ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 326

สรุปบท บทที่ 326 สอบต่อหน้าพระที่นั่ง: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 326 สอบต่อหน้าพระที่นั่ง จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 326 สอบต่อหน้าพระที่นั่ง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 326 สอบต่อหน้าพระที่นั่ง

“เรื่องประหลาด?”

สวี่ชีอันดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง พร้อมสั่งให้ซูซูรินน้ำให้ตนเอง

‘ข้าไม่ใช่นางสนมของเจ้านะ เช่นนี้ก็เรียกใช้คนเสียเถอะ…’

ผีสาวซูซูมองเขาด้วยความโกรธ แต่ก็รินน้ำอย่างเชื่อฟัง อย่างไรก็ตามเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่ตอนนี้ก็คือเรื่องที่ครอบครัวของนางถูกฆาตกรรมสังหารทั้งบ้าน นางต้องพึ่งพาชายผู้นี้เพื่อขอความช่วยเหลือ ถ้าไม่อย่างนั้น เพียงแค่ตัวนางและเจ้านายของนางหลี่เมี่ยวเจิน สำรวจตรวจสอบเองเป็นสิบปีก็คงไม่เจอความจริงใดๆ

รอหลังจากที่สวี่ชีอันจิบชาไปหนึ่งอึก หลี่เมี่ยวเจินจึงพูดขึ้น

“พ่อของซูซูชื่อซูหัง เป็นบัณฑิตขั้นสูงของเจินเต๋อยี่สิบเก้าปี และของจักรพรรดิหยวนจิ่งสิบสี่ปี ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอันใด เขาถูกลดขั้นให้กลับไปรับตำแหน่งข้าหลวงเมืองเจียงโจว เมื่อต้นปี เขาถูกตัดหัวประหารชีวิตในข้อหาทุจริตรับติดสินบน”

สวี่ชีอันถูลูบถ้วยน้ำชา พลางเอ่ยถาม “มีปัญหาอะไรหรือา?”

“มี” หลี่เมี่ยวเจินหันหน้าไปมองทางด้านซูซู “นางจำไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งตนเองนั้นเคยอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง วิญญาณของซูซูนั้นครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อตอนที่ท่านอาจารย์ของข้าพบนาง นางกำลังฝึกบำเพ็ญตนในการซึมซับพลังอินจากหลุมศพนิรนาม อีกเพียงนิด นางก็ใกล้จะฝึกสำเร็จแล้ว ขอเพียงแต่นางไม่ออกห่างจากหลุมศพนิรนามนั้น นางก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกยืนยาว

“การฝึกเช่นนี้จะทำให้ดวงวิญญาณอาฆาตขุ่นเคือง แต่ไม่สามารถตัดความทรงจำของนางได้ เว้นเสียแต่ความทรงจำของนางจะถูกลบตั้งแต่ก่อนที่นางจะตาย”

ซูซูกล่าว “บางที…บางทีข้าอาจจะยังไม่เคยไปเมืองหลวงเลยจริงๆ”

สวี่ชีอันส่ายหน้า “ขุนนางที่เข้าไปทำหน้าที่ในเมืองหลวงทุกคน สมาชิกในครอบครัวของพวกเขาก็จะต้องย้ายถิ่นฐานไปที่เมืองหลวงด้วยทั้งหมด ข้าว่าความทรงจำของซูซูก่อนที่นางจะตายนั้นเริ่มจะมีปัญหา อืม…ช่างน่าสนใจ”

สองคนกับอีกหนึ่งดวงวิญญาณเงียบไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็พูดขึ้น “ในเมื่อเป็นขุนนางเมืองหลวง เช่นนั้นกรมปกครองก็ต้องมีข้อมูลของเขา…กรมปกครองเป็นอาณาบริเวณของสมุหราชเลขาธิการหวาง เขาและเว่ยเยวียนเป็นคู่อริทางการเมืองกัน ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ข้าไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบหนังสือราชการของกรมปกครอง ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อน เพียงแค่รอโอกาส”

หลี่เมี่ยวเจินและซูซูพยักหน้า

สวี่ชีอันจิบชาอุ่นๆ พลางพูด “พี่ชายของเจ้าชื่ออะไร ในปีนั้นที่ตระกูลซูเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาอายุเท่าไหร่”

ซูซูเอียงศีรษะ พลางคิดไปคิดมา “ชื่อของเขาคือซูเฉิงจื้อ ปีนั้นที่ครอบครัวเกิดเหตุร้ายขึ้น เขาน่าจะอายุได้ประมาณสิบเอ็ดถึงสิบสองปี”

เช่นนั้นอายุเขาตอนนี้ก็คงจะประมาณสามสิบเอ็ดสามสิบสองปี ไม่มีวิธีไหนที่จะตามหาน้องเขยคนนี้เลย คงไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร…คงจะดีถ้าต้าฟ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะที่พัฒนาแล้ว สวี่ชีอันพูดเป็นนัย

“ข้าจะพยายามช่วยเจ้าตามหา แต่เจ้าอย่าหอบความหวังไว้มากมายนักล่ะ”

ซูซูตอบ “อืม” รู้ว่าการตามหาญาติมันยากเกินขอบเขต นางเองก็ไม่ได้จะดึงดัน

หลังจากหาทางออกให้กับเรื่องนี้แล้ว สวี่ชีอันก็พูดถึงเรื่องถัดไป พลางมองไปที่หลี่เมี่ยวเจินและพูดว่า “เจ้าจะเริ่มการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์เมื่อไหร่?”

หลี่เมี่ยวเจินไม่ลังเลใจ “อันดับแรกต้องส่งหนังสือรบก่อน จากนั้นค่อยทำการนัดหมายเวลา ภายในเจ็ดวันนี้แหละ”

สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ และพูดอย่างตรงไปตรงมาในสิ่งที่เขาคิด “ก่อนที่สงครามระหว่างสวรรค์กับมนุษย์จะจบลง ทางที่ดีเจ้าไม่ควรจะออกจากเมืองหลวง ไม่ว่าเจ้าจะได้รับจดหมายประเภทใดหรือติดต่อกับผู้ใดก็ตาม ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น”

หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้วขึ้น “เจ้ากำลังจะบอกว่ามีคนจะขัดขวางข้างั้นหรือ?”

“นี่คือเรื่องที่แน่ชัดอย่างไม่ต้องสงสัย” สวี่ชีอันถอนหายใจ “ถ้าหากเจ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นในเมืองหลวง ผู้นำเต๋าแห่งนิกายสวรรค์จะยอมเลิกราเพื่อยุติเรื่องราวหรือ? เหล่าเทพธิดาระดับสูงของลัทธิเต๋า ดูท่าว่าคงจะไม่ได้ต่างจากท่านโหราจารย์เท่าไหร่หรอก”

ซูซูยืดหน้าอกกระดานของเธอขึ้น สีหน้าท่าทางภูมิใจ “รู้ว่าผู้นำเต๋าของพวกเรานั้นเป็นที่หนึ่ง ยังจะมีใครกล้าที่จะขัดขวางอาจารย์อีกหรือ?”

สวี่ชีอันรู้สึกสลดใจกับไอคิวของผีสาวตนนี้เหลือเกิน ‘ไม่ว่าจะอย่างไร พ่อของเจ้าก็เป็นถึงบัณฑิตขั้นสูง แต่เจ้ากลับไม่ได้สืบทอดสติปัญญาความฉลาดของพ่อมาเลยแม้แต่น้อย…’ เป็นเพราะเมี่ยวเจินเป็นนักบวชของนิกายสวรรค์ ดังนั้นจึงยังคงมีผู้คนที่นึกถึงและโหยหาอยู่

ฝ่าบาททรงหลงใหลในการฝึกบำเพ็ญ เพื่อรักษาเสถียรภาพของอำนาจเอาไว้ จึงส่งเสริมที่ตั้งท้องพระโรงและมีส่วนร่วมในสถานการณ์ปัจจุบันของการรบกันของหลายๆ พรรค สำหรับสิ่งนี้ ก็มีบางคนไม่พอใจมาตั้งนานแล้ว ในแง่ของการต่อสู้กันระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะหยิบฉวยโอกาสนี้

“นอกจากนี้ คนที่สร้างปัญหาเรื่องนี้ ทุกคนล้วนรู้ดี ผู้คนจากทั่วยุทธภพล้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง หนึ่งในนั้นต้องมีคนจากประเทศอื่นแฝงตัวปะปนมาเพื่อคอยสอดแนมด้วยแน่นอน ผู้คนเหล่านี้รอให้หลี่เมี่ยวเจินตายในเมืองหลวงแทบจะไม่ไหว”

แค่ครู่เดียวซูซูก็เข้าใจได้ในทันที

“เจ้าคือลัทธิเต๋าระดับสี่ คนธรรมดาทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ระดับสี่ขึ้นไปของยอดฝีมือต่างเผ่าต่างก็ต้องการที่จะเข้ามาเมืองหลวงเพื่อฆ่าเจ้า หวังลมๆ แล้งๆ ไร้สาระ และยอดฝีมือของภายในราชสำนัก ก็ยิ่งไม่สามารถลงมือในเมืองหลวงได้ นอกเสียจากว่าพวกเขามีความคิดอยากจะรนหาที่ตาย”

“ขอบคุณที่เตือนข้า ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่เมี่ยวเจินพูด “ข้าจะจัดการเตือนพวกวิญญาณที่อยู่บริเวณจวนสกุลสวี่ให้ระวังการโจมตีจากพวกข้าศึกไว้ ถ้ามีบุคคลที่น่าสงสัยเข้ามาใกล้ ให้รีบส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันที ถึงเวลานั้นข้าอาจจะลงมือก่อนล่วงหน้า หรือออกจากจวนสกุลสวี่ไป เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติต่อครอบครัวเจ้า แม้ว่าความเป็นไปได้นี้จะมีไม่มากก็ตาม”

จากนั้น นางก็อดที่จะพูดเยาะเย้ยไม่ได้ “จักรพรรดิหยวนจิ่งนี่สมควรตายไปซะ”

“เฮ้ๆ เจ้าระวังคำพูดหน่อยนะ คำพูดเช่นนี้ควรพูดคุยกันผ่านช่องทางลับก็พอแล้ว…” สวี่ชีอันยิ้มพร้อมพยักหน้า ลุกขึ้นยืนพลางพูด “ถ้าเช่นนั้น ข้าในฐานะคนนอก ก็คงจะไม่รบกวนความฝันอันแสนหวานของแม่นางทั้งสองแล้วล่ะ”

เขาออกจากห้องไป ภายใต้สายตาที่แสดงออกถึงความงุนงงอย่างชัดเจนของทั้งหลี่เมี่ยวเจินและซูซู

วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสาม สมควรแก่การตัดผม โกนหนวด ตัดเย็บเสื้อผ้า เดินทาง และแต่งงาน

วันนี้เป็นวันสอบต่อหน้าพระที่นั่ง ห่างจากวันสิ้นสุดการสอบระดับเมืองหลวงเป็นเวลาหนึ่งเดือนพอดี

เมื่อท้องฟ้าสีมืดครึ้ม อาสะใภ้ก็ลุกขึ้นมาแล้วสวมกระโปรงยาวที่ถูกปักเย็บอย่างประณีต เส้นผมสวยงามนั้นยุ่งเหยิงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ใช้เพียงแค่กิ๊บติดผมสีทองตัวเดียวติดไว้ที่บนหัว

นัยน์ตางดงามของนางนั้นดูค่อนข้างหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา ท่าทางราวกับว่ายังไม่ตื่น ถุงใต้ตาหรือก็บวมเป่ง

อาสะใภ้จัดแจงให้แม่ครัวทำอาหารเช้าให้สำหรับเอ้อร์หลาง พลางพาสาวใช้ข้างกายอย่างลวี่เอ๋อไปเคาะประตูห้องของเอ้อร์หลาง

สวี่ซินเหนียนสวมเสื้อคลุมสีขาวบาง เอวนั้นแขวนหยกสีม่วงที่ฆราวาสจื่อหยางส่งมาให้ พร้อมกับมาเปิดประตูให้มารดาด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง

“เอ้อร์หลางตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ?” อาสะใภ้หาว และพูดว่า

“ข้าให้ห้องครัวทำอาหารเช้าไว้ให้แล้ว เอ้อร์หลาง เจ้าต้องการจะนอนต่ออีกสักหนึ่งชั่วก้านธูปหรือไม่ ประเดี๋ยวจะได้มาร้องเรียกเจ้า”

“ไม่เป็นไร”

ถึงอย่างไรสวี่เอ้อร์หลางก็เป็นระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นที่แปด กำลังวังชานั้นเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก ดังนั้นเขาจึงพูดปลอบมารดาของเขา “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลใจไปหรอก การสอบต่อหน้าพระที่นั่งเป็นการทดสอบลำดับขั้น และข้าในฐานะที่เป็นผู้สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบแข่งขันชิงตำแหน่งบัณฑิต คงจะได้ไม่ต่ำจนเกินไป”

อาสะใภ้สบายใจขึ้นมาในทันที จึงพาลวี่เอ๋อออกจากห้องไป เมื่อตอนก้าวข้ามธรณีประตู จู่ๆ นางก็กรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา

สวี่เอ้อร์หลางสะดุ้งตกใจ พร้อมวิ่งออกมาจากห้องเพื่อตรวจดูสถานการณ์ เห็นว่ามีสตรีสวมชุดขาวนางหนึ่ง ในมือนั้นถือร่มสีแดงคันหนึ่งยืนอยู่อย่างเงียบๆ ในลานบ้าน

ในเวลานี้เพิ่งผ่านเวลาฟ้าสางมาได้ไม่นาน ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ ถ้าเช่นนั้นสตรีคนนั้นที่ถือร่มสีแดงสด สวมชุดสีขาว และร่างกายของนางก็ดูทะลุปรุโปร่งแบบแปลกๆ

“คุณนายสวี่”

ซูซูยิ้มหวาน พร้อมกับคารวะอย่างอ่อนช้อย

อาสะใภ้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดกับตัวเองในใจว่า ณ จุดนี้ นางไม่ได้นอนอยู่ในห้องและวิ่งออกมาทำอะไร อีกนิดเดียวก็เกือบจะคิดว่าเจอผีเข้าเสียแล้ว

สวี่เอ้อร์หลางจ้องมองที่ซูซูอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ละสายตากลับมาพร้อมระงับอารมณ์และคำพูด และหันไปคุยกับอาสะใภ้ “ท่านแม่ ท่านกลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”

หลังจากส่งอาสะใภ้ออกไปแล้ว สวี่เอ้อร์หลางก็มองไปที่ซูซูที่อยู่ในลานบ้าน พร้อมพูด “พี่ใหญ่ของข้ารู้สถานะของเจ้าหรือไม่?”

‘เขาดูออกหรือว่าข้าคือภูตผี? สมกับที่เป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่’…ซูซูยิ้มบางๆ ปรากฏรอยบุ๋มข้างแก้มขึ้นทั้งสองข้าง พร้อมพูดเสียงอ่อนช้อย

“รู้สิ เขาบอกว่าเขาจะสร้างร่างเนื้อใหม่ให้ข้า จากนั้นก็ให้เป็นสนมของเขาเป็นเวลาสามปีน่ะ”

หรือนี่เป็นเรื่องที่พี่ใหญ่จะทำจริงๆ คณิกาของสำนักสังคีตหมดวิธีที่จะตอบสนองรสนิยมของเขาให้พอใจได้แล้วหรือ? คาดไม่ถึงว่าขนาดภูตผีเขาก็ยังจะคิดโหยหาได้ลง

สวี่ซินเหนียนตกตะลึงอ้าปากค้าง พูดไม่ออกอยู่นาน

เมื่อรู้ว่าวันนี้เป็นการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง เพิ่งจะผ่านฟ้าสางไปได้ไม่นาน จวนสกุลสวี่ก็เริ่มจุดเทียนไขแล้ว หลี่เมี่ยวเจินได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ออกมาประสมโรงด้วย ทุกคนทานอาหารเช้าและส่งสวี่ซินเหนียนออกจากจวน

“เอ้อร์หลาง วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การสอบต่อหน้าพระที่นั่งที่เกี่ยวข้องกับอนาคตข้างหน้าเท่านั้น แต่คือการที่เจ้าจะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เป็นโอกาสอันดีที่จะล้างความด่างพร้อยที่ถูกเข้าใจผิดได้อย่างถึงที่สุด เจ้าจะต้องตั้งใจสอบให้ดี” สวี่ผิงจื้อสวมชุดเกราะ ถือหมวกเกราะเอาไว้ กำชับเตือนจากใจจริง

สวี่ซินเหนียนพยักหน้าพร้อมเดินออกไป พลางพูด “ทราบแล้ว ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง…ข้า…”

คำพูดประโยคครึ่งหลังจู่ๆ ก็ติดอยู่ในลำคอของเขา เขามองไปยังเส้นทางข้างหน้าด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ทั้งสองท่านนั้น ‘คนคุ้นเคยเก่า’ ยืนอยู่ที่ตรงนั้น ท่านแรกคือพระร่างสูงใหญ่สง่า สวมจีวรที่ถูกซักอย่างขาวสะอาด

อีกท่านหนึ่งคือนักดาบเสื้อคลุมดำ มีปอยปมสีขาวร่วงหล่นลงปรกตรงหน้าผาก อายุไม่ได้นับว่าเยอะมากนัก แต่กลับทำให้คนรู้สึกได้ว่าเขานั้นได้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

‘สองคนนี้อีกแล้ว เป็นสองคนนี้อีกแล้ว!’

สวี่ซินเหนียนร้องคำรามในใจ

“นั่นคือสหายของพี่ใหญ่เอง” สวี่ชีอันตบบ่าเขาเล็กน้อย เพื่อบรรเทาความโกรธภายในของน้องชายเล็ก

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้ติดต่อกับหมายเลขสี่มาก่อน ดังนั้นจึงใช้สวี่ซินเหนียนเป็นแพะรับบาปแทนเขาเพื่อปิดบังความจริง ตอนนี้สถานะของสวี่ชีอันค่อยๆ มั่นคงขึ้น ส่วนฉู่หยวนเจิ่นก็ค่อยๆ ยอมรับตัวตนของญาติผู้พี่ของหมายเลขสามได้แล้ว

เมื่อความคิดเช่นนั้นเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ฉู่จ้วนหยางย่อมไม่ทบทวนกลั่นกรองอย่างละเอียด และไม่คิดตั้งข้อสงสัยว่า ‘ตัวตนของหมายเลขสามช่างแปลกประหลาด’ เพราะเป็นธรรมดาที่ผู้คนมักเลือกที่จะเชื่อใจเพื่อนได้อย่างง่ายดาย หรือเชื่อใจคนที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และนี่คือสาเหตุ

เหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่นยิ้มเล็กน้อยพร้อมพยักหน้า และหลังจากทักทายกันแล้ว ไม่นานนักสายตาก็ไปหยุดลงที่ร่างของหลี่เมี่ยวเจิน

โหรชุดขาวหันหลังให้กับผู้คน ไม่แยแสต่อเสียงตำหนิดุด่าโดยรอบ

แต่ระดับแปดแห่งลัทธิขงจื๊อสวี่ซินเหนียน กลับได้ยินคำตำหนิดุด่าอยู่รางๆ

“หยางเชียนฮ่วน เจ้าไม่ได้ต้องการจะก่อกบฏใช่หรือไม่ เชิญหลีกไปให้พ้น”

“หยางเชียนฮ่วน เจ้าคิดจะทำอะไร ที่นี่คือประตูทิศใต้ วันนี้เป็นการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง เจ้าต้องการจะก่อความวุ่นวายงั้นหรือ”

ในการดุด่านั้น เสียงถอนหายใจยาวก็ดังขึ้น โหรชุดขาวผู้นั้นค่อยๆ พูด “จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้! ถุย…”

เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง และครู่ต่อมา เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารร้อยนายก็เกิดความโกลาหล เอะอะราวกับโดนน้ำร้อนลวก และเหตุการณ์ก็เริ่มวุ่นวาย

“เกิด…เกิดอะไรขึ้น?” บัณฑิตบรรณาการท่านหนึ่งพูดอย่างงุนงง

“นี่…นี่ไม่ใช่บทกวีเหน็บแนมบุรุษของฆ้องเงินสวี่ชีอันหรอกหรือ เช่นนั้น…โหรชุดขาวท่านนั้นก็เป็นคนของสำนักโหราจารย์หรอกหรือ?”

“เขาไปแล้ว…”

บัณฑิตบรรณาการกว่าสี่ร้อยนาย ยากที่จะพยายามรักษาความเงียบสงบ ก็แอบกระซิบกระซาบกันและไม่หยุดที่จะหันไปมองทางประตูทิศใต้

“เงียบ!” ขุนนางกรมพิธีการตำหนิเสียงดัง พร้อมพูด “ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า ตั้งใจสอบให้สำเร็จอย่างสงบจิตสงบใจเสียเถอะ ถ้าหากใครแอบกระซิบกระซาบกันอีก จะถูกไล่ออกจากประตูทิศใต้ และกลับบ้านไปรออีกสามปี”

ฉับพลันทันที เหล่าบัณฑิตบรรณาการก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

เหล่าบุรุษที่กระจัดกระจายไปเมื่อครู่นี้ก็กลับแล้ว บ้างก็เข้ามาด้วยใบหน้าที่มืดมน บ้างก็เข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้น หรือบ้างก็กลับเข้าพระราชวังกระดิ่งทองความขุ่นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม หลังจากนั้นก็มีเสียงทะเลาะวิวาทดังมาจากข้างใน

ผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป เหล่าบุรุษก็ต่างพากันออกมาจากพระราชวังกระดิ่งทอง และไม่ได้กลับมาอีก

‘หยางเชียนฮ่วน…ชื่อนี้เหมือนกับว่าช่างคุ้นเคยเหลือเกิน เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน’ สวี่เอ้อร์หลางพึมพำในใจ

“บัณฑิตบรรณาการสำนักอวิ๋นลู่ที่สอบผ่านระบบการสอบคัดเลือกขุนนางแห่งเมืองหลวง…สวี่ซินเหนียน”

ในเวลานี้ เสียงของขุนนางกรมพิธีการดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของสวี่ซินเหนียน เขากลับมาได้สติอีกครั้ง รับกระดาษข้อสอบที่ปิดผนึกอย่างดีจากขุนนางวัดหงหลูที่เรียงลำดับห้องมา และก้าวเดินอย่างยืดอกอย่างองอาจเข้าสู่พระราชวังกระดิ่งทอง

การสอบต่อหน้าพระที่นั่งจะสอบเพียงแค่การเขียนนโยบายและเขียนคำถามคำตอบเรื่องการเมือง สอบเพียงแค่วันเดียว และส่งข้อสอบเมื่อพระอาทิตย์ตก

สวี่ซินเหนียนเหยียบย่ำแสงของอาทิตย์ในยามเย็น ออกจากพระราชวัง ที่ปากประตูเขตพระราชฐาน เขาเห็นพี่ใหญ่ของเขายืนอยู่บนหลังม้า ในมือถือสายบังเหียนของม้าอีกตัวอยู่ในมือ กำลังยืนรอด้วยรอยยิ้ม

“ข้าบอกอารองไว้แล้ว ว่าให้ข้ารับผิดชอบเรื่องมารับเจ้า” สวี่ชีอันเอ่ยถาม “การสอบเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ก็พอได้!”

สวี่ซินเหนียนพูดนิ่งๆ “หากข้าเป็นบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวง เชื่อได้เลยว่าสอบได้ที่หนึ่งแน่”

เจ้าอย่าทำเป็นอวดเบ่งหน่อยเลย! สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว แบบนี้ค่อยสมศักดิ์ศรีของพี่ใหญ่หน่อย หลังจากวันนี้ไปคนอื่นคงไม่สามารถพูดได้แล้วว่าพี่เป็นเสือแต่น้องเป็นสุนัข”

สวี่ซินเหนียนถอนหายใจ ‘แม้ว่าพี่ใหญ่จะมีชื่อเสียงกว้างไกล แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ใช่ปัญญาชน หากจวนสกุลสวี่ต้องการตั้งหลักปักฐานอย่างมั่นคงในเมืองหลวง และเป็นที่เคารพของผู้อื่น และมีปัญญาชนที่มีฐานะสังคมเป็นคนเข้ารับราชการ’

สวี่ชีอันตอบ “อืม” สั้นๆ

“เอ้อร์หลางทำงานอย่างหนัก ข้าก็เพิ่งออกมาจากจวนองค์หญิงหลินอัน”

“…” สวี่ซินเหนียนยอมเชื่อฟัง

เขาแพ้แล้ว แต่ยังแสร้งหลอกพี่ใหญ่ไม่ได้

สวี่ชีอันโยนบังเหียนม้าให้สวี่เอ้อร์หลาง พร้อมพูด “เอ้อร์หลาง เจ้าก้าวออกมาจากหนทางการทดสอบเข้ารับราชการแล้ว คืนนี้พี่ใหญ่จะเลี้ยงเจ้าเอง ไปยังสำนักสังคีตเพื่อเฉลิมฉลองสักรอบกันเถอะ”

“แม่และน้องสาวก็อยู่ที่นั่น” สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว

“ข้าบอกกับอาสะใภ้แล้ว ว่าวันนี้จะตรวจตรากลางคืน ส่วนเจ้าน่ะ หลังจากสอบต่อหน้าพระที่นั่งจบสิ้นแล้ว ก็ไปดื่มและพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นของเจ้าต่อก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่หรือ?” สวี่ชีอันกล่าว

“ที่พี่ใหญ่พูดก็มีเหตุผล” สวี่ซินเหนียนหัวเราะร่าออกมา

…………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง