บทที่ 326 สอบต่อหน้าพระที่นั่ง
“เรื่องประหลาด?”
สวี่ชีอันดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง พร้อมสั่งให้ซูซูรินน้ำให้ตนเอง
‘ข้าไม่ใช่นางสนมของเจ้านะ เช่นนี้ก็เรียกใช้คนเสียเถอะ…’
ผีสาวซูซูมองเขาด้วยความโกรธ แต่ก็รินน้ำอย่างเชื่อฟัง อย่างไรก็ตามเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่ตอนนี้ก็คือเรื่องที่ครอบครัวของนางถูกฆาตกรรมสังหารทั้งบ้าน นางต้องพึ่งพาชายผู้นี้เพื่อขอความช่วยเหลือ ถ้าไม่อย่างนั้น เพียงแค่ตัวนางและเจ้านายของนางหลี่เมี่ยวเจิน สำรวจตรวจสอบเองเป็นสิบปีก็คงไม่เจอความจริงใดๆ
รอหลังจากที่สวี่ชีอันจิบชาไปหนึ่งอึก หลี่เมี่ยวเจินจึงพูดขึ้น
“พ่อของซูซูชื่อซูหัง เป็นบัณฑิตขั้นสูงของเจินเต๋อยี่สิบเก้าปี และของจักรพรรดิหยวนจิ่งสิบสี่ปี ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอันใด เขาถูกลดขั้นให้กลับไปรับตำแหน่งข้าหลวงเมืองเจียงโจว เมื่อต้นปี เขาถูกตัดหัวประหารชีวิตในข้อหาทุจริตรับติดสินบน”
สวี่ชีอันถูลูบถ้วยน้ำชา พลางเอ่ยถาม “มีปัญหาอะไรหรือา?”
“มี” หลี่เมี่ยวเจินหันหน้าไปมองทางด้านซูซู “นางจำไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งตนเองนั้นเคยอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง วิญญาณของซูซูนั้นครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อตอนที่ท่านอาจารย์ของข้าพบนาง นางกำลังฝึกบำเพ็ญตนในการซึมซับพลังอินจากหลุมศพนิรนาม อีกเพียงนิด นางก็ใกล้จะฝึกสำเร็จแล้ว ขอเพียงแต่นางไม่ออกห่างจากหลุมศพนิรนามนั้น นางก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกยืนยาว
“การฝึกเช่นนี้จะทำให้ดวงวิญญาณอาฆาตขุ่นเคือง แต่ไม่สามารถตัดความทรงจำของนางได้ เว้นเสียแต่ความทรงจำของนางจะถูกลบตั้งแต่ก่อนที่นางจะตาย”
ซูซูกล่าว “บางที…บางทีข้าอาจจะยังไม่เคยไปเมืองหลวงเลยจริงๆ”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “ขุนนางที่เข้าไปทำหน้าที่ในเมืองหลวงทุกคน สมาชิกในครอบครัวของพวกเขาก็จะต้องย้ายถิ่นฐานไปที่เมืองหลวงด้วยทั้งหมด ข้าว่าความทรงจำของซูซูก่อนที่นางจะตายนั้นเริ่มจะมีปัญหา อืม…ช่างน่าสนใจ”
สองคนกับอีกหนึ่งดวงวิญญาณเงียบไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็พูดขึ้น “ในเมื่อเป็นขุนนางเมืองหลวง เช่นนั้นกรมปกครองก็ต้องมีข้อมูลของเขา…กรมปกครองเป็นอาณาบริเวณของสมุหราชเลขาธิการหวาง เขาและเว่ยเยวียนเป็นคู่อริทางการเมืองกัน ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ข้าไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบหนังสือราชการของกรมปกครอง ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อน เพียงแค่รอโอกาส”
หลี่เมี่ยวเจินและซูซูพยักหน้า
สวี่ชีอันจิบชาอุ่นๆ พลางพูด “พี่ชายของเจ้าชื่ออะไร ในปีนั้นที่ตระกูลซูเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาอายุเท่าไหร่”
ซูซูเอียงศีรษะ พลางคิดไปคิดมา “ชื่อของเขาคือซูเฉิงจื้อ ปีนั้นที่ครอบครัวเกิดเหตุร้ายขึ้น เขาน่าจะอายุได้ประมาณสิบเอ็ดถึงสิบสองปี”
เช่นนั้นอายุเขาตอนนี้ก็คงจะประมาณสามสิบเอ็ดสามสิบสองปี ไม่มีวิธีไหนที่จะตามหาน้องเขยคนนี้เลย คงไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร…คงจะดีถ้าต้าฟ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะที่พัฒนาแล้ว สวี่ชีอันพูดเป็นนัย
“ข้าจะพยายามช่วยเจ้าตามหา แต่เจ้าอย่าหอบความหวังไว้มากมายนักล่ะ”
ซูซูตอบ “อืม” รู้ว่าการตามหาญาติมันยากเกินขอบเขต นางเองก็ไม่ได้จะดึงดัน
หลังจากหาทางออกให้กับเรื่องนี้แล้ว สวี่ชีอันก็พูดถึงเรื่องถัดไป พลางมองไปที่หลี่เมี่ยวเจินและพูดว่า “เจ้าจะเริ่มการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์เมื่อไหร่?”
หลี่เมี่ยวเจินไม่ลังเลใจ “อันดับแรกต้องส่งหนังสือรบก่อน จากนั้นค่อยทำการนัดหมายเวลา ภายในเจ็ดวันนี้แหละ”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ และพูดอย่างตรงไปตรงมาในสิ่งที่เขาคิด “ก่อนที่สงครามระหว่างสวรรค์กับมนุษย์จะจบลง ทางที่ดีเจ้าไม่ควรจะออกจากเมืองหลวง ไม่ว่าเจ้าจะได้รับจดหมายประเภทใดหรือติดต่อกับผู้ใดก็ตาม ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น”
หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้วขึ้น “เจ้ากำลังจะบอกว่ามีคนจะขัดขวางข้างั้นหรือ?”
“นี่คือเรื่องที่แน่ชัดอย่างไม่ต้องสงสัย” สวี่ชีอันถอนหายใจ “ถ้าหากเจ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นในเมืองหลวง ผู้นำเต๋าแห่งนิกายสวรรค์จะยอมเลิกราเพื่อยุติเรื่องราวหรือ? เหล่าเทพธิดาระดับสูงของลัทธิเต๋า ดูท่าว่าคงจะไม่ได้ต่างจากท่านโหราจารย์เท่าไหร่หรอก”
ซูซูยืดหน้าอกกระดานของเธอขึ้น สีหน้าท่าทางภูมิใจ “รู้ว่าผู้นำเต๋าของพวกเรานั้นเป็นที่หนึ่ง ยังจะมีใครกล้าที่จะขัดขวางอาจารย์อีกหรือ?”
สวี่ชีอันรู้สึกสลดใจกับไอคิวของผีสาวตนนี้เหลือเกิน ‘ไม่ว่าจะอย่างไร พ่อของเจ้าก็เป็นถึงบัณฑิตขั้นสูง แต่เจ้ากลับไม่ได้สืบทอดสติปัญญาความฉลาดของพ่อมาเลยแม้แต่น้อย…’ เป็นเพราะเมี่ยวเจินเป็นนักบวชของนิกายสวรรค์ ดังนั้นจึงยังคงมีผู้คนที่นึกถึงและโหยหาอยู่
ฝ่าบาททรงหลงใหลในการฝึกบำเพ็ญ เพื่อรักษาเสถียรภาพของอำนาจเอาไว้ จึงส่งเสริมที่ตั้งท้องพระโรงและมีส่วนร่วมในสถานการณ์ปัจจุบันของการรบกันของหลายๆ พรรค สำหรับสิ่งนี้ ก็มีบางคนไม่พอใจมาตั้งนานแล้ว ในแง่ของการต่อสู้กันระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะหยิบฉวยโอกาสนี้
“นอกจากนี้ คนที่สร้างปัญหาเรื่องนี้ ทุกคนล้วนรู้ดี ผู้คนจากทั่วยุทธภพล้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง หนึ่งในนั้นต้องมีคนจากประเทศอื่นแฝงตัวปะปนมาเพื่อคอยสอดแนมด้วยแน่นอน ผู้คนเหล่านี้รอให้หลี่เมี่ยวเจินตายในเมืองหลวงแทบจะไม่ไหว”
แค่ครู่เดียวซูซูก็เข้าใจได้ในทันที
“เจ้าคือลัทธิเต๋าระดับสี่ คนธรรมดาทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ระดับสี่ขึ้นไปของยอดฝีมือต่างเผ่าต่างก็ต้องการที่จะเข้ามาเมืองหลวงเพื่อฆ่าเจ้า หวังลมๆ แล้งๆ ไร้สาระ และยอดฝีมือของภายในราชสำนัก ก็ยิ่งไม่สามารถลงมือในเมืองหลวงได้ นอกเสียจากว่าพวกเขามีความคิดอยากจะรนหาที่ตาย”
“ขอบคุณที่เตือนข้า ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่เมี่ยวเจินพูด “ข้าจะจัดการเตือนพวกวิญญาณที่อยู่บริเวณจวนสกุลสวี่ให้ระวังการโจมตีจากพวกข้าศึกไว้ ถ้ามีบุคคลที่น่าสงสัยเข้ามาใกล้ ให้รีบส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันที ถึงเวลานั้นข้าอาจจะลงมือก่อนล่วงหน้า หรือออกจากจวนสกุลสวี่ไป เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติต่อครอบครัวเจ้า แม้ว่าความเป็นไปได้นี้จะมีไม่มากก็ตาม”
จากนั้น นางก็อดที่จะพูดเยาะเย้ยไม่ได้ “จักรพรรดิหยวนจิ่งนี่สมควรตายไปซะ”
“เฮ้ๆ เจ้าระวังคำพูดหน่อยนะ คำพูดเช่นนี้ควรพูดคุยกันผ่านช่องทางลับก็พอแล้ว…” สวี่ชีอันยิ้มพร้อมพยักหน้า ลุกขึ้นยืนพลางพูด “ถ้าเช่นนั้น ข้าในฐานะคนนอก ก็คงจะไม่รบกวนความฝันอันแสนหวานของแม่นางทั้งสองแล้วล่ะ”
เขาออกจากห้องไป ภายใต้สายตาที่แสดงออกถึงความงุนงงอย่างชัดเจนของทั้งหลี่เมี่ยวเจินและซูซู
…
วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสาม สมควรแก่การตัดผม โกนหนวด ตัดเย็บเสื้อผ้า เดินทาง และแต่งงาน
วันนี้เป็นวันสอบต่อหน้าพระที่นั่ง ห่างจากวันสิ้นสุดการสอบระดับเมืองหลวงเป็นเวลาหนึ่งเดือนพอดี
เมื่อท้องฟ้าสีมืดครึ้ม อาสะใภ้ก็ลุกขึ้นมาแล้วสวมกระโปรงยาวที่ถูกปักเย็บอย่างประณีต เส้นผมสวยงามนั้นยุ่งเหยิงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ใช้เพียงแค่กิ๊บติดผมสีทองตัวเดียวติดไว้ที่บนหัว
นัยน์ตางดงามของนางนั้นดูค่อนข้างหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา ท่าทางราวกับว่ายังไม่ตื่น ถุงใต้ตาหรือก็บวมเป่ง
อาสะใภ้จัดแจงให้แม่ครัวทำอาหารเช้าให้สำหรับเอ้อร์หลาง พลางพาสาวใช้ข้างกายอย่างลวี่เอ๋อไปเคาะประตูห้องของเอ้อร์หลาง
สวี่ซินเหนียนสวมเสื้อคลุมสีขาวบาง เอวนั้นแขวนหยกสีม่วงที่ฆราวาสจื่อหยางส่งมาให้ พร้อมกับมาเปิดประตูให้มารดาด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง
“เอ้อร์หลางตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ?” อาสะใภ้หาว และพูดว่า
“ข้าให้ห้องครัวทำอาหารเช้าไว้ให้แล้ว เอ้อร์หลาง เจ้าต้องการจะนอนต่ออีกสักหนึ่งชั่วก้านธูปหรือไม่ ประเดี๋ยวจะได้มาร้องเรียกเจ้า”
“ไม่เป็นไร”
ถึงอย่างไรสวี่เอ้อร์หลางก็เป็นระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นที่แปด กำลังวังชานั้นเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก ดังนั้นเขาจึงพูดปลอบมารดาของเขา “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลใจไปหรอก การสอบต่อหน้าพระที่นั่งเป็นการทดสอบลำดับขั้น และข้าในฐานะที่เป็นผู้สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบแข่งขันชิงตำแหน่งบัณฑิต คงจะได้ไม่ต่ำจนเกินไป”
อาสะใภ้สบายใจขึ้นมาในทันที จึงพาลวี่เอ๋อออกจากห้องไป เมื่อตอนก้าวข้ามธรณีประตู จู่ๆ นางก็กรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา
สวี่เอ้อร์หลางสะดุ้งตกใจ พร้อมวิ่งออกมาจากห้องเพื่อตรวจดูสถานการณ์ เห็นว่ามีสตรีสวมชุดขาวนางหนึ่ง ในมือนั้นถือร่มสีแดงคันหนึ่งยืนอยู่อย่างเงียบๆ ในลานบ้าน
ในเวลานี้เพิ่งผ่านเวลาฟ้าสางมาได้ไม่นาน ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ ถ้าเช่นนั้นสตรีคนนั้นที่ถือร่มสีแดงสด สวมชุดสีขาว และร่างกายของนางก็ดูทะลุปรุโปร่งแบบแปลกๆ
“คุณนายสวี่”
ซูซูยิ้มหวาน พร้อมกับคารวะอย่างอ่อนช้อย
อาสะใภ้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดกับตัวเองในใจว่า ณ จุดนี้ นางไม่ได้นอนอยู่ในห้องและวิ่งออกมาทำอะไร อีกนิดเดียวก็เกือบจะคิดว่าเจอผีเข้าเสียแล้ว
สวี่เอ้อร์หลางจ้องมองที่ซูซูอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ละสายตากลับมาพร้อมระงับอารมณ์และคำพูด และหันไปคุยกับอาสะใภ้ “ท่านแม่ ท่านกลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”
หลังจากส่งอาสะใภ้ออกไปแล้ว สวี่เอ้อร์หลางก็มองไปที่ซูซูที่อยู่ในลานบ้าน พร้อมพูด “พี่ใหญ่ของข้ารู้สถานะของเจ้าหรือไม่?”
‘เขาดูออกหรือว่าข้าคือภูตผี? สมกับที่เป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่’…ซูซูยิ้มบางๆ ปรากฏรอยบุ๋มข้างแก้มขึ้นทั้งสองข้าง พร้อมพูดเสียงอ่อนช้อย
“รู้สิ เขาบอกว่าเขาจะสร้างร่างเนื้อใหม่ให้ข้า จากนั้นก็ให้เป็นสนมของเขาเป็นเวลาสามปีน่ะ”
หรือนี่เป็นเรื่องที่พี่ใหญ่จะทำจริงๆ คณิกาของสำนักสังคีตหมดวิธีที่จะตอบสนองรสนิยมของเขาให้พอใจได้แล้วหรือ? คาดไม่ถึงว่าขนาดภูตผีเขาก็ยังจะคิดโหยหาได้ลง
สวี่ซินเหนียนตกตะลึงอ้าปากค้าง พูดไม่ออกอยู่นาน
เมื่อรู้ว่าวันนี้เป็นการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง เพิ่งจะผ่านฟ้าสางไปได้ไม่นาน จวนสกุลสวี่ก็เริ่มจุดเทียนไขแล้ว หลี่เมี่ยวเจินได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ออกมาประสมโรงด้วย ทุกคนทานอาหารเช้าและส่งสวี่ซินเหนียนออกจากจวน
“เอ้อร์หลาง วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การสอบต่อหน้าพระที่นั่งที่เกี่ยวข้องกับอนาคตข้างหน้าเท่านั้น แต่คือการที่เจ้าจะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เป็นโอกาสอันดีที่จะล้างความด่างพร้อยที่ถูกเข้าใจผิดได้อย่างถึงที่สุด เจ้าจะต้องตั้งใจสอบให้ดี” สวี่ผิงจื้อสวมชุดเกราะ ถือหมวกเกราะเอาไว้ กำชับเตือนจากใจจริง
สวี่ซินเหนียนพยักหน้าพร้อมเดินออกไป พลางพูด “ทราบแล้ว ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง…ข้า…”
คำพูดประโยคครึ่งหลังจู่ๆ ก็ติดอยู่ในลำคอของเขา เขามองไปยังเส้นทางข้างหน้าด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ทั้งสองท่านนั้น ‘คนคุ้นเคยเก่า’ ยืนอยู่ที่ตรงนั้น ท่านแรกคือพระร่างสูงใหญ่สง่า สวมจีวรที่ถูกซักอย่างขาวสะอาด
อีกท่านหนึ่งคือนักดาบเสื้อคลุมดำ มีปอยปมสีขาวร่วงหล่นลงปรกตรงหน้าผาก อายุไม่ได้นับว่าเยอะมากนัก แต่กลับทำให้คนรู้สึกได้ว่าเขานั้นได้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
‘สองคนนี้อีกแล้ว เป็นสองคนนี้อีกแล้ว!’
สวี่ซินเหนียนร้องคำรามในใจ
“นั่นคือสหายของพี่ใหญ่เอง” สวี่ชีอันตบบ่าเขาเล็กน้อย เพื่อบรรเทาความโกรธภายในของน้องชายเล็ก
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้ติดต่อกับหมายเลขสี่มาก่อน ดังนั้นจึงใช้สวี่ซินเหนียนเป็นแพะรับบาปแทนเขาเพื่อปิดบังความจริง ตอนนี้สถานะของสวี่ชีอันค่อยๆ มั่นคงขึ้น ส่วนฉู่หยวนเจิ่นก็ค่อยๆ ยอมรับตัวตนของญาติผู้พี่ของหมายเลขสามได้แล้ว
เมื่อความคิดเช่นนั้นเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ฉู่จ้วนหยางย่อมไม่ทบทวนกลั่นกรองอย่างละเอียด และไม่คิดตั้งข้อสงสัยว่า ‘ตัวตนของหมายเลขสามช่างแปลกประหลาด’ เพราะเป็นธรรมดาที่ผู้คนมักเลือกที่จะเชื่อใจเพื่อนได้อย่างง่ายดาย หรือเชื่อใจคนที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และนี่คือสาเหตุ
เหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่นยิ้มเล็กน้อยพร้อมพยักหน้า และหลังจากทักทายกันแล้ว ไม่นานนักสายตาก็ไปหยุดลงที่ร่างของหลี่เมี่ยวเจิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง