ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 335

สรุปบท บทที่ 335 รอยเลื้อยในพงหญ้า: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 335 รอยเลื้อยในพงหญ้า – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 335 รอยเลื้อยในพงหญ้า ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 335 รอยเลื้อยในพงหญ้า

ใบหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อ ในใจรู้สึกราวกับถูกคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ ถูกโจมตีอย่างรุนแรง

ชั่วขณะ สมองของเขาราวกับถูกไฟดูด ฟีโรโมนนับไม่ถ้วนเดือดพล่านไปทั่ว รายละเอียดที่เขาไม่เคยสนใจก่อนหน้านี้ ปรากฏเข้ามาไม่หยุดหย่อน

“เมื่อก่อนข้าไม่เคยเอะใจว่าเบื้องหลังคดีเงินภาษีนั้นมีโหรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีจุดที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง…ที่แท้ ที่แท้คดีเงินภาษีก็พุ่งเป้ามาที่ข้างั้นหรือ”

สวี่ชีอันรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ

ทบทวนสถานการณ์ของบ้านสกุลสวี่ในคดีเงินภาษี

สวี่ผิงจื้อบกพร่องในการคุ้มกันเงินภาษี ทำให้สูญเสียเงินไปทั้งสิ้นหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง จักรพรรดิหยวนจิ่งมีพระบัญชาให้ตัดหัวสวี่ผิงจื้อต่อหน้าสาธารณชน ผู้ชายสามชั่วโคตรในตระกูลเขาต้องถูกเนรเทศไปยังชายแดน ส่วนสมาชิกฝ่ายหญิงต้องถูกส่งตัวไปยังสำนักสังคีต

กล่าวคือ หากเขาไม่ได้เข้ามาในร่างนี้ หากไม่มีเขาที่พลิกชะตาไขคดีเงินภาษีได้ จุดจบของสวี่ชีอันก็คือต้องถูกเนรเทศ

เนรเทศไปยังชายแดน แล้วทวงคืนโชคชะตาในร่างของข้ากลับมางั้นหรือ

“ในอดีต ข้าเคยคิดว่าโชคชะตาจะหวนคืนกลับมาตามระดับของข้าที่เพิ่มขึ้น ระดับเก้าหนึ่งเหรียญ ระดับแปดสามเหรียญ ระดับเจ็ดห้าเหรียญ…”

“แต่ลองมาคิดดูตอนนี้ มันไม่ใช่เลย หลังจากที่ข้าออกจากคุกมา ข้าก็เริ่มเก็บเงินได้เรื่อยๆ ทั้งที่ตอนนั้นข้ายังอยู่ในระดับหลอมจิตเท่านั้น แต่เหตุใดสวี่ชีอันเจ้าของร่างเดิมถึงไม่เคยเก็บเงินได้เลยล่ะ”

“ความจริงก็คือโชคชะตาที่ซ่อนอยู่ในร่างของข้าเริ่มฟื้นคืนมาในช่วงนั้น ดังนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังจึงสร้างคดีเงินภาษีขึ้นมา เพื่อ ‘ล่อลวง’ ข้าออกไปจากเมืองหลวง

“แต่ตรรกะตรงนี้ยังมีบั๊กอยู่ ถ้าอยากหลอกล่อข้าให้ออกมาจากเมืองหลวง ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนให้ยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้ แค่ลักพาตัวข้ามาเฉยๆ ก็จบ ท่านโหราจารย์คอยพิทักษ์เมืองหลวง ผู้บงการเบื้องหลังไม่กล้าเข้ามาในเมืองหลวง เพราะไม่มีวิชาอำพรางกลิ่นอายใดที่สามารถหลอกโหรระดับหนึ่งได้”

“แต่การลักพาตัวมือปราบอำเภอฉางเล่อไปสักคน ก็ไม่จำเป็นต้องให้บอสใหญ่ตัวบงการลงมือเอง ส่งลูกกระจ๊อกตลาดล่างสองสามคนมาจัดการก็จบ”

“เว้นเสียแต่…การหายตัวไปโดยไร้สาเหตุของข้า จะนำมาซึ่งจุดจบที่ไม่อาจควบคุมได้ ดังนั้นจึงต้องหาเหตุผลอันสมควรส่งข้าไปออกไปจากเมืองหลวง โดยอาศัยคดีเงินภาษีสินะ?”

“แต่ข้าเป็นเพียงมือปราบต๊อกต๋อย จะหายตัวไปก็ช่างปะไร ใครมันจะไปสนใจล่ะ แล้วไหนจะปัญหานั่นอีก เหตุใดโชคชะตาจึงเข้าข้างข้าตลอด”

สวี่ชีอันเกิดประกายขึ้นมา และนึกไปถึงคำพูดของลี่น่า “พอท่านย่าแห่งเทียนกู่รู้ว่าข้าอยู่ที่เมืองหลวงก็มีท่าทีตกใจและสับสนอย่างมาก ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดโชคชะตาจึงเข้าข้างข้า”

“หัวขโมยสองคนขโมยโชคชะตาไป และซ่อนไว้ในร่างของเด็กแรกเกิดคนหนึ่งในเมืองหลวง ตามตรรกะของคนทั่วไป ของที่ถูกขโมย ย่อมต้องถูกเอาไปอยู่แล้ว จะยังอยู่ในบ้านได้อย่างไร นั่นจะทำให้เกิดเงาดำใต้โคมไฟ[1]ขึ้น”

“หัวขโมยสองคนใช้กลอุบายนี้เพื่อหลบซ่อนจากท่านโหราจารย์ โหรระดับหนึ่งหรือไม่”

สวี่ชีอันนวดคลึงหว่างคิ้ว และทำสรุปบนกระดาษ “เหตุใดโชคชะตาจึงซ่อนอยู่ในตัวข้า อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ หรืออาจจะมีเหตุผลกลใดแอบแฝง งั้นทิ้งข้อสงสัยไว้ก่อน”

“หลังจากที่โชคชะตาของข้าฟื้นคืนมา ท่านโหราจารย์ก็เริ่มมองเห็นข้า และเริ่มเตรียมแผนการ โดยมองว่าข้าเป็นเบี้ยตัวสำคัญ”

“โหรที่ปรากฏตัวในคดีอวิ๋นโจว มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อยู่เบื้องหลัง…”

เมื่อเขียนถึงตรงนี้สวี่ชีอันก็ตกตะลึง และเกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า ในคดีอวิ๋นโจวข้าก็ออกไปมาจากเมืองหลวง หลุดพ้นจากการสอดส่องของท่านโหราจารย์แล้ว เหตุใดโหรลึกลับผู้นั้นจึงไม่ลักพาตัวข้าไปล่ะ

นี่ก็เป็นช่องโหว่เชิงตรรกะอีกประการหนึ่ง

เขานวดคลึงศีรษะที่ปวดหนึบ ตั้งใจจะหยุดวิเคราะห์ต่อ รอให้จิตเดิมฟื้นฟูอย่างเต็มที่ จากนั้นค่อยตรวจสอบอีกครั้งอย่างรอบคอบ

สวี่ชีอันเบนความสนใจไปยังคำพูดที่ว่า ‘เทพเจ้ากู่ฟื้นคืนชีพ โลกถึงกาลอวสาน’

“ศาสดาพยากรณ์แห่งเผ่าเทียนกู่ทำนายว่าในอนาคตเทพเจ้ากู่จะฟื้นคืนชีพ และเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นโลกที่มีแต่กู่…ไม่เข้าท่าเลยแฮะ ต่อให้เทพเจ้ากู่เป็นตัวตนที่อยู่เหนือจุดสูงสุด แต่ก็ใช่ว่ามันจะอยู่ยงคงกระพันเสียหน่อย”

ประจิมทิศมีพระพุทธเจ้า อิสานทิศ[2]ก็มีทั้งพ่อมด ปรมาจารย์เต๋าที่หายสาบสูญ และปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่อ้างว่าล่วงลับไปแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงสองคนหลัง ลำพังแค่พระพุทธเจ้ากับพ่อมดก็จัดการเทพเจ้ากู่ให้หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มีได้แล้ว

“แต่คำทำนายของเผ่าเทียนกู่ไม่เคยผิดเพี้ยน งั้นก็แสดงว่ายังมีความลับที่ข้าไม่รู้ เทพเจ้ากู่เป็นเทพอสูรหนึ่งเดียวที่เหลือรอดมาจากบรรพกาล จู่ๆ ข้าก็ค้นพบจุดที่น่าสนใจขึ้นมา ในสมัยบรรพกาล เทพอสูรระดับเหนือจุดสูงสุดต้องมีมากกว่าเทพเจ้ากู่ตัวเดียวแน่

“แต่เหตุใดจึงมีเพียงเทพเจ้ากู่ที่เหลือรอดมาในท้ายที่สุด นี่อาจเป็นเหตุผลที่เทพเจ้ากู่จะนำพากาลอวสานมาสู่โลกก็เป็นได้? ดังนั้น เพื่อจะทำให้เทพเจ้ากู่หลับใหลต่อไป อดีตหัวหน้าเผ่าเทียนกู่จึงเลือกที่จะฉกฉวยโชคชะตา และสะกดเทพเจ้ากู่เอาไว้…”

ดวงตาของสวี่ชีอันเบิกกว้างขึ้นทันที ราวกับว่าสายฟ้าฟาดลงมาข้างหู รายละเอียดที่ถูกลืมไปก็วาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเขา

ลี่น่า หมายเลขห้าเคยกล่าวไว้ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีว่า เผ่าพันธุ์กู่ค้นพบรูปปั้นของปราชญ์ลัทธิขงจื๊อระหว่างการสำรวจหุบเหวลึก

“รูปปั้นปราชญ์ลัทธิขงจื๊อสะกดเทพเจ้ากู่เอาไว้…ลัทธิขงจื๊อเกี่ยวข้องกับโชคชะตา…หัวหน้าเผ่าเทียนกู่ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปปั้นในหุบเหวลึกจึงพยายามคิดแผนการช่วงชิงโชคชะตาของต้าฟ่งหรือ”

ที่…ที่แท้เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้เอง สวี่ชีอันถอนหายใจยาว รู้สึกว่าเขาได้อนุมานความจริงส่วนหนึ่งในช่วงเวลานั้นได้แล้ว

“จุดประสงค์ของอดีตหัวหน้าเผ่าเทียนกู่คือการสะกดเทพเจ้ากู่ แล้วจุดประสงค์ของโหรลึกลับพวกนั้นล่ะ ไม่คิดแล้ว ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว แกล้งทำตัวเป็นคนปัญญาอ่อนยังมีความสุขเสียกว่า” สวี่ชีอันหัวเราะเยาะตัวเอง

เนื่องจากความเจ็บปวดของจิตเดิม ทำให้นอนไม่หลับ สวี่ชีอันจึงวางแผนว่าจะไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสักรอบ ลองค้นหาชนวนสงครามด่านซานไห่ และสำนวนคดีของโจวเสี่ยนผิง อดีตรองเจ้ากรมการคลังด้วย

โจวเสี่ยนผิงเป็นผู้นำในคดีเงินภาษี เขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโหรนิรนามแน่

เมื่อออกมาจากห้อง เขาก็เห็นหลี่เมี่ยวเจินถือชามลายครามไว้ในมือข้างหนึ่งและกระดาษเซวียนจื่อในมืออีกข้าง เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์พ่นลมหายใจเย็นชา แล้วกล่าว

“เจ้าแทงซูซูด้วยเหตุใด โชคดีที่นางเป็นเพียงคนกระดาษ หากนางเป็นหญิงผู้สูงศักดิ์ละก็…”

“แล้วข้าต้องรับผิดชอบนางหรือไม่”

“ไม่ ข้าจะตัดอุ้งเท้าของเจ้าออกเอง”

“…”

ตัดอุ้งเท้าของข้าหรือ อุ้งเท้าข้าไม่แข็งแกร่งเท่าภิกษุเสินซู หากขาดไปแล้วไม่อาจต่อกลับคืนได้…สวี่ชีอันบ่นกระปอดกระแปดในใจ และทันใดนั้น เขาก็ตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง

ภะ ภิกษุเสินซู? ข้าสามารถกลับมาจากอวิ๋นโจวได้อย่างปลอดภัย เพราะข้ามีภิกษุเสินซูอยู่ในร่างหรือ นี่ทำให้ผู้บงการเบื้องหลังหวาดกลัว และไม่กล้าลงมือโต้งๆ เพราะกลัวว่าจะพลาดท่าถูกภิกษุเสินซูย้อนทำร้ายได้…ใช่แล้ว ตอนที่ผู้บงการเบื้องหลังอยู่ที่อวิ๋นโจว เขาต้องคอยจับตามองข้าอย่างใกล้ชิด และรับรู้ถึงตัวตนของภิกษุเสินซูในตัวข้า

ท่านโหราจารย์วางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ หลังจากที่รับรู้ถึงโชคชะตาของข้า เขาก็เริ่มเตรียมการวางแผน ดังนั้นเขาจึงเพิกเผยต่อแผนการของอาณาจักรหมื่นปีศาจ เพราะรู้ดีว่าภิกษุเสินซูนั้นจะต้องเป็นปรสิตในร่างกายของข้าอย่างแน่นอน…นั่นก็แสดงว่าเขาเลือก ‘องครักษ์’ ให้กับข้างั้นสิ?

เขานำโชคชะตามาสถิตไว้ในตัวข้าอย่างมั่นคง ผ่านภิกษุเสินซู ไม่ปล่อยให้เงื้อมมือชั่วร้ายช่วงชิงกลับคืนไป…

ท่านโหราจารย์น่ากลัวเกินไปแล้ว…สวี่ชีอันตัวสั่นเทา

เขามองแผนการของผู้ปราดเปรื่องออกอย่างปรุโปร่งแล้ว ราวกับเห็นรอยของงูเลื้อยผ่านพงหญ้า[3]

เมื่อมาถึงห้องโถงด้านหน้า ก็เห็นฉู่ไฉ่เวยสาวน้อยผู้มีใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตในชุดสีเหลือง นั่งอยู่ในห้องโถง

บนโต๊ะกลมมีขนมอบ ของหวาน และอาหารคาวนานาชนิด อาหารมื้อใหญ่ที่เพียงพอสำหรับชายฉกรรจ์ประมาณห้าถึงหกคน กับสามสาวที่อยู่ตรงข้ามฝั่งโต๊ะ ที่ถึงแม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ความอยากอาหารนั้นมีมากผิดมนุษย์มนา

ฉู่ไฉ่เวย ลี่น่า และสวี่หลิงอิน

“แม่นางไฉ่เวย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” สวี่ชีอันกล่าวทักทาย แม่นางผู้นี้หายหน้าหายตาไปหลายบทแล้ว ตั้งแต่เจอศิษย์พี่ห้าของเจ้า ข้าก็อยากหย่ากับเจ้าเต็มทน

สามสาวหันมามองเขาเป็นตาเดียว สัญชาตญาณความหวงของกินที่ประทับอยู่ในกรรมพันธุ์ ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในแววตา

“ต่อให้เที่ยวผู้หญิงจนหนำใจตลอดยี่สิบปี แต่ในยุคที่ค่าเงินต่ำแบบนี้ ใช้ให้ตายยังไงก็ถลุงเงินสองล้านตำลึงไม่หมดหรอก”

“โจวเสี่ยนผิง รองเจ้ากรมการคลังเสียชีวิตขณะหลบหนี มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะโดนฆ่าปิดปาก “

สวี่ชีอันอ่านสำนวนคดีจบ ก็ใบ้รับประทานอยู่นาน

“ผู้บงการเบื้องหลังคอยบ่อนทำลายท้องพระโรง รองเจ้ากรมโจวเป็นคนของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากรองเจ้ากรมโจวแล้ว ยังมีหนอนบ่อนไส้คนอื่นอีกหรือไม่ ถ้าเกิดว่ามี จะเป็นใครล่ะ?”

หลังจากปิดสำนวนคดี ตัวเขาที่ถูกบีบคั้นจิตใจนั้น ก็นวดคลึงขมับด้วยความเหนื่อยล้า รู้สึกถึงความกดดันที่ไม่เคยประสบมาก่อน

“ข้าจะทำงานแบบขอไปทีไม่ได้อีกแล้ว มัวแต่ไปฟังเพลงที่หอคณิกาจนหัวสมองพังไปหมดแล้ว ที่แท้การที่ท่านโหราจารย์คอยช่วยเหลือข้านั้นเป็นการขวางลำน้ำเชี่ยวกรากแท้ๆ สถานการณ์แท้จริงของข้ามันย่ำแย่สุดๆ เลยนี่หว่า”

“ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร เขาจะมาช่วงชิงโชคชะตาในร่างของข้ากลับคืนไปแน่นอน ข้าไม่อาจนั่งรอความตายได้ อืม ในกายของข้ายังมีโชคชะตาจากตราลัญจกรหยกอยู่ ซึ่งเป็นของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ในสุสานโบราณผู้นั้น”

“เขาจะปล่อยให้โหรลึกลับช่วงชิงโชคชะตาของตนไปเฉยๆ หรือ? แต่ว่าอย่าฝากความหวังไว้กับมนุษย์โบราณที่ไม่รู้ว่าอยู่ตายจะดีกว่า”

“มาตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน ภายในสองปีนี้ จะเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้ได้อย่างน้อยหนึ่งขึ้น และเพิ่มอำนาจให้ยิ่งใหญ่ขึ้น แม้ว่าพลังแผ่นดินของต้าฟ่งจะอ่อนแอ แต่ก็ยังมีอัจริยะบุคคลมากมายอยู่ดี ทั้งท่านโหราจารย์ ทั้งเว่ยเยวียน ขุนนางเหรียญปากผี และยังมีกองทัพนับร้อย ข้าสามารถพึ่งพาคนพวกนี้ได้ทั้งนั้น”

“เป้าหมายที่สอง ก่อนสิ้นปีจะต้องได้เข้าสู่ระดับสี่ให้ได้ ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่ข้าพึ่งพาได้มากที่สุด เมื่อใดมีความแข็งแกร่ง ก็สามารถเปลี่ยนจากตัวหมาก มีเป็นคนเดินหมากได้”

เฮ้อ…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เรียกเจ้าพนักงานมา แล้วสั่งว่า “นำสำนวนคดีทั้งหมดที่เกี่ยวกับสงครามด่านซานไห่มาให้ข้า”

เจ้าพนักงานหยิบเอกสารกองเป็นตั้งๆ ออกมา

สวี่ชีอันอ่านทีละสิบบรรทัด ใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็อ่านจบ ในสำนวนคดีบันทึกไว้ว่า ชนวนของสงครามด่านซานไห่เกิดจากชนเผ่าเถื่อนแดนเหนือและใต้สมคบคิด ร่วมมือกันรุกรานชายแดนต้าฟ่ง

ต้าเฟิงเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงเรียกรวมพลบรรดาพี่ใหญ่จากทุกจตุรทิศมาช่วยกันโค่นล้มชนเผ่าเถื่อนจากเหนือและใต้

แต่สวี่ชีอันรู้ดีว่าเรื่องราวต่างๆ ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เพราะในสงครามด่านซานไห่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจและสำนักพ่อมดเข้าร่วมด้วย นี่เป็นสงครามประจัญบานเพื่อกวาดล้างกองกำลังทั้งหมดของแผ่นดินจิ่วโจว

ฝ่ายศัตรูได้แก่ ชนเผ่าเถื่อนแดนเหนือและใต้ เผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือ กากเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจ สำนักพ่อมด

ต้าฟ่งผนึกกำลังกับสำหนักพุทธแดนประจิม ต่อสู้สองต่อห้า ได้รับชัยชนะกลับมา

นี่เทียบเท่ากับสงครามโลกฉบับจิ่วโจว สงครามครั้งใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผลแน่นอน เอ่อ…สงครามโลกครั้งที่หนึ่งในชาติภพก่อนของข้า ดูเหมือนจะเกิดขึ้นมาแบบมึนๆ งงๆ แฮะ

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น…สวี่ชีอันบ่นพึมพำกับตัวเอง

“จะบ้าตายอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไปหาท่านพ่อก็จบแล้วนี่หว่า เหตุใดต้องมาดันทุรังอยู่คนเดียวแบบนี้ด้วยนะ”

หลังจากครุ่นคิดอย่างหนักเป็นเวลานาน สวี่ชีอันก็ตบหัวตัวเอง ปล่อยวางความคิด ออกมาจากคลังเอกสารและตรงไปยังหอเฮ่าชี่

……………………………………………………..

[1] เงาดำใต้โคมไฟ (灯下黑)สำนวนอุปมาอุปไมยถึงปัญหาหรือข้อจุดอ่อนที่อยู่ใกล้ตัวจนคาดไม่ถึง

[2] ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

[3] รอยของงูเลื้อยผ่านพงหญ้า(草蛇灰线)สำนวนเปรียบเทียบว่าทำความผิดร้ายแรงเอาไว้ และเหลือหลักฐานให้สาวถึงตัวได้

[4] ตกปลาสามวัน ตากแหสองวัน (三天打鱼两天晒网)สำนวนแปลว่าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่จริงจัง

[5] กินฟาสต์ฟู้ด(吃快餐)คำแสลงหมายถึง การซื้อบริการทางเพศ ที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง