บทที่ 336 หยางเชียนฮ่วนพ้นโทษ
เบื้องล่างหอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูงแห่งนี้ มุมชายคาโค้งขึ้น ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ราวกับเจดีย์
ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไป มีทางเดินสำหรับชมทิวทัศน์อยู่ทุกชั้น ตอนนี้ตรงกับช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี ทัศนียภาพจากชั้นเจ็ดนั้นงดงามดั่งภาพวาด
เขาไม่ได้ขึ้นไปชั้นบนในทันที แต่กลับยืนเหม่อลอยอยู่นาน จากนั้นจึงจัดหมวกขนมิ้งค์ มองทหารยามด้วยสีหน้าเรียบเฉย และพูดเสียงเคร่งขรึม “ไปรายงานด้วย”
หลังจากที่ทหารยามกลับลงมารายงานแล้ว สวี่ชีอันก็ขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็ว เจ้าพนักงานที่เดินสวนไปมาโค้งคำนับทักทาย เขาเพียงแต่พยักหน้า และส่งเสียงตอบรับสั้นๆ เพียง ‘อืม’
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องน้ำชา เท้าก็เหยียบลงบนเสื่อต้นกกนุ่มๆ สวี่ชีอันทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างโต๊ะน้ำชา เบื้องหน้ามีกาน้ำชาร้อนๆ ที่เตรียมไว้ล่วงหน้า และเว่ยเยวียนที่อ่านหนังสือด้วยใบหน้าเรียบสงบ
“เว่ยกง ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงาน”
“ว่ามา”
“การที่ข้าน้อยแทรกแซงศึกสวรรค์มนุษย์นั้นมีสาเหตุอยู่ขอรับ…”
เขารายงานเว่ยเยวียนเกี่ยวกับเรื่องที่นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบหมายให้ทำ และของตอบแทนเป็นยาชิงตัน
เว่ยเยวียนพยักหน้าช้าๆ ใบหน้าของเขาอ่อนลงเล็กน้อย และพูดว่า “ข้าเดาไว้อยู่แล้ว”
สวี่ชีอันทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังทันที “ข้าน้อยใจร้อนผลีผลามเช่นนี้ จะต้องทำให้เหล่าบัณฑิตผู้จงรักภักดีในราชสำนักขุ่นเคืองเป็นแน่”
เขามาหาเว่ยเยวียนก็เพื่อสอบถามเรื่องราวสงครามด่านซานไห่ แต่ทำแบบนั้นก็เหมือนกับปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชาเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาฉลาดๆ พึงกระทำ
ลองสลับขั้นตอนนิดหน่อย คราวนี้สวี่ชีอันมาที่หอเฮ่าชี่ก็เพื่อมารายงานสถานการณ์ เรื่องสอบถามก็แค่เปรยๆ ขึ้นมา
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า “แม้ว่าเจ้าจะเข้าไปแทรกแซงในศึกระหว่างสวรรค์มนุษย์ แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งการต่อสู้ พวกคนที่อยากเห็นลั่วอวี้เหิงตาย อย่างมากก็แค่รู้สึกโกรธเคืองเจ้าเท่านั้นเอง”
แล้วท่านโกรธข้าหรือไม่เว่ยกง…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดต่อ “เป็นเพราะฤทธิ์ยาชิงตันแท้ๆ พลังเทพวชิระของข้าน้อยจึงสำเร็จได้โดยง่าย”
เว่ยเยวียนไม่ได้สนใจเรื่องนี้ จึงส่งเสียง ‘อืม’ ตอบกลับสั้นๆ
สวี่ชีอันรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ จึงเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยอยากรู้ว่าขั้นที่ห้าสลายแรง ต้องฝึกฝนอย่างไรบ้างขอรับ”
เว่ยเยวียนวางม้วนหนังสือลง จิบน้ำจากถ้วยน้ำชาหนึ่งอึก นั่งตัวตรง และมองไปยังสวี่ชีอัน “ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจก่อนว่า การสลายแรงคืออะไร อืม ชกไปทางซ้ายหนึ่งทีซิ”
สวี่ชีอันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายเท่าไร แต่ก็กำหมัดและชกไปทางซ้ายตามคำสั่งแต่โดยดี
เว่ยเยวียนหยิบม้วนหนังสือ และตบไปที่บ่าและปลายแขนของเขา พลางกล่าวยิ้มๆ “ตรงนี้สั่นสะเทือนอย่างชัดเจนเลย”
“ก็…มันต้องแบบนั้นอยู่แล้วนี่ขอรับ” สวี่ชีอันตอบกลับ
เจ้าเป็นมนุษย์โบราณ ข้าจะไม่เอาความรู้ชั้นสูงอย่างการกระทำของแรงมาพูดกับเจ้าหรอกนะ
เวลาที่ปล่อยหมัดออกไป ไม่ว่าจะกระทบกับเป้าหมายหรือไม่ ก็จะเกิดแรงส่งไปที่แขนอยู่แล้ว ซึ่งทำให้บ่าและกล้ามเนื้อสั่นสะเทือนเป็นธรรมดา
หากต่อยเข้าที่วัตถุ แขนก็จะได้รับปฏิกิริยากลับมาเช่นกัน
“การสลายแรงต้องไม่ให้เกิดการสั่นสะเทือน ทหารที่ฝึกในขั้นนี้ ต้องสามารถควบคุมพลังของตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ให้สูญเสียพลังไปแม้แต่น้อย”
เว่ยเยวียนหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง และเอ่ยอย่างใจเย็น “เหตุใดบรรดาระบบหลักถึงเกรงกลัวทหาร สิ่งที่พวกเขากลัวคือทหารระดับห้าขึ้นไป สิ่งที่กลัวก็คือทหารขั้นสลายแรง เข้าใจหรือไม่”
ทหารที่ทรงพลังสามารถกำจัดผู้ฝึกตนในระบบใดๆ ได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียวงั้นหรือ แต่ แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่เป็นไปตามหลักกลศาสตร์เลยนะ…เดี๋ยวก่อน ข้าจำได้แล้ว เมื่อก่อนหยางเยี่ยนและเจียงลวี่จงเคยต่อสู้กันในที่ทำการปกครองเพื่อชิงตัวชายงามล่มเมืองเช่นข้านี่หว่า
สวี่ชีอันจำการต่อสู้ครั้งนั้นได้ การต่อสู้ระหว่างฆ้องทองคำทั้งสองไม่มีการสะท้อนแรง ไม่มีปฏิกิริยาโต้กลับ ผิดหลักการกลศาสตร์อย่างร้ายแรง เขายังประหลาดใจในตอนนั้น แต่แอบคาดเดาว่าคงเป็นระดับขั้นใดสักขั้นของระบบทหารที่นำเวทมนตร์มาใช้
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็คือขั้นห้าสลายแรงนั่นเอง
“ในเมื่อเจ้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าจะให้ความรู้เกี่ยวกับระบบทหารสักหน่อย” เว่ยเยวียนกล่าว ขณะอ่านหนังสือ
“ก่อนจะถึงขั้นที่ห้านั้น พรสวรรค์มีบทบาทเพียงสามส่วน ความมานะสามส่วน และกายภาพสี่ส่วน หลังจากผ่านขั้นที่ห้า พรสวรรค์คิดเป็นหกส่วน ความมานะสองส่วน และกายภาพสองส่วน”
“เพราะเหตุใดขอรับ” สวี่ชีอันงงงวย
“หากเจ้าต้องการควบคุมพลังทุกส่วนของเจ้า เจ้าต้องอาศัยความแตกฉานในตัวทหาร ปัจจัยภายนอกนั้นไม่มีส่วนช่วย ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีเพียง ตำราเคลื่อนชีพจร ชิ้นเดียวเท่านั้น ที่พอจะประโยชน์ใกล้เคียงกับสิ่งที่เจ้าต้องการ แต่จะฝึกฝนการแสลายแรงสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
“ก่อนจะไปถึงขั้นที่ห้า ขอแค่มีเคล็ดวิชา มีปัจจัยส่งเสริม พรสวรรค์หากไม่ย่ำแย่จนเกินไป ยังไงก็สามารถบรรลุได้ ผู้ฝึกตนขั้นหกมีมากดั่งขนวัว พอก้าวสู่ขั้นที่ห้า จำนวนก็เริ่มลดลง พอถึงขั้นที่สาม…ในราชสำนักต้าฟ่ง ก็มีอ๋องสยบแดนเหนือเพียงคนเดียว” เว่ยเยวียนกล่าว
มีแต่อ๋องสยบแดนเหนือคนเดียวในราชสำนักต้าฟ่ง…สวี่ชีอันเข้าใจความหมายในคำพูดของเว่ยเยวียนอย่างถ่องแท้ เขาถามต่อ “แล้วในยุทธภพมีจอมยุทธ์ขั้นที่สามบ้างหรือไม่”
“ในยุทธภพมีราชามากมาย อย่าได้ประมาทพวกจอมยุทธ์เถื่อนเชียว” เว่ยเยวียนกล่าวยิ้มๆ “แต่ตอนนี้ยังหายาก และส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในกฎในเกณฑ์ ราชสำนักจึงมีท่าทีสนับสนุนพวกเขา อนุญาตให้เป็นจอมยุทธ์ได้ หากมีโอกาส เจ้าก็ลองไปเจี้ยนโจวสักครั้งก็ได้ การฝึกทหารของที่นั่นเจริญรุ่งเรืองที่สุดในต้าฟ่งแล้ว”
มิน่าเว่ยเยวียนถึงได้คะยั้นคะยอให้ข้าไปท่องยุทธภพตลอด ยุทธภพดูน่าสนใจไม่หยอก…สวี่ชีอันหยุดครุ่นคิด และเปรยถาม
“เว่ยกง ไม่นานมานี้ข้าน้อยเพิ่งศึกษาประวัติศาสตร์มา…”
ทันทีที่พูดจบ เขาถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงประชดประชันแกมด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้มของเว่ยเยวียน “เจ้าอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ได้ด้วยหรือ”
ข้ารู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่นจากปัญญาชนเลย…สวี่ชีอันยิ้มฝืนๆ “บางครั้งข้าน้อยก็อ่านหนังสือได้นะขอรับ อย่างไรเสียข้าก็ถือว่าเป็นปัญญาชนครึ่งตัว”
คิดถึงสมัยนั้นที่เขาเองก็เป็นวีรบุรุษผู้ฝ่าฟันระบบการศึกษาภาคบังคับเก้าปีมาได้ เพียงแต่เมื่ออายุมากขึ้น ความอยากเรียนก็ถดถอยลง
เมื่อเห็นว่าเว่ยเยวียนไม่แย้ง สวี่ชีอันก็ตรงเข้าประเด็น และเอ่ยถามอย่างสงสัย “ข้าน้อยพบว่านอกจากการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีของสำนักพุทธและอาณาจักรหมื่นปีศาจแล้ว สงครามด่านซานไห่ก็เป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์จิ่วโจว
“สงครามนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรหรือขอรับ ในหนังสือประวัติศาสตร์ไม่ได้ระบุไว้แน่ชัด ข้าน้อยคิดว่าเว่ยกงเป็นบัญชาการห้าเหล่าทัพในขณะนั้น ท่านน่าจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี”
เว่ยเยวียนครุ่นคิดอยู่นาน ราวกับกับระลึกถึงอดีต ดวงตาฉายแววผันผวน ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“รัชศกหยวนจิ่งที่สิบสาม ชนเผ่าเถื่อนตอนใต้นำโดยเผ่าพันธุ์กู่ จู่โจมชายแดนทางใต้ของต้าฟ่ง ตีเมืองยึดดินแดน วางยาพิษไปไกลร้อยลี้ หลังจากที่ราชสำนักได้รับรายงานจากทัพหน้า ก็รีบจัดทัพเพื่อขับไล่ชนเผ่าเถื่อนโดยทันที
“ผลก็คือ ในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน กลุ่มชนเผ่าเถื่อนทางเหนือและเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ร่วมมือกันจัดกองกำลังทหารม้าและปีศาจจำนวนสองแสนนาย เคลื่อนพลลงใต้เข้าโจมตีต้าฟ่งราวกับสิงโตตะครุบกระต่าย
“ต้าฟ่งถูกโจมตีทั้งหน้าทั้งหลัง หลังจากสงครามผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งปี ในปีรัชศกหยวนจิ่งที่สิบสี่ ก็มีการสละดินแดนสองเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นอาณาบริเวณหลายหมื่นลี้ และมุ่งความสนใจมาต่อสู้กับชนเผ่าเถื่อนตอนใต้แทน
“ในฤดูใบไม้ร่วงของปีเดียวกัน อาณาจักรหมื่นปีศาจได้ยึดครองเมืองทั้งสอง และประกาศว่าจะฟื้นฟูอาณาจักรของพวกมัน”
เว่ยเยวียนลุกขึ้นเดินไปยังแผนที่อาณาเขตแนวตั้ง ใช้นิ้วชี้วาดวงกลมขนาดใหญ่ตรงบริเวณตะวันตกของต้าฟ่ง และกล่าว
“เมื่อฉู่โจวและจิงโจวถูกแยกออกจากกัน พวกชนเผ่าเถื่อนทางเหนือ เผ่าพันธุ์ปีศาจ และอาณาจักรหมื่นปีศาจ ก็ร่วมมือกันเป็นสามพันธมิตร ไม่ว่าจะลงใต้ไปโจมตีต้าฟ่ง หรือเคลื่อนทัพไปรุกรานดินแดนพุทธ ทั้งสามฝ่ายล้วนช่วยเหลือ ร่วมมือกันจู่โจมศึกที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ดังนั้น เมื่อถึงปีรัชศกหยวนจิ่งที่สิบห้า ดินแดนพุทธประจิมทิศก็เข้าร่วมสงคราม สถานการณ์การรบพลิกผันในช่วงสั้นๆ ดินแดนพุทธร่วมมือกับต้าฟ่ง ชิงฉู่โจวและจิงโจวกลับคืนมาได้ภายในสามเดือน ต้าฟ่งที่พอจะหายใจหายคอได้บ้าง ก็ยิ่งส่งกองกำลังลงใต้มากขึ้น เพื่อต่อกรกับชนเผ่าเถื่อนนำโดยเผ่าพันธุ์กู่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง