ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 328

บทที่ 328 สวี่ชีอัน ‘ไม่มีใครดึงขนแกะของข้าได้’ (1)

“ในฐานะผู้กุมโชคชะตา สัญชาตญาณของเจ้ายังเฉียบแหลมนัก” แมวส้มหัวเราะ

“อะไรนะ”

สวี่ชีอันมองมันอย่างตกใจ คนคนนี้…เจ้าแมวตัวนี้พูดจาไร้ยางอายได้โจ่งแจ้งนัก

เขาตอบอย่างระมัดระวัง “ท่านนักบวช ท่านมีสิทธิ์พูด แต่อย่าลืมว่าการปฏิเสธเป็นสิทธิ์ของข้า”

“อาตมาอยากให้เจ้าช่วยหยุดสงครามระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์” แมวสีส้มเข้าประเด็นและเอ่ยกับสวี่ชีอันอย่างไม่อ้อมค้อม “เตือนให้รู้”

เขาเงียบไปไม่กี่วินาทีแล้วพยักหน้าอย่างสงบ “ลองพูดสิ่งที่ท่านคิดและเหตุผลมาสิ”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงเกิดสงครามระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์” แมวสีส้มกระโดดขึ้นบนโต๊ะหินแล้วนั่งลงบนนั้น ดวงตาสีเหลืองอำพันจับจ้องสวี่ชีอัน

“สงครามระหว่างลัทธิเต๋ากับสำนักพุทธ” สวี่ชีอันตอบ

แมวสีส้มพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “ว่ากันว่าปรมาจารย์ทั้งสองของนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ต่อสู้กันครั้งใหญ่กลางวงอภิปรายลัทธิเต๋า ทั้งสองบาดเจ็บหนัก หลังจากกลับนิกายไม่นานก็เสียชีวิตลง

“ทั้งสองต่างทิ้งคำสั่งเสียไว้ว่า ทุกหกสิบปี จะต้องมีสงครามระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์

“หลังจากนั้นตลอดหลายพันปีสืบมา ผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์และนิกายสวรรค์จะมีการทำศึกกันทุกๆ หกสิบปี ตายบ้าง บาดเจ็บบ้าง เสมอกันก็มี

“ต่อมาก็ค่อยๆ กลายเป็นประเพณี ก่อนการต่อสู้ระหว่างผู้นำเต๋าจะมีการนำศิษย์ที่โดดเด่นจากทั้งสองนิกายมาสู้กัน ฝ่ายชนะจะได้โอกาสที่จะกำหนดสถานการณ์ในอนาคต”

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถาม “ข้าได้ยินเมี่ยวเจินพูดว่าศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านี้ ท่านนักบวชทราบหรือไม่”

แมวสีส้มหรี่ตามองเขา ทำเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “หากอาตมาบอกว่าไม่ทราบ เจ้าก็จะไม่ตกลงใช่หรือไม่”

สวี่ชีอันก็ตอบด้วยท่าทีเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มเช่นกัน “หากข้าไม่ตกลง ท่านก็จะไม่บอกใช่หรือไม่”

“เหตุผลที่แท้จริงมีเพียงผู้นำเต๋าทั้งสองนิกายเท่านั้นที่รู้ แต่จากร่องรอยเบาะแสตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็พอคาดเดาได้อยู่บ้าง” แมวส้มพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปหลายวินาทีแล้วเปิดปากตอบ

“ประมาณสองพันปีก่อน ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์ท่านหนึ่งกักตนฝึกพลังจึงพลาดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ หลังจากนั้น…เขาก็หายตัวไป

“หกร้อยปีก่อน ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์ท่านหนึ่งบุกเข้าไปยังแท่นบูชาของสำนักพ่อมดเพียงลำพังและกลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส ระหว่างพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ เขาพลาดศึกระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ และเขาก็หายตัวไป

“ส่วนนิกายมนุษย์นั้นไม่เคยปรากฏเทพเซียนระดับสุดยอดแห่งปฐพีมาก่อน ทว่าผู้นำเต๋าทุกคนที่ชนะศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ล้วนพุ่งสู่ระดับสุดยอดได้ในเวลาสั้นๆ”

พลาดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์จะหายตัวไป…ชนะศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์จะได้เป็นเทพเซียนระดับสุดยอดทันทีงั้นหรือ นี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ สวี่ชีอันรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ากระแสธารแห่งลัทธิเต๋านั้นลึกกว่าที่ตนจินตนาการไว้

“ท่านยังไม่บอกเหตุผลของท่านเลย” สวี่ชีอันสลัดความคิดนั้นทิ้งไปแล้วจ้องมองแมวสีส้ม

ที่พูดมาคือความลับเบื้องหลังศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ไม่ใช่เหตุผลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนขอให้เขาหยุดหลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่น

“อาตมากับลั่วอวี้เหิงมีข้อตกลงกัน นางจะช่วยอาตมาจัดการเรื่องต่างๆ ที่นิกายปฐพี ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงอยากเลื่อนสงครามระหว่างสองนิกายออกไปก่อน ก่อนจะแก้ไขปัญหาผู้นำเต๋านิกายปฐพีได้ อาตมาไม่ต้องการให้นางเกิดเหตุไม่คาดฝันใดๆ หากเกิดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ตามกำหนดเดิม อาจเป็นลางร้ายกับลั่วอวี้เหิงมากกว่า”

นัยน์ตาแมวส้มเผยความจริงจังและเคร่งขรึม

ท่านนักบวชเต๋าสมกับเป็นศิษย์ของนิกายปฐพีอย่างแท้จริง เพื่อจัดการราชสำนัก จำเป็นต้องทุ่มเทถึงเพียงนี้…สวี่ชีอันซาบซึ้งใจ บังเกิดความชื่นชมนักบวชเต๋าจินเหลียน

แต่เขาก็ยังไม่คิดว่าตนจะช่วยอะไรเรื่องนี้ได้

“แต่ฆ้องเงินตัวเล็กๆ อย่างข้าจะหยุดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ได้อย่างไรกัน” เขาคลายมือ

“ไม่ได้ให้เจ้าหยุดผู้นำเต๋าของทั้งสองสำนัก แต่เจ้าสามารถหยุดฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินได้” นักบวชเต๋าจินเหลียนแนะนำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

“ใต้เท้าสวี่อยากสร้างชื่อให้ตัวเองสักครั้งหรือไม่ อยากสำแดงภาพลักษณ์ที่ดีและโดดเด่นต่อหน้าคนทั้งยุทธภพที่มารวมตัวกันที่เมืองหลวงหรือไม่”

ข้าไม่ใช่หยางเชียนฮ่วน ข้าไม่ชอบอวดเบ่ง…สวี่ชีอันเอ่ยถาม “ความหมายของท่านคือจะให้ข้าเข้าร่วมศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ความคิดที่ดีหรอก อย่างแรกคือข้าเอาชนะพวกเขาไม่ได้ อย่างที่สองคือถึงการต่อสู้จะหยุดชะงักออกไปสามวัน แล้วหลังจากนั้นอีกห้าวันหรือสิบวันล่ะ

“ท่านนักบวช วิธีของท่านใช้ไม่ได้”

แมวส้มส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหนึ่งชี้แนะเยาวชนรุ่นหลัง “จะเคลื่อนไหวต้องมีขั้นตอน การทำเรื่องต่างๆ ก็เช่นกัน เจ้าไม่มีการเตรียมการ พุ่งเข้าไปกลางวงอย่างไร้เหตุผล หลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นย่อมไม่สนใจเจ้า ต่อให้เจ้าโชคดีทำลายศึกครั้งนี้ได้ ก็ไม่อาจทำลายศึกครั้งต่อไปได้

“แต่เจ้าสามารถหาเหตุผลให้ตัวเองได้”

“เหตุผลหรือ” สวี่ชีอันถามกลับ

“อย่างเช่นสำหรับเจ้า ทั้งสองนิกายไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง ศิษย์ทั้งสองนิกายก็กระจอกงอกง่อย เจ้าก็แค่เห็นการล่าสัตว์แล้วจิตใจเบิกบานจึงอยากประมือกับพวกเขาสักหน่อย แล้วก็เชิญพวกเขาออกมาต่อสู้ต่อหน้าเหล่าวีรบุรุษ เดิมพันกับพวกเขาว่าหากพวกเขาเอาชนะเจ้าได้ ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์จะดำเนินต่อไป แต่หากทำไม่ได้ ก็รอจนกว่าจะเอาชนะเจ้าได้ การศึกถึงจะดำเนินต่อไป”

สวี่ชีอันตาค้าง “แบบนี้ก็ได้หรือ เหตุผลข้างๆ คูๆ เช่นนี้…”

นักบวชเต๋าจินเหลียนแค่นเสียง ‘เหอะ’ ออกมาคำหนึ่ง “นั่นเพราะเจ้าไม่เคยท่องยุทธภพ ยามผู้คนในยุทธภพส่งสารท้ารบก็มักจะเรียบง่ายและหยาบคายกันทั้งนั้น หากไม่กล้ารับคำท้าก็จะอับอายขายหน้า ขายหน้าจนกว่าจะตอบรับ

“นี่ยังนับว่าทำตามกฎ ไม่ทำตามกฎน่ะคือไปถีบประตูเหยียบเข้าบ้านคนอื่นเลยต่างหาก

“หลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นเป็นคนหยิ่งยโส หากเจ้าฉีกหน้าพวกเขาต่อหน้าทุกคน พวกเขาต้องรับคำท้าแน่ และทันทีที่รับคำท้า ข้อตกลงก็เป็นอันได้ผล แม้แต่ผู้อาวุโสนิกายสวรรค์ก็ไม่สามารถพูดอะไรก็ได้ มีแต่จะสนับสนุนให้หลี่เมี่ยวเจินจัดการเจ้าโดยเร็ว”

ผู้อาวุโสนิกายสวรรค์จะไม่พากันลงเขามาตบหน้าข้าจริงๆ หรือ สวี่ชีอันเอ่ย “หากหลี่เมี่ยวเจินเอาชนะข้าไม่ได้ ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ก็จะไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่”

แมวส้มเหล่ตามองเขาอีกครั้ง “สิ่งที่อาตมาชื่มชมใต้เท้าสวี่ที่สุดก็คือความมั่นใจในตัวเอง อาตมาบอกไปแล้ว ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ไม่อาจหยุดยั้ง แต่สามารถเลื่อนออกไปได้ เจ้าเลื่อนออกไปสักหนึ่งปีครึ่งก็พอ

“แน่นอนว่าเรื่องนี้จะทำให้นิกายสวรรค์ขุ่นเคือง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่กล้า แต่กับเจ้าแล้ว ย่อมไม่มีปัญหา”

ข้าไม่มีปัญหาหรือท่านที่บังคับให้ข้าไม่มีปัญหากันแน่…สวี่ชีอันหน้าดำทะมึน “เพราะอะไร”

แมวส้มหัวเราะ “เพราะท่านหนุ่มพอ และเพราะท่านกับหลี่เมี่ยวเจินมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน หากเป็นคนอื่นยื่นมือเข้าไป ผู้อาวุโสนิกายสวรรค์อาจไม่ลงมือ แต่จะสั่งให้หลี่เมี่ยวเจินสังหารผู้ที่เข้ามาขัดขวางเสีย ส่วนเรื่องที่จะได้ของรางวัลเป็นของวิเศษกับยา ไม่ต้องสงสัยเลย นักบวชนิกายสวรรค์ไม่สนใจมันแน่”

“เช่นนั้นข้าจะได้อะไร” สวี่ชีอันถาม

“เชื่ออาตมาเถิด หากลั่วอวี้เหิงไม่ตาย ในอนาคตท่านจะได้ของขวัญที่คาดไม่ถึง นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่อาตมามาขอให้ท่านช่วย” แมวส้มพูดอย่างสบายอารมณ์

เจ้าแมวนี่ วาดต้าปิ่ง[1]ให้ข้าอีกแล้ว…สวี่ชีอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าจะลองคิดดู”

แมวส้มพยักหน้าอย่างอดทน

สวี่ชีอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน พิจารณาข้อดีข้อเสียของการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ตัดของขวัญที่คาดไม่ถึงทิ้งไปก่อน

ก็แค่ประมือกับฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจิน นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนฝีมือ แต่เป็นการสู้ตายโดยมีภารกิจของนิกายอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะฉู่หยวนเจิน แม้เขาจะไม่ใช่ศิษย์นิกายมนุษย์จริงๆ แต่เคล็ดกระบี่ของเขามาจากนิกายมนุษย์ เจ้าธูปนี่ขอให้เขาแลก เพราะฉะนั้นเขาจะพยายามสุดกำลังเพื่อลั่วอวี้เหิง

หลี่เมี่ยวเจินทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน มีระเบียบแบบแผน จะให้นางจงใจแพ้นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากเรื่องนิสัยแล้ว มันยังเกี่ยวพันถึงหน้าตาของนิกายสวรรค์ด้วย

ทางออกที่ดีที่สุดคือผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ และบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดอาจเป็นตายหนึ่งเจ็บหนึ่งกระมัง

หากข้าสามารถหยุดยั้งศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ได้ ก็สามารถเลี่ยงเหตุการณ์เช่นนี้ได้

แต่ข้าเป็นเพียงนักรบขั้นหก ส่วนพลังต่อสู้ที่แท้จริงของศิษย์ผู้โดดเด่นทั้งสองคนนั้นคือขั้นสี่…อืม ได้รับการหล่อเลี้ยงเลือดเนื้อและแก่นแท้จากไต้ซือเสินซู พลังเทพระดับเพชรของข้าจึงเหนือชั้นกว่าระดับทั่วไปมานานแล้ว

เรื่องพลังต่อสู้ ข้าอาจจะแข็งแกร่งกว่าขั้นหก แต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของขั้นสี่หรือแม้แต่ขั้นห้าแน่นอน แต่หากพูดถึงพลังป้องกัน นักรบขั้นสี่ก็อาจจะไม่แกร่งเท่าข้า

นักบวชเต๋าจินเหลียนมั่นใจว่าข้าจะช่วยได้ขนาดนี้ ดูราวกับมองทะลุความจริงของข้าได้…วันที่ข้าประมือกับหลี่เมี่ยวเจิน ท่านนักบวชมองออกอย่างนั้นหรือ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง