว่าหลังจากผ่านไปสองหรือสามเดือน เขาจะพัฒนาจนแข็งแกร่งได้เพียงนี้

ต้องบอกไว้ก่อนว่าการฝึกตนของนางไม่ได้เชื่องช้า ตอนนี้ก้าวสู่ระดับสี่รวมปราณของลัทธิเต๋าแล้ว เหนือกว่าอดีตจนไม่อาจเทียบได้

แต่ตอนนี้หลี่เมี่ยวเจินกลับสิ้นเรี่ยวแรง รู้สึกว่าพรสวรรค์ของตนมันก็เท่านี้เอง

“อะแฮ่มๆ!”

นักบวชเต๋าจินเหลียนกระแอมไอและพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าโจมตีร่างกายของเขาด้วยกระบี่บินของเจ้า ก็เหมือนโจมตีจุดแข็งของผู้อื่นด้วยจุดอ่อนของเจ้าเอง ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด อย่าเคร่งเครียดนักเลย”

หลี่เมี่ยวเจินเป็นยอดฝีมือระดับสี่ ยังไม่เคยใช้กระบวนท่าของนิกายสวรรค์ วิชากระบี่บินของนางสามารถกรีดเนื้อเถือหนังระดับหกกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้ไม่มีปัญหา แต่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับระดับเพชรของสำนักพุทธ

‘เหตุใดพลังเทพวชิระของเจ้าหนุ่มนี่ถึงได้พัฒนาเร็วขนาดนี้’…นักบวชเต๋าจินเหลียนเหลือบมองสวี่ชีอันและเกิดความสงสัยขึ้นในใจ

“หากต่อสู้กันจริงๆ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหรอก แต่เจ้าต้องทำลายระดับเพชรไร้พ่ายของข้าให้ได้เสียก่อน ซึ่งเปลืองพลังงานอย่างมาก” สวี่ชีอันกล่าวอย่างถ่อมตัวแล้วเสริมในใจว่า

ไม่เกินเจ็ดวัน หลังจากที่ข้าได้ซึมซับแก่นโลหิตของไต้ซือเสินซูแล้ว ก็จะเลื่อนขั้นจากพลังเทพวชิระไปสู่ระดับก่อร่างขั้นต้น

ผลกระทบที่แท้จริงของแก่นโลหิตที่ไต้ซือเสินซูมอบให้เขาคือการเพิ่มความเร็วของการฝึกพลังเทพวชิระ เพราะตัวไต้ซือเสินซูเองก็เป็นถึงปรมาจารย์ใหญ่แห่งเทพวชิระ

แก่นโลหิตของเขาผสานกับพลังเทพวชิระได้อย่างลงตัว ขอแค่ตอนที่สวี่ชีอันฝึกฝนวิชานี้ซึมซับแก่นโลหิตไปด้วย ก็สามารถพัฒนาระดับของพลังเทพวชิระได้

หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียง ‘หึ’ แล้วหันไปมองทางอื่น

หลังจากที่ปล่อยกระบี่ออกไป ความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ในใจของนางก็มลายสิ้น ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนมากเท่าที่เคยเป็นแล้ว ในขณะเดียวกัน การ ‘ข่มขู่’ ของสวี่ชีอันก็ทำให้นางเกิดความลังเลขึ้นมา

หากมีการเปิดเผยตัวตนของสวี่ชีอัน คำพูดและการกระทำของนางในอวิ๋นโจวก็จะถูกโพนทะนาในพรรคฟ้าดินด้วย…วิธีทำลายคนอื่นแต่ตัวเองก็ย่อยยับไปด้วย ไม่ใช่วิถีของเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์อย่างนาง

นางพอจะเข้าใจว่าเหตุใดสวี่ชีอันถึงยืนกรานที่จะปกปิดตัวตนของตัวเอง

ตอนแรกเขาโอ้อวดเอาไว้เสียใหญ่โต น่าจะเกินกว่านางไปประมาณร้อยเท่าเห็นจะได้ หากถูกเปิดโปงเช่นนี้ คงไม่เหลือความเป็นมนุษย์อีก

“เมี่ยวเจิน หากเจ้าไม่อยากพักที่โรงเตี๊ยม เจ้าก็ไปพักที่จวนของสวี่ชีอันก็ได้นะ หมายเลขห้าที่อยู่ที่นั่นเหมือนกัน จวนสกุลสวี่ตั้งอยู่ในเมืองชั้นใน มีทางเข้าออกสามทาง หรูหราโอ่อ่าเอาการทีเดียว” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าว

เอาอีกแล้วหรือ บ้านข้ากลายเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของพรรคฟ้าดินตั้งแต่เมื่อไร…สวี่ชีอันมุมปากกระตุก

ดวงตาของซูซูวาววับ เมื่อเทียบกับการพักในโรงเตี๊ยมแล้ว พักในจวนย่อมสะดวกสบายกว่าเป็นไหนๆ นอกจากนี้ นางคิดจะอาศัยช่วงกลางคืนนัดพบกับชายผู้นี้ เพื่อให้เขาพาไปสำนักโหราจารย์

หลี่เมี่ยวเจินคิดถึงศพหัวขาด นางกังวลว่าความสามารถในการคลี่คลายคดีของนางนั้นมีจำกัด จะส่งต่อคดีให้กับที่ทำการปกครอง วิกฤตความเชื่อมั่นนางที่มีต่อราชสำนัก ก็ทำให้นางต่อต้านความคิดนี้อย่างสุดหัวใจ

เกรงว่าพวกเสวยสุขบนซากศพ[1]เหล่านั้นคงไม่สนใจ

โชคดีที่สามารถส่งต่อคดีนี้ให้สวี่ชีอันจัดการได้ และยังสามารถเรียนรู้ทักษะการคลี่คลายคดีจากเขาได้อีกด้วย

ดังนั้นหลี่เมี่ยวเจินจึงพยักหน้าและพูดว่า “ดีเลย ข้าก็อยากเจอหมายเลขห้าเหมือนกัน นางคงลำบากมากตอนเดินทางขึ้นเหนือ”

รู้สึกเหมือนว่านักบวชเต๋าจินเหลียนมีบางอย่างที่อยากจะพูดกับข้าแฮะ…สวี่ชีอันตระหนักถึงสายตาพินิจพิเคราะห์ของนักบวชเต๋าจินเหลียนที่มองมาทางตนบ่อยๆ สีหน้าของเขาสงบ และส่งยิ้มน้อยๆ ให้

“แม่ทัพหลี่ จะกลับจวนกับข้าหรือไม่”

นักบวชเต๋าจินเหลียนมองดูทั้งสองคนจากไปและครุ่นคิด “เมื่อการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์จบลง ข้าจะออกไปจากเมืองหลวง แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ต้องหาทางขัดขวางการศึกครั้งนี้ให้ได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง