บทที่ 324 ตัวตนของศพ
“ผู้ชายเฮงซวย เด็กน้อยบ้านเจ้าสมองเพี้ยนหรือเปล่า”
ซูซูวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องหนังสือ และความรู้สึกที่กระสับกระส่ายเหมือนมีหนามทิ่มแทงหลังของนางก็พลันหายไป เป็นเรื่องแปลกมากจริงๆ ที่นางรู้สึกไม่สบายใจเมื่อถูกเด็กอายุห้าหกขวบจ้องมอง
“เจ้าต่างหากที่สมองเพี้ยน ครอบครัวของเจ้าป่วยเหมือนกันหมด อ้อ ลืมไปว่าคนในครอบครัวของเจ้าตายไปหมดแล้ว”
สวี่ชีอันตอบอย่างไร้ความปรานี เขาลืมเรื่องตลกจากอาสะใภ้ของเขา คิดว่าซูซูกำลังพูดเสียดสีเสี่ยวโต้วติง
‘กึก…’
สวี่ชีอันปิดประตูห้องหนังสือ เขาคิดอยากจะรินชาให้กับหลี่เมี่ยวเจิน แต่เมื่อพิจารณาว่าอาจมีการชันสูตรพลิกศพต่อ เวลานี้จึงไม่เหมาะที่จะดื่มชา ดังนั้นเขาจึงไม่รินชาให้กับแขก
หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้พูดมาก นางหยิบหนังสือปฐพีออกมา เขย่าเบาๆ และเงาสีดำก็ตกลงมาบนพื้นห้องหนังสือ ‘ตุบ’
สวี่ชีอันผู้มีประสาทสัมผัสที่ว่องไวได้กลิ่นเลือดเข้มข้น
เขาจ้องไปที่ศพที่ไร้หัวครู่หนึ่งแล้วถามว่า “วิญญาณของเขาอยู่ที่ไหน”
ศพไร้หัวไม่สามารถอธิบายอะไรได้ เนื่องจากหลี่เมี่ยวเจินกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เขาจึงต้องใช้วิธีของลัทธิเต๋าเพื่อเรียกวิญญาณมาสอบสวน
หลี่เมี่ยวเจินตบถุงเครื่องหอม และควันสีเทาลอยอ้อยอิ่ง บิดตัวไปมากลางอากาศก็กลายเป็นชายวัยกลางคนที่มีดวงตาหมองคล้ำ ใบหน้าพร่ามัวล่องลอยในอากาศพลางกล่าวพึมพำ “สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ราชสำนักโปรดส่งกำลังพลไปปราบปราม…”
สีหน้าของเทพธิดานิกายสวรรค์เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “วิญญาณของเขาได้รับความเสียหาย หากต้องการทราบเนื้อหาหลังจากนี้ ก็ทำได้แค่เลี้ยงดูวิญญาณของเขา แต่เมื่อดูจากความเว้าแหว่งของวิญญาณแล้ว ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือน”
สวี่ชีอันเหลือบมองนาง แล้วส่งเสียง “เหอะ” ออกมา “ผ่านไปสองเดือนก็ไม่ทันการเสียแล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินจ้องมอง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอกมาสิว่าต้องทำอย่างไร”
นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร มีแต่เพียงเบาะแสนี้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ข้อมูลไม่ชัดเจน จับต้นชนปลายไม่ถูก แล้วจะเสาะหาความจริงได้อย่างไร
ลูกตาดำขลับตัดกับตาขาวชัดเจนของซูซูจ้องมองแต่ละคน นางรู้ดีถึงความสามารถในการไขคดีของสวี่ชีอัน เขาไม่มีทางสับสนเหมือนนายท่านอย่างแน่นอน
สำหรับคดีนี้ ซูซูทั้งคาดหวังทั้งสงสัยว่าเขาจะวิเคราะห์จากแง่มุมใด
สวี่ชีอันครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวลงถอดเสื้อผ้าของศพออก และหลังจากตรวจสอบแล้ว เขาก็พูดว่า “ว่าแล้วเชียว เขาเป็นคนจากทางเหนืออย่างแน่นอน”
ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินเบิกกว้างขึ้นทันทีและถามว่า “ดูจากอะไร”
นางเฝ้ามองกระบวนการชันสูตรศพของหมายเลขสามผู้ไร้ยางอายตั้งแต่ต้นจนจบ แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปเช่นเดียวกับเขา
“คนจากภูมิภาคต่างกัน จะมีลักษณะที่ต่างกัน ดูจากหน้าตาผิวพรรณก็บอกได้แล้วว่าผู้ตายเป็นคนจากที่ใด แต่นี่ไม่มีหัว หน้าของวิญญาณจึงเห็นไม่ชัด…ดังนั้น หากต้องการตัดสินว่าศพไร้หัวเป็นคนที่ใด ก็ต้องตรวจสอบจากรูปพรรณสัณฐานของร่างกาย”
สวี่ชีอันยกมือขวาของศพขึ้นและพูดว่า “พวกเจ้าดูสิ คนผู้นี้นอกจากจะฝ่ามือด้านแล้ว นิ้วชี้ยังมีผิวหนังหนาเช่นกัน คนที่ใช้ดาบหรือกระบี่เป็นอาวุธไม่มีทางมีผิวหนังด้านในลักษณะนี้อย่างแน่นอน”
ซูซูและหลี่เมี่ยวเจินมองใกล้ๆ แล้วก็เป็นจริงดั่งคำของเขา
วิญญาณสาวกะพริบตาคู่สวยของนางและพูดเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นใช้อาวุธอะไร อย่าปล่อยให้คนเขาอยากรู้สิ”
หลี่เมี่ยวเจินทำสีหน้าตะลึง “คันธนู”
สมแล้วที่เป็นแม่ทัพหญิงผู้คลุกคลีในกองทัพ ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วจริงๆ…สวี่ชีอันพยักหน้า “ถูกต้อง ผู้ชายคนนี้ยิงธนูเก่ง”
ซูซูเอียงศีรษะแล้วโต้กลับ “แค่นี้ก็พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนทางเหนือได้เลยหรือ ข้าว่าเจ้าพูดจามั่วซั่วมากกว่า คนที่ยิงธนูเก่งๆ มีตั้งมากมาย อาจจะเป็นคนในกองทัพก็ได้ไม่ใช่หรือ”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าเห็นด้วย
“ถูก ที่แม่นางซูซูพูดมาก็มีเหตุผล ตัวอย่างเช่น มีคนที่เก่งด้านการยิงธนูอยู่ข้างกายเจ้าและก็ไม่ได้อยู่ในกองทัพ”
สวี่ชีอันขยิบตา ส่วนมือก็ยังเคลื่อนไหวไม่หยุด เขาแยกขาของศพที่ไร้หัวออกและพูดว่า
“พวกเจ้าสังเกตดีๆ สิ โคนต้นขาของเขาไม่มีหนังด้าน หากเป็นทหารที่ขี่ม้ามานาน ผิวหนังส่วนต้นขานี้ย่อมด้านเป็นแน่ ไม่ใช่คนที่อยู่ในกองทัพและยิงธนูเก่ง สอดคล้องกับลักษณะของคนทางเหนือ คนในยุทธภพต้าฟ่งไม่สันทัดการยิงธนู”
คนทางเหนือเก่งเรื่องการยิงธนู แม้แต่ชายในวัยผู้ใหญ่ทั่วไปก็สามารถยิงธนูได้ ตามความเข้าใจของสวี่ชีอัน ผู้คนจากยุทธภพทางเหนือหลายแห่งมีมีดและธนูเป็นอาวุธพื้นฐานของพวกเขา
บางครั้งหากไม่มีมีด ก็จะใช้กริชหรือมีดสั้นแทน แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีธนูเป็นอาวุธหลัก
ในเวลานี้ซูซูก็โต้แย้งอีกว่า “หรือว่าเป็นพลธนู”
สวี่ชีอันเยาะเย้ย “ใครเขาใช้พลธนูมาส่งสาส์นกันเล่า หากเดาไม่ผิดคนผู้นี้น่าจะเป็นชาวยุทธ์จากทางตอนเหนือ ส่วนสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อ เขาได้รับมอบหมายภารกิจจากใคร หรือใครสังหารเขา เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้”
หลี่เมี่ยวเจินพ่นลมหายใจอันขุ่นมัวเงียบๆ และกล่าวด้วยความโล่งใจ “ถ้าอย่างนั้นเรื่องของเขาฝากให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ในฐานะที่เป็นฆ้องเงินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เจ้าจัดการเรื่องเหล่านี้จะดีกว่า”
ซูซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกว่าแม้ว่าผู้ชายเฮงซวยคนนี้จะมากตัณหาและน่ารำคาญ แต่เรื่องนี้เขาทำได้ดีจริงๆ
หลังจากการวิเคราะห์ที่สมเหตุสมผลแล้ว นางก็มั่นใจมากทีเดียว
‘ข้าและนายท่านต่างมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าจะสืบสวนอย่างไร แต่เมื่อมอบหมายให้ชายผู้นี้ ก็พบเบาะแสในทันที’
แม้ว่าซูซูมักจะบ่นว่าหลี่เมี่ยวเจินชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และถึงแม้ว่าตัวนางเองชื่นชอบที่จะซึมซับจิตวิญญาณของผู้ชาย แต่นางก็รู้ว่าตนเองเป็นวิญญาณสาวที่มีจิตใจดี
หากไม่สามารถจัดการเรื่องศพหัวขาดได้อย่างเหมาะสม นางและหลี่เมี่ยวเจินคงต้องมีบ่วงติดค้างในใจเป็นแน่ สิ่งนี้จึงขับเน้นความดีของสวี่ชีอันที่สามารถสร้างความอุ่นใจได้
…
หลังจากจัดห้องพักสำหรับหลี่เมี่ยวเจินและซูซูและสั่งคนครัวเตรียมของว่างแล้ว สวี่ชีอันก็กลับมาที่ห้องหนังสืออีกครั้ง นำศพเก็บไว้ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ขอวิญญาณที่เหลือ จากนั้นก็ขี่แม่ม้าน้อยตรงไปที่ทำการปกครอง
ข้าจำได้ว่าเว่ยกงบอกว่าทางเหนือมีสงครามบ่อยครั้ง และต้าฟ่งก็พ่ายแพ้ทุกครั้งไป ขุนนางบุ๋นเขียนหนังสือกล่าวหาอ๋องสยบแดนเหนือ แต่ถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งโยนความผิดให้เว่ยเยวียน และถอดถอนออกจากตำแหน่งเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้าย
สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องใหญ่โตขนาดนี้…เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องรายงานเว่ยกงให้ทันท่วงที
แม่ม้าน้อยมุ่งหน้าไปยังที่ทำการปกครอง สวี่ชีอันมอบบังเหียนม้าให้กับเจ้าพนักงานหน้าประตูและรีบไปที่หอเฮ่าชี่
“ฆ้องเงินสวี่ เว่ยกงเพิ่งสั่งให้เตรียมรถม้าเข้าวัง” ทหารยามข้างล่างรายงาน
เข้าวังหรือ…เข้าวังไปต่อล้อต่อเถียงกับจักรพรรดิหยวนจิ่งและขุนนางบุ๋นพวกนั้นน่ะหรือ… เสียเวลานัก…สวี่ชีอันปั้นหน้าเคร่งขรึม “อย่าพูดมาก เข้าไปรายงานซะ”
“ขอรับ…” ทหารยามวิ่งเข้าไปในอาคารอย่างรู้ความ
หลังจากได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากทหารยาม สวี่ชีอันใช้มือข้างหนึ่งกระชับดาบ ปีนบันไดขึ้นไป เห็นเว่ยเยวียนนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ดวงตาที่ผ่านกาลเวลาผกผันแรมปี จ้องมองเขาอย่างอ่อนโยนและสงบ
เขายังคงสวมเสื้อที่มีสีเขียวเช่นเดิม ทว่ามีลายเมฆที่สลับซับซ้อนและปักมังกรฟ้าบนหน้าอก
นี่คือชุดที่เว่ยเยวียนสวมใส่เมื่อไปเข้าประชุมหรือเวลาที่เขาเข้าไปในวัง
“เจ้ามีเวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยเท่านั้น มีเรื่องอะไรเร่งด่วน รีบว่ามา” เว่ยเยวียนกล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก
“เนื่องจากเว่ยกงดูรีบร้อน ข้าจะเล่าเรื่องแบบรวบรัดก็แล้วกันขอรับ” ในใจของสวี่ชีอันก็กังวลเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงหยิบชิ้นส่วนหยกออกมาแล้วเขย่าเบาๆ
‘ตุบ’…ศพหัวขาดหล่นลงบนพื้นห้องน้ำชาที่สะอาดและเป็นระเบียบ ทำให้พื้นที่เคยสะอาดนั้นสกปรกทันที
เว่ยเยวียนรู้สึกประหลาดใจ ดวงตาของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้น”
“วันนี้หลี่เมี่ยวเจินเดินทางมาถึงเมืองหลวงและพักอยู่ที่จวนของข้า” สวี่ชีอันกล่าว
“อืม”
เว่ยเยวียนพยักหน้าและไม่สนใจ เขาจ้องไปที่ศพที่ไม่มีหัวและพูดเบาๆ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับศพนี่”
สวี่ชีอันยิ้ม “เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง นางพบศพนี้ห่างจากเมืองหลวงแปดสิบลี้ ถูกตัดศีรษะด้วยมีด เรียบง่ายธรรมดา แต่หลี่เมี่ยวเจินนั้นเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น จึงเรียกวิญญาณที่เหลืออยู่ของผู้ตายมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่า…”
เขาจงใจเว้นจังหวะ อยากให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยขึ้นมา แต่เมื่อเห็นหน้าเว่ยเยวียนที่ดูไม่น่าชมเท่าไรนัก เขาก็กลัวว่าเดือนหน้าจะโดนหักเงินเดือนเพราะก้าวเท้าผิดข้าง จึงพูดต่อทันที
“วิญญาณได้พูดอะไรบางอย่างออกมา อืม เว่ยกง ท่านดูด้วยตาตนเองจะดีกว่า”
เขานำถุงเครื่องหอมที่หลี่เมี่ยวเจินมอบให้เขาออกมา ปลดเชือกสีแดง กลุ่มควันขาวพลันลอยคลุ้งขึ้นในอากาศ กลายเป็นชายที่มีใบหน้าพร่ามัวและดวงตาหมองคล้ำ พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า
“สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ราชสำนักโปรดส่งกำลังพลไปปราบปราม…”
ตาของเว่ยเยวียนหรี่ลงทันที จ้องมองไปยังวิญญาณที่เหลืออยู่ด้วยดวงตาที่เฉียบคม
เขาเงียบไปสองสามวินาทีแล้วพูดว่า “เจ้ามีเบาะแสอะไร”
นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคเพื่อยืนยัน ดูเหมือนว่าสวี่ชีอันน่าจะค้นพบอะไรบางอย่างแล้วแน่นอน
ฆ้องเงินผู้น้อยที่เขาชื่นชมไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง สวี่ชีอันรายงานกลับ “ในขั้นต้นข้าน้อยขอสรุปว่าเขาเป็นคนทางเหนือและถูกฆ่าตายระหว่างทางมาแจ้งสาส์นนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง