ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 331

บทที่ 331 วิธีการที่ไม่คาดคิด

เขากลับมาแล้วหรือ?

ความเงียบปกคลุมครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงโห่ร้องของประชาชนจะดังขึ้นเป็นสิ่งแรก

“รอข้าบิดขี้เกียจสักครู่ก่อน? สิ่งที่สวี่ชีอันต้องการจะสื่อคือตอนนี้เขาไม่ได้กำลังต่อสู้อย่างจริงจังอยู่สินะ”

“เจ้าเห็นหรือไม่ บาดแผลที่หน้าอกของเขาหายไปแล้ว…แสดงว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ลงมือจริงจัง ฮ่าฮ่า ข้าบอกแล้ว สวี่ชีอันงัดความแข็งแกร่งของเขาออกมาต่อสู้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น สองคนนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร”

ขอบคุณสำหรับประโยค ‘รอข้าบิดขี้เกียจ’ ที่หลอกประชาชนได้สำเร็จ ทำให้พวกเขาคิดว่าสวี่ชีอันไม่ได้แข่งขันอย่างจริงจังตั้งแต่เริ่มแรก

บาดแผลหายดีจนกลายเป็นร่องรอยการ ‘อุ่นเครื่อง’ ของเขา

เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงแก่สายตาของยอดฝีมือระดับสูงอย่างที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้

‘แผลถูกแทงที่หน้าอกเลือนรางจนแทบมองไม่เห็นแล้ว เขาฟื้นตัวภายในเวลาเพียงครึ่งก้านธูปได้อย่างไรกัน? แม้แต่ข้าก็ยังทำไม่ได้เลย…’

หนานกงเชี่ยนโหรวเหล่ตา อดก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวไม่ได้ ราวกับต้องการดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาการบาดเจ็บที่หน้าอกของสวี่ชีอัน

การคืนสภาพร่างเนื้อเป็นความสามารถของขั้นสามเท่านั้น สวี่หนิงเยี่ยนทำได้อย่างไร? เจียงลวี่จงตกตะลึง ภายในใจคาดเดาบางอย่าง

เป็นอิทธิฤทธิ์ที่มากับพลังเทพวชิระ จะต้องเป็นพลังเทพวชิระแน่ๆ…มันถึงสามารถทำให้ผู้ที่มีระดับต่ำสามารถคืนสภาพร่างเนื้อได้ใหม่…

ฉู่เซียงหลงกลืนน้ำลายลงไปในลำคอ ลูกกระเดือกขยับ ไม่สามารถซ่อนความโลภในดวงตาของเขาได้

ในตอนนี้เขามีความต้องการที่จะกลับไปชายแดนโดยเร็ว เขาอยากนำพระพุทธรูปหินบูชาส่งให้กับอ๋องสยบแดนเหนือ ด้วยความแข็งแกร่งของสามยอดสิ่งและวิสัยทัศน์อันสูงส่งของอ๋องสยบแดนเหนือ แม้ว่าเขาจะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ย่อมตรัสรู้ได้ถึงขั้นหนึ่งหรือสอง

หากมีการเพิ่มยันต์สำริด บางทีอ๋องสยบแดนเหนืออาจสามารถฝึกฝนจนบรรลุพลังเทพวชิระ

จนถึงตอนนั้นตัวเขาก็จะกลายเป็นผู้มีส่วนได้รับพลังเทพวชิระจากอ๋องสยบแดนเหนือมากที่สุด

เมื่อองค์หญิงได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของชายจิตใจสกปรกที่อยู่ข้างๆ นางก็พลันตกตะลึง ดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวกริ้วตาข่ายแอบเหลือบมองที่ฉู่เซียงหลง

‘เขา เขามองผู้ชายแล้วลอบกลืนน้ำลายงั้นหรือ?!’

หลังฝังเรื่องราวของเขาไว้ในใจครู่หนึ่ง ความสนใจขององค์หญิงก็คืนกลับมาที่สวี่ชีอัน พร้อมกับพึมพำอยู่ในใจ ‘ชายผู้นี้ค่อนข้างทรงพลัง กล่าวคือชายที่มีทักษะการต่อสู้ที่สะดุดตาถึงเพียงนี้จะพ่ายแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร’

“ท่านพ่อ เขา เขาเป็นอะไรของเขา” กระบี่ผีเสื้อฉ่ายเชินอีหันศีรษะมองบิดาของตนที่อยู่ข้างๆ

หลานหวนเพียงส่ายหัว ไม่ได้เอ่ยตอบ

‘ฟู่ว…‘

สวี่ซินเหนียนโล่งใจ สายตาของเขาจับจ้องไปที่สวี่ชีอันพลางกล่าวว่า “พี่ใหญ่ของข้าหากทำการใดย่อมมั่นใจในการกระทำของตนเองเสมอ เนื่องจากเขากล้าเข้าร่วมศึกระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ เขาจะต้องมีบางสิ่งให้พึ่งพาแน่ สุภาพชนควรวางแผนก่อนลงมือกระทำ นั่นคือสิ่งที่ข้าได้สอนเขามาโดยตลอด”

หวางซือมู่แย้มยิ้มพริ้มพรายพร้อมกล่าว “ฉือจิ้วและสวี่ชีอันเป็นทั้งปราชญ์และจอมยุทธ์ ไม่รู้ว่าทำให้คนต่างอิจฉามากน้อยเท่าใดแล้ว”

‘นางมองออกว่าคำพูดของสวี่ซินเหนียนนั้นคล้ายกำลังโอ้อวด แต่นั่นจะไปมีอะไรน่าสนใจกัน เขาดูดีมากขนาดนี้ อีกทั้งยังมีความสามารถและไม่ทำตัวน่ารำคาญด้วย’…หวางซือมู่เริ่มชอบสวี่เอ้อร์หลางมากขึ้นเรื่อยๆ

“พลังเทพวชิระของเจ้าก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด เกิดอะไรขึ้น?” หลี่เมี่ยวเจินเบิกตากว้าง มองไปที่สวี่ชีอันและกล่าวต่อ

“เจ้าซ่อนเร้นความแข็งแกร่งไว้งั้นหรือ?”

‘ไม่ ไม่สิ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาซ่อนความแข็งแกร่งไว้หรือไม่ แต่เขาปลูกฝังพลังเทพวชิระให้คงอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้อย่างไร?!’

‘นี่มันไม่สมเหตุสมผล ไม่สมเหตุสมผลเลย’…ฉู่หยวนเจิ่นคำรามในใจ

การแสดงออกของเขายังคงนิ่งเงียบ แต่ในใจกลับเหมือนกำลังเผชิญพายุที่โหมกระหน่ำ

ฉู่หยวนเจิ่นเคยพบกับภิกษุจิ้งซือ ในเรื่องของพลังเทพวชิระเขาก็มีความเข้าใจเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสวี่ชีอันในตอนนี้แล้ว จิ้งซือในวันนั้นดูเป็นเพียงภิกษุตัวจ้อยไปเลย

อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่าคนแรกคือผู้ที่ฝึกฝนพลังเทพวชิระมาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่อีกคนได้รับพลังเทพวชิระนี้ระหว่างการต่อสู้

หากนับก็รวมๆ หนึ่งเดือน…จ้วงหยวนหลางผู้มีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง ในเวลานี้ราวกับร่างกายกำลังตกอยู่ในห้วงนิมิต

“เมี่ยวเจิน ไม่ว่าเขาจะมีพลังซ่อนเร้นหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็ไม่ควรลืมจุดหนึ่ง”

ฉู่หยวนเจิ่นมองไปที่เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ แล้วค่อยๆ พูดทีละนิด “เขาฝึกฝนพลังเทพวชิระเป็นเวลามากที่สุดเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น”

ขณะนั้นหลี่เมี่ยวเจินตอบสนองในทันที รูม่านตาของนางหดตัวเล็กน้อย คอตั้งตรง บิดเกลียวนิ้วทีละนิ้วพลางมองไปที่สวี่ชีอัน

เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์เป็นคนเย่อหยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมีเพียงคนอื่นๆ เท่านั้นที่ตกตะลึงในพรสวรรค์ของนาง แต่มาวันนี้กลับเป็นนางที่ตกตะลึงในความสามารถของสวี่ชีอัน

“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยเปิดเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าใกล้พลังเทพวชิระขึ้นมาเล็กน้อย” สวี่ชีอันกุมมือโค้งคำนับ

‘โอ้ ดูเหมือนว่าเมื่อครู่ปรมาจารย์สวี่จงใจทนรับการโจมตีเพื่อหลอมพลังเทพวชิระนี่เอง…’

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผู้ชมก็ฉุกคิดได้ในทันใด

หากอธิบายอย่างสมเหตุสมผลว่าเหตุใดฝั่งเขาจึงไม่สู้กลับ ไม่ใช่เพราะว่าศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์แข็งแกร่งเพียงใด แต่เพราะสวี่ชีอันต้องการเตรียมจะโจมตีพวกเขาต่างหาก

หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นต่างมองหน้ากัน ไร้ร่องรอยการดูถูกของสวี่อันเมื่อเขาจ้องมองมา

ทั้งสองพลันรู้สึกกดดัน

“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกำจัดเขาก่อน พวกเราต้องร่วมมือกันพยายามทำลายพลังเทพวชิระของเขา มิฉะนั้นมันคงเป็นเรื่องยากที่จะบดขยี้ร่างทองของเขา ไม่แน่ว่าพลังของพวกเราอาจหมดลงเสียก่อน จนถึงตอนนั้นมีความเป็นไปได้ที่เรื่องอาจยากเกินควบคุม” หลี่เมี่ยวเจินส่งสัญญาณเสียง

“ข้าก็คิดแบบนี้เช่นเดียวกัน” ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

ทั้งสองเปลี่ยนตำแหน่งทันทีและเปลี่ยนไปยืนเคียงข้างกันโดยหันหน้าเข้าหาสวี่ชีอัน

“ดูสิ พวกเขาจะร่วมมือกันจัดการกับสวี่ชีอันอีกครั้งแล้ว”

“ดูสิๆ ถ้าไม่ใช่เพราะสวี่ชีอันแข็งแกร่งเกินไป พวกเขาก็คงไม่ทำเช่นนี้”

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผู้ชมก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าพลังการต่อสู้ของสวี่ชีอันนั้นเหนือกว่าตัวเอกทั้งสองในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์

เดิมทีทุกคนเชื่อว่าสวี่ชีอันซึ่งอยู่ในขั้นเจ็ดหรือหกไม่อาจเอาชนะสองศิษย์เอกชาวยุทธภพแห่งศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ได้ ทว่าตอนนี้กลับแสดงสีหน้าประหลาดใจและไม่มั่นใจ

“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับการก่อร่างขั้นต้น บัดนี้ข้าคงจะต้องสู้กลับแล้ว” สวี่ชีอันยกยิ้ม

“สู้กลับ?”

หลี่เมี่ยวเจินมุ่ยปาก กลอกตาและพูดว่า “พวกข้าแค่ร่วมมือกันก็เอาชนะคนหยิ่งทะนงอย่างเจ้าได้แล้ว เจ้าคิดว่าจะทำอะไรพวกข้าได้?”

ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะเบาๆ “ในใต้หล้านี้ เจ้าฟันได้เพียงครั้งเดียว หรืออาจจะเพิ่มพูนพลังได้ก็จริง แต่หลังจากหมดสิ้นแล้ว พลังของเจ้าก็จะไร้ประโยชน์ ต่อให้เป็นพลังดาบทั้งหมดของเจ้า ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะขั้นสี่”

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน สวี่ชีอันก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาเงียบๆ แล้วยัดเข้าไปในปากพลางพูด “ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะได้สัมผัสกับพลังและความน่ากลัวของนักบวชเต๋าคุยโขมง”

‘ตูม!’

พื้นดินทรุดตัวพร้อมกับสวี่ชีอันที่ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ไม่ได้บรรจุ ก่อนกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า พุ่งตรงไปที่หลี่เมี่ยวเจิน ในระหว่างกระบวนท่าเขาชกด้วยมือขวาแล้วดึงกลับอย่างดุเดือด

หลี่เมี่ยวเจินรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของวรยุทธ์ ทั้งในการต่อสู้แบบประชิดตัวและไม่ได้ปะทะกับนางแบบตัวต่อตัว นางบังคับกระบี่บินลอยตัวขึ้นสูง หลีกเลี่ยงหมัดของสวี่ชีอัน

หลังการกระโจนกลางอากาศเกิดผิดพลาด สวี่ชีอันที่ไม่สามารถบินได้จึงล้มลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทันใดนั้นฉู่หยวนเจิ่นก็ลงมือ โดยใช้นิ้วมือเป็นดาบแสดงทักษะอันเป็นประจักษ์ของกระบี่ปราณ

ในชั่วพริบตา เจตจำนงของกระบี่ที่ไม่มีใครคาดคิดก็พุ่งทะยานขึ้น

ทะลวงไปซะ…

สวี่ชีอันฉีกกระดาษหนึ่งแผ่นแล้วจุดไฟด้วยพลังปราณ พร้อมกับพูดอย่างสบายๆ “ข้ามีปีกคู่หนึ่งที่มองไม่เห็น”

เมื่อสิ้นเสียง ปีกคู่หนึ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็ปรากฏขึ้น สวี่ชีอันกระพือปีกของเขาซึ่งพลิ้วไหวไปตามท่วงท่าหลีกเลี่ยงการโจมตีของกระบี่ได้อย่างคล่องแคล่ว

เป้าหมายยังคงเป็นหลี่เมี่ยวเจิน

หลี่เมี่ยวเจินมองไปที่ร่างแปลงเหมือน ‘ปลาแหวกว่าย’ ของสวี่ชีอันด้วยความประหลาดใจ หลังจากเขาหลีกเลี่ยงปราณดาบของฉู่หยวนเจิ่นก็ร่อนไปทางด้านข้างหวังฆ่านางซึ่งหน้า

นางตอบสนองนิ่งเงียบ รูม่านตาเคลือบแก้ว ทำให้เสื้อผ้าของสวี่ชีอันแปรพักตร์ เข็มขัดทะยานรัดแน่นจนตัวเขาเสียศูนย์ในที่สุด

คอเสื้อหดเล็กลง พยายามบีบรัดคอนายของมันหวังเอาชีวิต ทั้งหมวกขนมิงค์ก็ตกลงมาปิดบังตาของผู้เป็นเจ้าของโดยทันที

เพราะมีหมวกมิงค์เบิกทาง หลี่เมี่ยวเจินจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการยกระดับร่างของตนขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้ยินคำสั่งที่ประกาศโดยสวี่ชีอัน “ความเร็วของข้าจงเพิ่มขึ้นสามเท่า”

ทันทีที่ร่างทองปรากฏขึ้นมา โดยไม่จำเป็นต้องใช้สายตามอง ก็กระแทกเข้ากับหลี่เมี่ยวเจินได้อย่างใจนึก

‘ตูม!’

หลี่เมี่ยวเจินถูกกระแทกจนลอยทิ้งห่างออกไป ลำคอของนางปูดบวม อีกทั้งแขนก็หัก

หลักคำสอนของขงจื๊อได้ผลโดยแท้…

เพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาด ข้าจะลองไปดูสักหน่อยว่าเตียวเสี้ยนไปอยู่ที่ไหนแล้ว สวี่ชีอันคิดในใจ

หลี่เมี่ยวเจินผู้ซึ่งถูกกระแทกออกไป ทำสัญลักษณ์มุทราด้วยมือข้างเดียว ก่อนที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วจะเปล่งแสงประกายวาบ จากนั้นหลี่เมี่ยวเจินร่างเล็กก็บินออกไป ชนเข้ากับคิ้วของสวี่ชีอันหายไปแล้วทะลุผ่านทางด้านหลังศีรษะของเขา

สวี่ชีอันที่บินอยู่พลันหยุดนิ่ง ราวกับหมดสติและร่วงลงทันที

‘ติ๊งติ๊งติ๊ง…’

ฉู่หยวนเจิ่นใช้โอกาสนี้ร่ายท่าปราณดาบเข้าโจมตีสวี่ชีอัน ราวกับตีเหล็กทำให้เกิดประกายไฟที่หนาแน่น ทว่าโชคไม่ดีที่มันไม่สามารถทะลุทะลวงเกราะป้องกันร่างทองของเขาได้

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ พลังดาบของฉู่หยวนเจิ่นผสมผสานกับศาสตร์แห่งกระบี่ใจ ทุกการโจมตีจะใช้การโจมตีด้วยจิตเดิม

นี่คือสิ่งเบิกทางที่พวกเขาเพิ่งได้รับมาจากร่างของหลี่เมี่ยวเจิน พวกเขาพบจุดอ่อนของสวี่ชีอันแล้ว…นั่นคือจิตเดิมไม่แข็งแกร่งพอ

จอมยุทธ์ธรรมดาจะไม่เลวร้ายนักเพราะความแข็งแกร่งของจิตเดิมของพวกเขาได้ถูกทำให้สงบลงแล้ว แต่สวี่ชีอันเป็นเหมือนนักเรียนที่ถูกตัดโอกาสเพราะเพียงภาษาอังกฤษย่ำแย่ ต่างจากบัณฑิตทั่วไปที่รู้ดีว่า ‘nineteen’ แปลว่าสิบเก้า

และคนที่ช่วยเขาไว้คือหน่ายถิง

ในความเป็นจริงสำหรับคนในอาณาจักรเดียวกัน รากฐานของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงพอ แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งองค์รวม แม้ร่างเนื้อจะแข็งแกร่งกว่าจิตเดิมมากไม่รู้กี่เท่า ก็ถูกตัดโอกาสอยู่ดี

“ปิดจบเขาในคราวเดียว”

หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แขนพร้อมกับกรุ่นโกรธเล็กน้อย สะบัดข้อมือพลางหยิบธงบัญชาการทั้งเก้าออกมาราวกับนักเล่นกลแล้วโยนมันออกไปด้วยมือที่สั่นเทา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง