ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 328

บทที่ 328 สวี่ชีอัน ‘ไม่มีใครดึงขนแกะของข้าได้’ (2)

หนานกงเชี่ยนโหรวรุดข้ามลานกว้างและเข้ามาในห้องทรงพระอักษรด้วยการนำของขันที

เขาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มสองคนในชุดเกราะเบายืนอยู่บนพรมสีแดงสด นอกจากนี้ก็ไม่มีใครอื่นอีก

หนานกงเชี่ยนโหรวรู้จักเด็กหนุ่มทั้งสอง ในกองทหารรักษาวัง คนหนึ่งมาจากตระกูลสูงศักดิ์ อีกคนหนึ่งเป็นนักวรยุทธ์รากหญ้าที่โดดเด่น

เมื่อสองคนนั้นเห็นหนานกงเชี่ยนโหรว นัยน์ตาพลันฉายแววประหลาดใจ

หนานกงเชี่ยนโหรวกับพวกเขาไม่ได้มีมิตรภาพใดๆ ต่อกัน นิสัยส่วนตัวยังไม่ชอบสุงสิงกับใครจึงไม่ได้กล่าวทักทาย เพียงแค่ยืนเงียบอยู่ข้างกัน

ไม่นานจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เดินเข้ามาพลางมองคนทั้งสาม สุดท้ายก็มาหยุดตรงหน้าพวกเขาแล้วกล่าวเสียงขรึม “รู้หรือไม่ว่าข้าเรียกพวกเจ้าทั้งสามคนมาด้วยเหตุใด”

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่ตอบ นักวรยุทธ์รากหญ้าก้มศีรษะเล็กน้อย ส่วนเด็กหนุ่มจากตระกูลสูงศักดิ์กำมือ “ฝ่าบาทโปรดชี้แนะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าแล้วกล่าวช้าๆ “อีกสามวันจะเกิดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะออกไปขัดขวาง…”

เขาบอกผลดีผลเสียของเรื่องนี้แก่ทั้งสาม จากนั้นก็ถามว่า “พวกเจ้ามีใครเต็มใจบ้าง ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็จะได้เลื่อนหนึ่งขั้น”

ทั้งสามคนนี้คือนักวรยุทธ์ขั้นสี่ที่หนุ่มที่สุดในเมืองหลวงและเป็นนักวรยุทธ์ขั้นสี่ของราชสำนัก

ภายนอกนั้นนักวรยุทธ์ขั้นสี่หาได้ยากยิ่ง ทั้งสิบสามมณฑลของต้าฟ่ง หนึ่งมณฑลมีขั้นสี่นับนิ้วได้ แต่ในฐานะศูนย์รวมอำนาจแห่งต้าฟ่ง เมืองหลวงมียอดฝีมือขั้นสี่มากกว่าที่คาดไว้มาก

ทว่านักวรยุทธ์ขั้นสามนั้นมีเพียงอ๋องสยบแดนเหนือผู้เดียว นักวรยุทธ์ขั้นสามที่สามารถตัดแขนขาแล้วได้เกิดใหม่หลุดจากนิยามความเป็นมนุษย์ไปแล้ว และยังแตกต่างจากขั้นสี่ราวฟ้ากับเหว

หนานกงเชี่ยนโหรวยังคงเผยสีหน้าไร้อารมณ์

นักวรยุทธ์รากหญ้าฉายความโกรธเคืองวาบผ่านดวงตา ทว่านักวรยุทธ์จากตระกูลสูงศักดิ์กลับหวาดกลัวและระแวง

จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวเสียงขรึม “เลื่อนสองขั้น”

ความโกรธเคืองในดวงตานักวรยุทธ์รากหญ้าลุกโชนขึ้นอีก นักวรยุทธ์จากตระกูลสูงศักดิ์ดูสนใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้าพลางเอ่ยเสียงเบา “ขอประทานอภัยฝ่าบาท กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่อาจรับหน้าที่นี้ได้”

นักวรยุทธ์รากหญ้ากำมือประสาน “กระหม่อมไม่อาจรับหน้าที่นี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าปกติ “พวกเจ้าสองคนออกไปเถิด หนานกงเชี่ยนโหรวอยู่ก่อน”

ทั้งสองคนโล่งใจพร้อมถอยออกจากห้องทรงพระอักษร

จักรพรรดิหยวนจิ่งก้าวกลับไปที่บัลลังก์แล้วนั่งลง ผ่านไปสิบกว่าลมหายใจถึงเปิดปากพูด “พวกเขาสองคน คนหนึ่งไม่พอใจที่ข้าออกหน้าแทนนิกายมนุษย์ จึงสรุปได้ว่าไม่พอใจกับการฝึกเต๋าของข้า

“ส่วนอีกคนหนึ่งก็รักตัวกลัวตาย ฐานะก็ร่ำรวยอยู่แล้วจึงไม่อยากเข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทของทั้งสองนิกาย”

หนานกงเชี่ยนโหรวมองจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างเรียบเฉย “ฝ่าบาทรั้งกระหม่อมไว้เพราะคิดว่ากระหม่อมจะทำหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “หนานกงเชี่ยนโหรว ข้ารู้ตัวตนของเจ้าและรู้ว่าเจ้าต้องการอะไร”

หนานกงเชี่ยนโหรวดวงตาหดแคบ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติทันควัน

จักรพรรดิหยวนจิ่งจ้องเขา “ขอเพียงเจ้าจัดการเรื่องนี้ให้ข้า ข้าจะให้เจ้ายืมทหารชั้นยอดสองหมื่นนาย”

หนานกงเชี่ยนโหรวสีหน้าวูบไหวราวกับสนใจมาก แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะปฏิเสธ “ฝ่าบาท กระหม่อมสัญญากับเว่ยกงแล้ว จนกว่าจะได้ชื่อของข้าคืนมา ข้าไม่อาจไปจากเขาได้

“อีกอย่าง หลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่น หรือกับใครข้าก็ไม่กลัวทั้งสิ้น แต่หากพวกเขาทั้งสองร่วมมือกัน ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพื่อทำตามพันธสัญญาระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ตามกำหนด พวกเขาต้องร่วมมือกันเพื่อไล่คนนอกออกไปก่อนอย่างแน่นอน มิใช่ว่าข้าไม่เต็มใจ แต่ข้าไร้ความสามารถ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่ดึงดันจึงโบกมือ

หนานกงเชี่ยนโหรวกำมือประสานแล้วถอยออกจากห้องทรงพระอักษร

จักรพรรดิหยวนจิ่งสั่งการด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บอกท่านราชครู ข้าไร้ความสามารถ ให้นางจัดการเองเถิด”

สตรีดื้อรั้นเช่นนี้ ยอมเผชิญหน้ากับศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ แต่ไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปตัดสินแพ้ชนะกับผู้นำเต๋านิกายสวรรค์เถิด

อารามรัตนะ

ขันทีหนุ่มโค้งคำนับแล้วกล่าวเสียงเล็กแหลม “ท่านราชครู ฝ่าบาทก็ไร้หนทางขอรับ ในเมืองหลวง ยอดฝีมือขั้นสี่ต่างไม่ต้องการเจ้าไปแทรกแซงศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์

“ท่านก็รู้ ฝ่าบาทบังคับพวกเขาไม่ได้”

ลั่วอวี้เหิงไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง แต่กล่าวเสียงเบา “ข้ารู้แล้ว”

ขันทีไม่กล้ารั้งอยู่นาน หลังจากโค้งคำนับแล้วจึงจากไปอย่างรวดเร็ว

อีกหนึ่งเค่อถัดมา แมวสีส้มตัวผอมก็ปรากฏตัวบนรั้วของเรือนเล็ก นัยน์ตาสีอำพันหดแคบเป็นแนวตั้งจ้องมองสตรีในสระน้ำ

“ศิษย์น้องหญิง!”

ลั่วอวี้เหิงไม่ได้เงยหน้ามอง แต่พูดด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ “ท่านมาทำอะไร”

แมวส้มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเชิงปรึกษา “ขอถามสักเรื่อง นิกายมนุษย์มียาชิงตันอยู่ในครอบครองหรือไม่ ยานี้ยากต่อการปรุง ประเมินค่าไม่ได้…”

ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขัด “ในเมื่อรู้ว่าหายาก แล้วยังจะถามอีกหรือ ท่านเป็นผู้นำเต๋านิกายปฐพี จะเอายาชิงตันไปเพื่ออะไรกัน”

แมวส้มเลิ่กลั่ก “ในสายตาศิษย์น้องหญิง อาตมาเป็นเพียงญาติจนๆ ไม่น่ามองใช่หรือไม่ ยาชิงตันนั้นข้าไม่ได้ใช้เอง ข้ามาถามแทนคนอื่นต่างหาก”

ลั่วอวี้เหิงส่งเสียง ‘เหอะ’ แล้วเยาะเย้ย “ท่านไม่ใช่ญาติจนๆ แต่เป็นนักพรตไร้ยางอายน่ารังเกียจ ท่านพ่อข้าเคยปรุงยาชิงตันไว้หม้อหนึ่ง สองส่วนในนั้นถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งเอาไป ส่วนสุดท้ายอยู่ที่ข้า

“แต่ยานี้ทั้งปรุงยากทั้งล้ำค่า ข้าไม่ให้ท่านหรอก นอกจากเจ้าจะเอาเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีมาแลก”

เศษหนังสือปฐพีจะให้เจ้าได้อย่างไร นิกายมนุษย์อย่างเจ้าก็ใช้ไม่ได้…แมวส้มบ่นในใจ ก่อนจะพูดอย่างเสียใจ “ช่างเถิด เดิมทีข้าอยากไปขอความช่วยเหลือให้ศิษย์น้องหญิง คนที่สามารถชะลอศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ได้ อีกฝ่ายมีเพียงคำขอเดียว ก็คือยาชิงตัน ในเมื่อศิษย์น้องหญิงไม่เห็นด้วย อาตมาก็ทำได้เพียงปฏิเสธเขา”

ลั่วอวี้เหิงผุดลุกขึ้นแล้วตะโกน “กลับมานะ”

ฝ่ามือทรงพลังคว้าแมวส้มบนกำแพงไว้ในมือแล้วโยนมันลงบนก้อนหินข้างสระ จ้องมองมันตาเป็นประกายแล้วรีบซักไซ้ทันที

“อีกฝ่ายเป็นใคร เจ้ามั่นใจแค่ไหน เจ้าก็รู้ การเข้าไปยุ่งกับศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ หากอยากจะถอนตัวก็ยากแล้ว”

ขณะพูดนางก็จ้องแมวส้มตาไม่กะพริบ เพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่มัน

“เจ้ารู้จักเขา ถึงขนาดเคยคิดจะบำเพ็ญคู่กับเขาด้วย” แมวส้มเลียขนที่ยุ่งเหยิงแล้วพูดอย่างสบายๆ

ประกายในดวงตาลั่วอวี้เหิงมอดดับลงแล้วพูดอย่างขุ่นเคือง “เขาก็แค่นักวรยุทธ์ขั้นหก ถึงจะได้รับพลังเทพวชิระจากสำนักพุทธ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีพลังต่อสู้ขั้นห้า

“แล้วฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินก็ไม่ใช่ขั้นสี่ธรรมดาด้วย”

แมวส้มกล่าวช้าๆ “เจ้าอย่าเพิ่งโมโห พลังเทพวชิระของสวี่ชีอันจะเทียบกับนักวรยุทธ์ทั่วไปไม่ได้ ข้าสงสัยว่ากายเนื้อของนักวรยุทธ์ขั้นสี่ก็ยังแข็งแกร่งสู้เขาไม่ได้ด้วยซ้ำ”

ลั่วอวี้เหิงยิ้มเย็น “เจ้าสงสัยงั้นหรือ”

แมวส้มพยักหน้า “เพราะพลังกระบี่ทั้งหมดของหลี่เมี่ยวเจินทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย”

ลั่วอวี้เหิงอึ้ง ก่อนจะคิดว่าไร้สาระมากจึงถามย้ำ “พลังกระบี่ทั้งหมดของหลี่เมี่ยวเจินทำอะไรเขาไม่ได้เลยจริงรึ”

แมวส้มพยักหน้า

ลั่วอวี้เหิงตกตะลึง

หอเฮ่าชี่

หลังฟังคำรายงานของหนานกงเชี่ยนโหรว เว่ยเยวียนก็พยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าจัดการได้ดี เข้าร่วมศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์มีแต่ข้อเสีย เดิมเป็นข้อพิพาทระหว่างนิกาย คนนอกยื่นมือเข้าไปยุ่งนั้นคือแกว่งเท้าหาเสี้ยน”

หยางเยี่ยนตอบรับ ‘อืม’ แล้วกล่าวว่า “นิกายมนุษย์วิถีกระบี่ไร้เทียมทาน นิกายสวรรค์วิถีเต๋าไม่ธรรมดา หากสู้กันตัวต่อตัว เชี่ยนโหรวไม่กลัวผู้ใด แต่หากสองต่อหนึ่งคงแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”

หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวเสียงเบา “ในเมืองหลวงไม่มีขั้นสี่คนใดสามารถต่อกรกับสองคนนั้นในเวลาเดียวกันได้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายของหยางเชียนฮ่วนอาจอยู่ยงคงกระพัน ทว่าหากเริ่มต่อสู้ เขาจะสู้ได้ไม่ถึงสิบกระบวน”

ต่อสู้กับจุดแข็งของโหร

เว่ยเยวียนกล่าวว่า “ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ในอีกสามวันข้างหน้า พวกเจ้าฆ้องทองคำก็ไปชมกันให้หมด เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง การต่อสู้ระหว่างนิกายชั้นสูงไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง