อาสะใภ้ดูถูกหลานชายอย่างลำพองใจ เมื่อนางได้ยินเสียงตะโกนของพ่อบ้าน ก็ตอบเสียงแหลมว่า “กลับมาแล้วอย่างไร หรือว่าจะต้องให้ข้าไปต้อนรับเขาเช่นนั้นหรือ”
พ่อบ้านกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “ฮูหยิน มีรอยเลือดอยู่ตามร่างกายคุณหนูหลิงอิน คุณหนูหลิงเยวี่ยดูเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้ ใบหน้านายท่านกับเอ้อร์หลางก็ดูทุกข์ใจเช่นกัน และต้าหลางก็ยังไม่กลับมา จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ในห้องมีเสียงดัง ‘ปึงปัง’ เหมือนเสียงชนอะไรล้ม จากนั้นก็มีเสียงเป็นกังวลของบรรดาสาวใช้ดังขึ้น “ฮูหยิน…”
“ไปให้พ้น!” อาสะใภ้ยกชายกระโปรง แล้ววิ่งออกไปที่ห้องโถงด้านหน้าด้วยสีหน้าวิตกกังวลอย่างรวดเร็ว
อาสะใภ้วิ่งกลับไปที่ห้องโถงด้านหน้าอย่างรีบร้อน น้ำตาคลอเบ้า เห็นสามีอุ้มบุตรสาวคนเล็กไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฝ่ายหลังหมดสติไม่รู้ตัวก็เกือบจะร้องไห้ออกมา
“ไม่เป็นไร แค่นอนหลับไปเท่านั้น” สวี่ผิงจื้อพูดขึ้นก่อนเพื่อสงบอารมณ์ของนาง จากนั้นก็ส่งตัวลูกสาวคนเล็กให้ภรรยา
“เจ้าอุ้มนางกลับไปนอนที่ห้อง”
อาสะใภ้กอดบุตรสาวแน่น แล้วก็มองสำรวจลูกสาวคนโตอย่างละเอียด เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างปกติดีก็รู้สึกโล่งใจ แต่ยังคงไม่ไปไหน พูดเสียงสะอึกสะอื้นว่า “เกิดอะไรขึ้น ออกไปครู่เดียว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
สวี่หลิงเยวี่ยร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
สวี่ผิงจื้อถอนหายใจ แล้วก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ให้ภรรยาฟังอย่างละเอียด
เมื่ออาสะใภ้ได้ยินว่าสวี่หลิงเยวี่ยถูกคนชั่วเกี้ยวพาราสี คิ้วของนางกระตุก รู้สึกโกรธอย่างเหลือทน เมื่อได้ยินว่าสวี่หลิงอินเกือบถูกม้าเหยียบ ใบหน้าก็ซีดเผือด กอดบุตรสาวตัวน้อยไว้แน่น กลัวว่านางจะหายไป
นางตกตะลึงเมื่อรู้ว่าสวี่ชีอันได้ช่วยชีวิตลูกสาวสองคนไว้แล้วยังได้รับบาดเจ็บด้วยเหตุนี้
เมื่อได้ยินอีกว่าหลานชายถูกนำตัวไปที่กรมอาญา นางก็ดึงมือสามีไว้แน่น หน้าถอดสี “หนิงเยี่ยน…เขา เขา…”
“ไม่เป็นไร เขาออกมาแล้ว เรื่องนี้นับว่าได้รับการแก้ไขชั่วคราว” สวี่ผิงจื้อตบมือภรรยาและพูดปลอบโยน
“เจ้าดูเถิด หากครานี้ไม่ใช่เพราะหนิงเยี่ยน หลิงเยวี่ยและหลิงอินก็คงตกอยู่ในอันตรายแล้ว เขาเป็นคนดื้อรั้นไปบ้าง แต่ก็ดีกับทุกคนในครอบครัว หากเป็นคนทั่วไปจะยอมพลีชีพเพื่อลูกสาวของพวกเราเช่นนี้หรือ”
“เจ้ามักจะมองเขาอย่างไม่ถูกชะตา คิดว่าเขาใช้เงินไปกับการฝึกวิทยายุทธมากมาย คิดว่าเลี้ยงดูเขาจนโต ต่อว่าเขาไม่กี่ประโยคจะเป็นอะไรไป คิดว่าเขาพูดจาไม่น่าฟัง ชอบตั้งตัวเป็นศัตรูกับเจ้า แต่เจ้าเคยคิดในมุมของเขาบ้างหรือไม่ อาศัยอยู่กับผู้อื่นเป็นเวลายี่สิบปีมันมีความสุขจริงหรือ เขาจะไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ ผู้หญิงมักจะมองอะไรตื้นๆ และชอบคำพูดที่น่าฟัง แต่ไม่มองสิ่งที่ผู้อื่นกระทำ หลิงเยวี่ยถูกคนรังแก เขาเข้าไปปะทะโดยไม่คำนึงถึงชีวิต โชคดีที่ครั้งนี้ไม่มีอันตราย หากหนิงเยี่ยนไม่ได้กลับมาอีก เจ้าจะไม่เสียใจภายหลังจริงๆ หรือ”
สวี่หลิงเยวี่ยฟังไปน้ำตาก็ไหล ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง คิดว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องตอบแทนพี่ใหญ่ให้ดี
“ข้า…” อาสะใภ้สูดน้ำมูก ก้มหน้าร้องไห้
สวี่ซินเหนียนมองไปที่มารดาของเขาที่เข้มแข็งมาโดยตลอดแต่ตอนนี้ดวงตากลับเต็มไปด้วยความเสียใจก็รู้สึกสะเทือนใจ
แม้ว่าท่านแม่มักจะเรียกเจ้านั่นว่า ‘ตัวล้างผลาญ’ หรือ ‘ตัวซวย’ แต่แท้จริงแล้วท่านแม่ก็ใส่ใจพี่ใหญ่อยู่เสมอ ถึงอย่างไรก็เลี้ยงดูมาเกือบยี่สิบปี ย่อมต้องเกิดความผูกพันเป็นธรรมดา
สวี่ผิงจื้อเหลือบมองลูกชายของเขา แล้วส่งเสียง ‘ฮึ’ “หากเปลี่ยนเป็นลูกชายของเจ้า ไม่แน่ว่าครั้งนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะถูกจับตัวไปรังแกพร้อมกันด้วย”
สวี่เอ้อร์หลาง “???”
…
หลังจากที่ส่งตัวลูกสาวคนเล็กให้สาวใช้ที่ดูแลนางและปลอบโยนลูกสาวคนโตแล้ว อาสะใภ้ก็กลับเข้าห้องพร้อมกับความในใจที่หนักอึ้ง
นางกวาดตามองไปที่บรรดาสาวรับใช้ที่กำลังตัดเย็บเสื้อผ้าฤดูหนาว จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ลวี่เอ๋อ ลดเสื้อผ้ากันหนาวของนายท่านและเอ้อร์หลางลงคนละตัว เมื่อต้าหลางกลับมาแล้ว วัดขนาดตัวของเขาด้วย”
ลวี่เอ๋อเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อ “ฮูหยิน เปลี่ยนใจแล้วหรือเจ้าคะ”
อาสะใภ้ทำเสียง ‘ฮึ’ “ในสายตาเจ้า ข้าเป็นอาสะใภ้ที่ใจจืดใจดำอย่างนั้นหรือ”
‘ใช่แล้ว…’ บรรดาสาวรับใช้ทั้งห้องต่างคิดเช่นนั้นพร้อมกัน
…
สวี่ชีอันออกจากหอดูดาว เช่ารถม้าบนถนนคันหนึ่ง ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามจึงกลับถึงจวนสกุลสวี่
ขณะที่กำลังต้มน้ำร้อนอาบน้ำอยู่นั้นก็พบว่าบาดแผลที่เอวเกือบจะหายสนิทแล้ว
เขาทายาจินชวง[1]เอง กลับไปที่ห้อง ฝนน้ำหมึก เขียนบทความเกี่ยวกับความรู้ทางเคมีสองสามร้อยตัวอักษร ด้วยความเคยชินจึงเริ่มเขียนบันทึกอีกครั้ง
‘วันที่ 16 เดือน 11 เป็นวันที่ควรค่าแก่การจดจำ เพราะในที่สุดข้าก็ตัดสินใจสละชีวิตที่เรียบง่ายไม่มีสีสันของคนมีเงิน ข้าต้องการอำนาจ ต้องการกำลังทหาร สำหรับเรื่องนี้ข้ามีแนวคิดสองประการ
ประการที่หนึ่ง เปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ หันมาปฏิบัติตามแนวทางของลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า ขอเพียงประจบเอาใจปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองจนเป็นที่พึงพอใจ เชื่อว่าพวกเขาจะต้องสนับสนุนข้าอย่างเต็มที่ มันดีกว่าการที่ข้าตรากตรำอยู่บนเส้นทางทางการทหารมากมายนัก เฮ้อ คนอื่นข้ามภพล้วนใช้บทกวีเพื่ออำพรางความสามารถของตัวเอง ส่วนข้ากลับใช้บทกวีเพื่อทำข้อตกลง บางทีนี่อาจเป็นข้อแตกต่างที่ไม่เหมือนใครของคนดวงดี
ประการที่สอง ลองพยายามดูสักตั้ง เพื่อหลอกล่อแม่นางไฉ่เวยมาร่วมเรียงเคียงหมอน มีท่านโหราจารย์คอยหนุนหลัง แม้ไม่ต้องพยายามก็สามารถมีชีวิตที่รื่นรมย์ได้
ประการที่สาม นำสิ่งของที่ได้มาจากสำนักโหราจารย์ชิ้นหนึ่งเพื่อแลกกับโอกาสในการเปิดประตูสวรรค์
แนวคิดประการที่หนึ่งมีข้อเสียคือ ทำให้นึกถึงความกลัวที่จะถูกครอบงำในชีวิตวัยเรียน และไม่แน่ว่าข้าจะเป็นคนเรียนเก่ง ข้าอายุจะยี่สิบปีในไม่ช้านี้แล้ว สายไปหน่อยที่จะเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ
แนวคิดประการที่สองมีข้อเสียคือ ข้าอาจจะบอกลาชีวิตหลายเมีย และบอกลาชีวิตสบายๆ ในการดูละครฟังเพลง ต้องเสียสละค่อนข้างมาก
แนวคิดประการที่สามมีข้อเสียคือ การฝึกลมปราณยังสู้รองเจ้ากรมแห่งกรมการคลังไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่มีที่พึ่ง ก็เป็นเรื่องยากที่จะก้าวหน้าในเส้นทางการทหารได้ อารองติดอยู่ที่จุดสูงสุดของการฝึกลมปราณมาเกือบสิบปี นับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
ในตอนนี้ยึดสำนักโหราจารย์และสำนักอวิ๋นลู่ไว้ให้มั่นก่อนแล้วค่อยไปต่อ ข้ามีลางสังหรณ์ว่าความวุ่นวายของคดีเงินภาษีจะไม่ยุติเพียงแค่นี้’
…
จวนสกุลสวี่ ห้องโถงด้านหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง