บทที่ 327 จดหมายท้าประลอง
วันรุ่งขึ้น เช้าตรู่
หออิ่งเหมย ตั่งอันหรูหรากว้างขวาง ฝูเซียงส่งเสียง ‘อืม’ ระหว่างที่นอนหลับปุ๋ยจนเกิดเสียงครวญครางที่หวานหยดย้อยและเกียจคร้าน
แพขนตางอนหนาสั่นระริก เมื่อลืมตาขึ้นในสายตาของนาง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งแรกคือสันจมูกโด่งและใบหน้าด้านข้างรูปงามของสวี่ชีอัน
เขาตื่นแล้ว ทอดมองหลังคาอย่างเงียบๆ
“อรุณสวัสดิ์สวี่หลาง”
ฝูเซียงยื่นสองมือออกมาจากผ้าห่ม คล้องต้นคอของสวี่ชีอันขณะเดียวกันก็กดมือรุ่มร่ามของเขาเอาไว้
“มาอรุณสวัสดิ์อะไร ตอนเช้าต้องพูดว่า เมื่อคืนเจ้ายอดเยี่ยมมาก!” สวี่ชีอันหาวพร้อมเอ่ยถาม “ว่าแต่กี่ยามแล้วหรือ”
“น่าเกลียด ข้าพูดไม่ได้หรอก”
ฝูเซียงก็หาวขึ้นเช่นกัน พวงแก้มถูใบหน้าของสวี่ชีอันพร้อมพูดออดอ้อน “น้ำรั่วที่ขาเตียง สวี่หลางดูเอาเองสิ”
สวี่ชีอันยื่นท่อนบนออกจากเตียงและมองไปที่ขาเตียง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เด้งออกจากเตียง “เช้าแล้วนี่ แม่เทพธิดาน้อยยั่วสวาท ข้าต้องรีบไปที่ทำการปกครอง มิเช่นนั้นค่าจ้างครึ่งปีหลังก็จะหายสิ้น”
ฝูเซียงมือหนุนศีรษะ หัวเราะร่าพร้อมเอ่ย “เมื่อวานมีแต่สวี่หลางกวนข้าและเล่นงานกลับทั้งนั้น ถุย”
สวี่ชีอันออกจากหออิ่งเหมยตรงไปที่คอกม้า แล้วจูงแม่ม้าน้อยของตน ตามคาด ม้าของเอ้อร์หลางไม่อยู่แล้ว นี่หมายความว่าเขาออกจากสำนักสังคีตไปแล้ว
เขาขี่แม่ม้าน้อยกลับไปยังจวนสกุลสวี่ ระหว่างทางมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นจะมีส้มเขียวขายแม้แต่น้อย
“เหมือนจงหลีจะยังอยู่ที่สำนักโหราจารย์ ข้าควรไปรับนางได้แล้ว” สวี่ชีอันพึมพำแล้วหันหลังวิ่งไปทางสำนักโหราจารย์
…
‘ซ่าๆๆ…’
สวี่ชีอันดึงวาล์วน้ำลง ประตูหินที่ทะลุไปใต้ดินของสำนักโหราจารย์เปิดขึ้น เขาตะโกนสุดเสียง “จงหลี ข้ามารับเจ้าแล้ว”
เสียงดังก้องที่ใต้ดินกว้างกังวาน
ผ่านไปสักพักก็มีเสียงฝีเท้าดังตรงขึ้นมาจากแท่นบันไดใต้ดิน ตะเกียงน้ำมันลุกโชน แสงสว่างสีเพลิงส่องสะท้อนร่างเงาคนและค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
จงหลีที่ผมยาวกระเซิงขึ้นบันไดมา เสียงใสกังวานดังออกมาจากในหัวอย่างลิงโลดเล็กน้อย “เจ้ามาแล้ว”
“ไปกันเถอะ ตามข้ากลับบ้าน” สวี่ชีอันหันหลังคิดจะเดิน
จงหลีกลับหันหลังและตะโกนไปทางใต้ดินอันมืดมิด “ศิษย์พี่หยาง ปิดประตูทบทวนความผิดของตนเองดีๆ อย่ายั่วให้ท่านอาจารย์โมโหอีกล่ะ”
เมื่อพูดจบนางก็ดึงด้ามจับลงปิดประตูหิน
สวี่ชีอันเดินไปข้างนอกพลางถามอย่างแปลกใจ “ศิษย์พี่หยางทำอะไรผิดรึ”
จงหลีมองเขาแล้วพูดเสียงเบา “เมื่อวานศิษย์พี่หยางไปที่ประตูอู่เหมิน ขวางทางไปของเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารจำนวนมากเอาไว้ แล้วอ่านกลอนบทนั้นของเจ้า เหล่าท่านทั้งหลายและฝ่าบาทบันดาลโทสะ จึงส่งคนไปประณามท่านอาจารย์และลงโทษศิษย์พี่หยาง ท่านอาจารย์แขวนศิษย์พี่หยางขึ้นและเฆี่ยนตีอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ขังไว้ที่ใต้ดินให้ทบทวนความผิดเป็นเวลาสิบปี ท่านทั้งหลายและฝ่าบาทจึงจะยอมเลิกรา”
…สวี่ชีอันตกตะลึง ใบหน้างุนงง ยากจะเชื่อว่ามีคนทำถึงขั้นนี้เพื่อแสร้งทำ
หยางเชียนฮ่วนถูกท่านอาจารย์แขวนและเฆี่ยนตีงั้นหรือ น่าเสียดายเสียจริงที่ข้าไม่ได้เห็นเวลานั้น!!
ถึงในใจจะรู้สึกเสียดายเขาก็ไม่ลืมที่จะเข้าเรื่อง มองไปรอบๆ ภายในห้องโถง เนื่องจากเหล่าหมอขั้นเก้าหนีไปหมดแล้ว เขาจึงทำได้เพียงถามจงหลีที่อยู่ข้างกาย
“มีผงยากลบกลิ่นบนตัวหรือไม่ เมื่อคืนข้าดื่มมาเล็กน้อย เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าอาสะใภ้กับน้องสาวของข้าไม่ชอบให้ข้าดื่มสุรายิ่ง…”
“โอ้” จงหลีพยักหน้าพร้อมเอ่ยอย่างรู้ความ “วิธีกลบด้วยเครื่องหอมง่ายดายมาก เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะหาเทียนหอมให้เจ้า”
นี่ก็น่าอึดอัดเล็กน้อยแหะ…สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก
เมื่อกลับถึงจวนสกุลสวี่ ยามที่เขาอยู่ที่โต๊ะหินในลานบ้านก็มองเห็นลี่น่ากับซูซูกำลังเล่นหมากรุก สวี่หลิงอินกำลังนั่งเก้าอี้ลมอยู่ไม่ไกล
“พี่หย่าย…”
เสี่ยวโต้วติงแสร้งทำเป็นดีใจพุ่งเข้ามา ฉวยโอกาสแอบอู้
เห็นได้ชัดว่าลี่น่าเป็นอาจารย์ที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง จ้องกระดานหมากรุกอย่างใจจดใจจ่อ ใบหน้างามเต็มไปด้วยความจริงจังและใคร่ครวญ
นี่มันแปลก…รู้สึกเหมือนเห็นพวกเรียนห่วยกำลังถกเถียงกันเรื่องแคลคูลัส…สวี่ชีอันเดินไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นพร้อมจ้องเขม็ง
ที่แท้พวกเจ้าก็กำลังเล่นหมากเรียงห้าตัว
ไปดีกว่า…
เนื่องจากเคยเตือนจงหลีระหว่างทางแล้ว ดังนั้นศิษย์พี่ห้าจากสำนักโหราจารย์จึงไม่รู้สึกแปลกใจที่เห็นผีตนหนึ่งนั่งเล่นหมากรุกอยู่ในลานบ้าน เพียงมองดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ซึ่งพบเห็นได้ยาก” นางเอ่ยเสียงเบา
ข้ารู้ว่าจุดเด่นของเสน่ห์ก็คือความงาม ชอบยั่วยวนคนสัญจรไปมาในป่าหุบเขาลึก จากนั้นก็สูบสารจำเป็นของพวกเขา อืม สารจำเป็นที่ว่านี้มันคือสารจำเป็นจริงๆ…สวี่ชีอันพยักหน้า บ่งบอกว่าในใจตนกระจ่างแจ้ง
เมื่อจงหลีเห็นเช่นนี้ก็ไม่เอื้อนเอ่ยอะไรอีก
จากนั้นสวี่ชีอันก็พบว่าหลี่เมี่ยวเจินไม่อยู่แล้ว ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งไปถามซูซูที่ลาน “นายของเจ้าล่ะ”
ซูซูจ้องมองกระดานหมากรุกอย่างใจจดใจจ่อไม่แม้แต่จะมองหน้า ก่อนจะตอบเสียงหวาน “ไปอารามรัตนะแล้ว”
…
นอกประตูเขตพระราชฐาน หลี่เมี่ยวเจินที่สวมชุดคลุมเต๋าถูกกองทหารพยัคฆ์ทะยานสกัดไว้
นางไม่ตื่นตระหนก หันหลังเดินกลับไประยะหนึ่ง จากนั้นก็ตบที่หลัง เสียง ‘เช้ง’ กระบี่บินออกจากฝัก
เมื่อกองทหารพยัคฆ์ทะยานที่อยู่ไม่ไกลเห็นเช่นนี้ เข้าใจว่านางจะบุกเขตพระราชฐานก็หน้าถอดสี ค่อยๆ ยกอาวุธขึ้น
หลี่เมี่ยวเจินกระโดดขึ้นไปบนสันดาบอย่างปราดเปรียว กระบี่บินพานางพุ่งพรวดพราดขึ้นไป ความสูงหยุดที่ราวยี่สิบจั้ง ด้วยความสูงนี้สามารถมองเห็นอารามรัตนะที่อยู่ห่างไกลได้แล้ว
กองทหารพยัคฆ์ทะยานบนกำแพงเมืองง้างสายธนู หันเครื่องยิงหน้าไม้และปืนใหญ่เล็งไปที่หลี่เมี่ยวเจิน ขอเพียงหัวหน้าทัพออกคำสั่ง ลูกธนูนับหมื่นก็จะทะยานพุ่งทันที
ผู้บังคับกองพันของกองทหารพยัคฆ์ทะยานไม่ได้ออกคำสั่งโจมตี เขาหรี่ตาจ้องมองหลี่เมี่ยวเจิน ในใจประกายความคิด
‘ชุดคลุมเต๋า อิสตรี ต้องการเข้าเขตพระราชฐาน…หลี่เมี่ยวเจินเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์? หนึ่งในตัวละครสำคัญของสงครามสวรรค์กับมนุษย์ผู้นั้น?’
ทว่าหากหลี่เมี่ยวเจินยืนกรานจะขี่กระบี่บุกเข้าเขตพระราชฐาน เช่นนั้นสิ่งที่นางรอคอยจะต้องเป็นการโต้กลับจากยอดฝีมือของทหารรักษาวังและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หลี่เมี่ยวเจินย่อมรู้ตัวว่าตนถูกตรึงไว้แล้ว ทว่ามิใช่ปัญหาใหญ่ นางก็มิได้มีความคิดที่จะดึงดันบุกเข้าเขตพระราชฐาน
จับจ้องอารามรัตนะที่อยู่ไกลออกไป ทำให้ปราณจมลงสู่ตันเถียน แล้วเอ่ยเสียงดังแผ่วโผย “ศิษย์จากนิกายสวรรค์หลี่เมี่ยวเจิน ได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาศึกษาแลกเปลี่ยนหลักเต๋ากับศิษย์ของนิกายมนุษย์ เวลาและสถานที่ นิกายมนุษย์เป็นคนกำหนด”
เสียงทะลุทะลวงยิ่ง ไม่ได้ดังก้องจนหูหนวก แต่กลับส่งไปไกล ทั้งนอกและในเขตพระราชฐานก็ได้ยินแจ่มชัด
บัดนี้ขุนนางชั้นสูงเรืองอำนาจ ราชวงศ์ และขุนนางของที่ทำการปกครองที่อาศัยอยู่ในเขตพระราชฐานล้วนได้ยิน ‘จดหมายท้าประลอง’ ของหลี่เมี่ยวเจินทั้งสิ้น
นอกเขตพระราชฐาน ประชาชนเมืองชั้นในที่อยู่ติดกับกำแพงเมืองสีแดงก็ตื่นตระหนกกับเสียงเฉกเช่นเดียวกัน ผู้สัญจรทางหยุดฝีเท้า เจ้าของร้านแผงลอยหยุดตะโกน แล้วหันหน้ามองไปทางเขตพระราชฐานอย่างช้าๆ
ตำหนักของหลินอัน
หลินอันที่อยู่ในชุดฝ่ายในสีแดงซ้อนกันเป็นชั้นกำลังเล่นลูกบอลแพรปักกับเหล่าสาวใช้พลันหยุดฝีเท้าลง เมื่อเงี่ยหูฟังก็เอ่ยถาม
“พวกเจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่”
เหล่าสาวใช้ต่างพยักหน้า แล้วทอดมองไปทางเขตพระราชฐานอย่างเงียบๆ
“ได้ยินเพคะ คล้ายจะเป็นหลี่เมี่ยวเจินศิษย์จากนิกายสวรรค์อะไรนี่…” สาวใช้ที่เคยถูกสวี่ชีอันตบบั้นท้ายผู้นั้นตอบกลับ
เมื่อสิ้นเสียงคำพูด เสียงอันไพเราะเยือกเย็นก็ดังขึ้นมาจากทิศทางตรงข้าม “สามวันหลังจากนี้ ยามเหม่าสามเค่อ[1] ริมแม่น้ำเว่ยชานเมืองหลวง นิกายมนุษย์ลงชื่อศิษย์ฉู่หยวนเจิ่นลงสนาม”
ปากเล็กของยายตัวร้ายอ้ากว้างเล็กน้อย ในใจพลันปรากฏเรื่องแปลกน่าขบขันที่สวี่ชีอันบอกกับนาง หนึ่งในนั้นคือ…สงครามสวรรค์กับมนุษย์!
“สามวันหลังจากนี้ข้าจะไปดู ข้าจะให้สุนัขรับใช้พาข้าไปดู” ยายตัวร้ายในใจร้อนระอุ แทบอยากจะให้ทหารรักษาพระองค์เรียกตัวสุนัขรับใช้ของตนมาในทันที
จวนไหวอ๋อง
สวนดอกไม้หลังจวนที่สะพรั่งไปด้วยมวลบุปผา หญิงสาวที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีบัวยืนอยู่ในดงดอกไม้ทอดมองไปทางประตูเมือง แล้วเอ่ยเสียงเบา “สามวันหลังจากนี้ ยามเหม่าสามเค่อ ริมแม่น้ำเว่ยชานเมืองหลวง…”
นางหลิ่วตาพร้อมเอ่ยอย่างสำราญใจ “มีเรื่องสนุกให้ดูอีกแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง