ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 330

บทที่ 330 พลังเทพก่อร่างขั้นต้น (1)

เหนือคลื่นแม่น้ำเว่ยสุ่ย ภายใต้ท้องฟ้ารุ่งอรุณ เงาร่างที่สูงโปร่งใช้กระบี่ค้ำยันกำลังล่องเรือเข้ามา ฉากหลังเป็นทำนองเพลงอันไพเราะ พร้อมกับเสียงฉินที่น่าฟังเพราะพริ้ง

เหล่าชาวพื้นเมืองต้าฟ่งที่ไม่เคยเห็นการปรากฏตัวในแบบที่พกบีจีเอ็ม[1]มาเองต่างพากันตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาพยายามหรี่ตาลง อยากจะเห็นใบหน้าของชายผู้นี้ให้ชัดๆ ท่ามกลางแสงและเงาที่ผสมกันในยามรุ่งอรุณ

ในเวลานี้เอง แสงยามอรุณแรกส่องมาที่เรือนร่างของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหัวเรือ สะท้อนให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของชายชาตรี

“เป็นฆ้องเงินสวี่”

ในที่สุดก็เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ประชาชนที่อยู่ใกล้กว่าโห่ร้องดังลั่น

“เขาก็มาชมการต่อสู้ด้วยหรือ สมแล้วที่เป็นฆ้องเงินสวี่ การปรากฏตัวช่างแตกต่างจากกลุ่มคนธรรมดานี้ยิ่งนัก”

แม้ความคิดเห็นของชาวยุทธภพเมื่อครู่จะทำให้คนรู้สึกโกรธและผิดหวัง แต่ก็ยังมีคนชื่นชมอยู่เป็นจำนวนมาก

“สุนัขรับใช้กลับมาเสียที”

ปลายเท้าของยายตัวร้ายใช้เบาะรองไว้ เชิดปลายคางขึ้น มองออกไปที่ไกลๆ พลางกล่าวเสียงงึมงำ “ทำตัวเด่น จนแย่งบทบาทของทั้งสองท่านแล้ว ฮว๋ายชิ่ง รีบเรียกเขามาเร็วเข้า”

ในฐานะองค์หญิง นางไม่มีวันโห่ร้องตะโกนอย่างแน่นอน ดังนั้นหลินอันจึงยกหน้าที่นี้โยนให้แก่ฮว๋ายชิ่ง

ฮว๋ายชิงขมวดคิ้ว จ้องเขม็งไปที่หัวเรือ สวี่ชีอันเข้ามาอย่างช้าๆ นางรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

สวี่หนิงเยี่ยนคนนี้ แม้ต้องการเป็นตัวเด่น แต่ก็มีเพียงตอนที่เขาจำเป็นต้องลงมือเท่านั้น เช่น คดีทุจริตการสอบจอหงวน และพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ เป็นต้น

ตัวเอกของการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ครั้งนี้คือฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจิน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ตามหลักแล้ว ด้วยนิสัยของเขา ครั้งนี้ควรยืนอยู่ข้างตนเองกับหลินอัน หรือไม่ก็ยืนอยู่ข้างหญิงสาวคนอื่นๆ และเฝ้าดูอย่างยิ้มระรื่น

“เหอะ เจ้าเด็กคนนี้มีความช่างคิดดีนี่ ล่องเรือเข้ามาพร้อมกับเสียงฉิน การปรากฏตัวที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ไม่ต้องใช้แรงอะไรก็เหนือกว่าฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินแล้ว”

เจียงลวี่จงยิ้มพลางส่ายหน้า และกล่าวติดตลก “หากไม่รู้คงคิดว่าเขาคือผู้เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์เสียอีก”

‘หากไม่รู้คงคิดว่าเขาถึงจะเป็นตัวเอกของการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์’…ปลายเท้าองค์หญิงรองอยู่บนเบาะ ทอดตาไปยังแม่น้ำข้างหน้า มองบุรุษที่ยืนอยู่บนหัวเรืออย่างภาคภูมิ รู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจ

สวี่ชีอันผู้นี้ นางไม่ชอบยิ่งนัก เจ้าชู้ลามก อีกทั้งเวลาหิวย่อมทานอะไรไม่เลือก ขอเพียงเป็นหญิงสาวเขาก็ชอบทั้งนั้น ทำการใดทั้งทำตัวเด่นและใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว

ท่ามกลางฝูงชน สีหน้าของสวี่ซินเหนียนดูอึ้งเล็กน้อย รีบส่งเสียงกระแอมไอ อธิบายด้วยเสียงเบา “พี่ใหญ่ของข้า เอ่อ เขาค่อนข้างชอบเที่ยวเล่น และไร้เดียงสาราวกับเด็ก…”

ในความคิดของเขา การปรากฏตัวอย่างสูงส่งเช่นนี้ของพี่ใหญ่ ความจริงแล้วเป็นการทำให้ผู้อื่นรู้สึกอึดอัดและน่าขายหน้ามากกว่า เป็นคนรับชมก็ควรอยู่ส่วนคนรับชม ดูการจับจ้องของกลุ่มคนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้สิ ยิ่งทำตัวเด่นมากเพียงใด หากเดินคอตกเข้ามาแทรกอยู่ท่ามกลางฝูงชนไม่ยิ่งน่าอับอายไปกันใหญ่หรือ

ในเวลานี้ เสียงสวดมนต์ที่แผ่วเบาดังไปทั่วทิศ เอาชนะเสียงวิจารณ์ที่ส่งเสียงดังได้

“พาดกระบี่ล่องเรือสีขาวในแม่น้ำเว่ย ไม่ใช่เพื่อศัตรูไม่ใช่เพื่อบุญคุณ”

‘เอ๋ ฆ้องเงินสวี่ท่องบทกวีอีกแล้ว เพื่อสร้างความสนุกในการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์อย่างนั้นหรือ มิน่าเล่าเขาถึงได้ล่องเรือมา’ หลายคนเผยความประหลาดใจออกมา

ในฝูงชน ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดไม่มีใครเกินกว่าปัญญาชน ใช่แล้ว การต่อสู้ของสวรรค์มนุษย์ที่หกสิบปีมีให้เห็นหนึ่งครั้ง จะไม่มีบทกวีเพื่อเสริมความสนุกได้อย่างไร สวี่ซือขุยช่างมีความคิดที่ละเอียดอ่อนยิ่ง

‘สวี่หนิงเยี่ยนมาเพื่อมอบบทกวีหรือ ไม่เลว’…ฉู่หยวนเจิ่นในฐานะเป็นปัญญาชนพยักหน้าเบาๆ

‘ท่องบทกวีอะไรห่วยๆ เสียเวลาการต่อสู้ของข้า’…หลี่เมี่ยวเจินโกรธแค้นในใจ ใบหน้ากลับแสยะยิ้มออกมา เมื่อรู้ว่าสวี่หนิงเยี่ยนที่เป็นสมาชิกพรรคฟ้าดินเหมือนกันกำลังสร้างความสนุกในการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์อยู่

สวี่ชีอันเหลือบมองที่ผู้ชมรอบๆ และท่องต่อไป “หมื่นสนามรบขนามตนเองไม่กล่าวถึงคมมีด เกิดออกมาพร้อมกับดวงตาที่เหยียดหยามวีรบุรุษ”

หมื่นสนามรบขนามตนเองไม่กล่าวถึงคมมีด เกิดออกมาพร้อมกับดวงตาที่เหยียดหยามวีรบุรุษ…เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจฉู่หยวนเจิ่นส่งเสียง ‘อ๋า’ เสียงหนึ่ง บทกวีท่อนนี้ของสวี่ชีอัน สงสัยจะมีความประจบสอพอ แต่เขาที่เป็นปัญญาชน กลับรู้สึกดี และสุขใจยิ่งนัก

หลี่เมี่ยวเจินกลับรู้สึกว่า บทกวีท่อนนี้เขียนให้นาง มันค่อนข้างสอดคล้องกับประสบการณ์ที่นางปราบปรามโจรในอวิ๋นโจว

บทกวีของสวี่ซือขุยนั้น ยังคงน่านับถือเช่นเคย

ทุกคนนึกถึงพิธีต้าวฮวด ฉากที่เขาเหยียบทีละขั้นเข้าสู่เขตพุทธ ทุกประโยคต่างเป็นประโยคที่หายากยิ่ง และทำให้ผู้คนใจเต้น

ในระหว่างที่ทุกคนนึกถึงเหตุการณ์นั้นอยู่ ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็เปลี่ยนน้ำเสียง ทั้งมีความแค้นเคืองและมีความไม่ยอมแพ้อยู่หลายส่วน พลางกล่าวเสียงสูง

“ทนมองเด็กน้อยกลายเป็นคนมีอำนาจ โกรธาจนขึ้นสังเวียนแล้วลงมือ”

เสียงฉินเข้าจังหวะในหัวใจของเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ทะลุทองคำและหินจนแตก ราวกับเป็นเสียงโห่ร้องก่อนการต่อสู้ หรือเสียงแตรให้สัญญาณก่อนเริ่มสงครามอย่างไรอย่างนั้น

ใบหน้าของฉู่หยวนเจิ่นแข็งทื่อทันที ดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองไปที่สวี่ชีอัน

ระดับสายตาของหลี่เมี่ยวเจินลดต่ำลงเล็กน้อย ไม่กี่วินาทีต่อมาจึงกลั่นกรองออกมาได้อย่างถ่องแท้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ สงสัยว่าตนเองฟังผิดไปหรือไม่ สวี่ชีอันต้องท่องผิดเป็นแน่

นางชำเลืองมองผู้ชมทั้งสองฝั่งโดยไม่รู้ตัว พบว่าหลายคนแปลกใจ และมีท่าทีสับสนไม่ต่างกัน

‘ทนมองเด็กน้อยกลายเป็นคนมีอำนาจ โกรธาจนขึ้นสังเวียนแล้วลงมือ’…ความหมายของบทกวีนี้คือ ดวงตาของข้ามองเด็กน้อยทั้งสองชักจูงความสนใจจากคนอื่น จนกลายเป็นผู้มีอำนาจในสายตาของทุกคน เขาจึงรู้สึกไม่พอใจ และตั้งการลงมือสั่งสอนพวกเขา

บัดซบ!

หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกโกรธขึ้นมา ไอ้หมอนี่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชม แต่มาเพื่อยั่วยุโทสะต่างหาก

เสียงฉินดังขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดทีละน้อย สิ้นเสียง ‘ชิ้ง‘ ที่ดังแสบแก้วหู น้ำเสียงของสวี่ชีอันมั่นคง ราวกับว่ามีความมั่นใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ กล่าวช้าๆ ว่า

“ดาบแยกทางแห่งความเป็นและความตาย สองมือเข้าพิชิตสวรรค์และมนุษย์”

‘วู้…’

เสียงโห่ร้องไม่สามารถหยุดได้อีก เหล่าจอมยุทธ์กระซิบกระซาบ และพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เพื่อนำมาพิสูจน์ความหมายที่ตนเองเข้าใจจากบทกวี

“ฆ้องเงินสวี่คิดจะลงมือ? เขาคิดจะแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ และท้าสู้รบกับยอดฝีมือหนุ่มของสองนิกายสวรรค์และมนุษย์?”

“ใช้สองมือข่มสวรรค์และมนุษย์…แม้แต่คนที่ไม่รู้หนังสืออย่างข้า ก็ยังเข้าใจความหมายของบทกวีนี้ ไม่มีอะไรชัดเจนมากไปกว่านี้แล้ว”

ในชั่วพริบตา ชาวยุทธภพกลุ่มหนึ่งเพียงรู้สึกหนังศีรษะชาวาบจนขนหัวลุก ถูกการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้กระตุ้นจนตื่นเต้นไม่มีที่สิ้นสุด

“ฆ้องเงินสวี่ต้องการลงสนามเพื่อต่อสู้ ครั้งนี้ดีเหลือเกิน ทำให้ชาวยุทธภพที่มาดูเขาได้ทราบว่าวีรบุรุษแห่งต้าฟ่งของเราหาที่เปรียบมิได้”

เมื่อทราบว่าฆ้องเงินสวี่คิดจะเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ ประชาชนทั่วไปต่างประหลาดใจไม่น้อย จากนั้นจึงตะโกนด้วยความมั่นใจออกมา สนับสนุนฆ้องเงินสวี่ให้เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ เอาชนะยอดฝีมือหนุ่มแห่งลัทธิเต๋า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง