ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 33

เขารู้ว่ามีอาวุธเวทมนตร์อยู่ อารองเคยพูดไว้ว่าปีนั้นต้าฟ่งเอาชนะสงครามด่านซานไห่[1] ปืนใหญ่ก็มีส่วนช่วยอย่างมาก

อานุภาพของปืนใหญ่ครึ่งหนึ่งมาจากดินปืน อีกครึ่งหนึ่งมาจากค่ายกล

อาวุธเวทมนตร์เป็นอาวุธเฉพาะของราชวงศ์ต้าฟ่งและเป็นความเชื่อมั่นที่ทำให้ราชวงศ์ต้าฟ่งกล้าอ้างสิทธิ์ความเป็นดั้งเดิมในใต้หล้าเช่นกัน

ในขณะนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักได้ว่าอาวุธเวทมนตร์มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสำนักโหราจารย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ซ่งชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบคำถามของสวี่ชีอันโดยยึดหลักการการแบ่งปันความรู้ “นี่มิใช่ความลับอันใด เจ้ารู้จักชื่อเรียกของโหรขั้นสี่หรือไม่”

แม้แต่ขั้นเจ็ดของระบบทหารของตนเองข้าก็ยังไม่รู้…สวี่ชีอันส่ายหน้า

“ปรมาจารย์ยุทธ!” ซ่งชิงเอ่ย “สิ่งที่นักเล่นแร่แปรธาตุหลอมออกมาล้วนเป็นของสามัญธรรมดา กระทั่งปรมาจารย์ยุทธสลักค่ายกลไว้บนนั้น มันจึงกลายเป็นอาวุธเวทมนตร์”

ตามความเข้าใจของตนเกี่ยวกับระบบโหรและข้อมูลที่เปิดเผยกับสาวงามฉู่ไฉ่เวยเมื่อไม่นานมานี้ สวี่ชีอันใคร่ครวญมากมายอยู่ครู่หนึ่ง

หมอยาขั้นเก้าของโหรเป็นการปูพื้นฐานสำหรับนักพยากรณ์ขั้นแปด นักพยากรณ์เป็นการปูพื้นฐานสำหรับปรมาจารย์ฮวงจุ้ยขั้นเจ็ด ทว่าปรมาจารย์ฮวงจุ้ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นหกซึ่งเป็นขั้นถัดไปของระบบ…ที่แท้นักเล่นแร่แปรธาตุก็ร่วมเสริมกับปรมาจารย์ยุทธขั้นสี่ของโหร

นักเล่นแร่แปรธาตุสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ ปรมาจารย์ยุทธแปรรูปให้กลายเป็นอาวุธเวทมนตร์…ระบบโหรนี้ช่างน่าสนใจ

มิน่าท่านโหราจารย์จึงดำรงตำแหน่งสูงส่งในราชวงศ์ต้าฟ่งเช่นนี้

ฉู่ไฉ่เวยจะต้องมาอยู่ในกำมือข้าให้ได้ ไม่มีจุดประสงค์พิเศษอันใด เพียงอยากเก็บเกี่ยวความรักอันจริงใจในสังคมที่เย็นชานี้

สวี่ชีอันตกลงใจอย่างเงียบๆ

“อาวุธเวทมนตร์ชิ้นที่สองคือเกราะคันฉ่อง ทำจากวัสดุธรรมดา แต่ความพิเศษจริงๆ คือค่ายกลที่สลักไว้ด้านบน สามารถต้านทานการโจมตีเต็มกำลังจากยอดฝีมือระดับหลอมปราณได้และสามารถต้านทานยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณได้สามครั้ง ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้หนึ่งครั้ง”

ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงเป็นขั้นที่หกของระบบทหาร? ในที่สุดสวี่ชีอันก็รู้ขั้นที่หกของระบบทหารของตนเสียที

“ชิ้นสุดท้ายเรียกว่ากร่อนกระดูกแผดเผาหัวใจ หากเจ้าทาบนลูกศรจะสามารถปลิดชีพยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณได้ ไม่มีผลกับระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง เพราะลูกศรมิอาจทะลุผ่านผิวหนังของอีกฝ่ายได้”

สวี่ชีอันพยักหน้า “ของสามชิ้นนี้ล้วนถูกใจข้า”

เขาเอ่ยขึ้นหลังจากอึ้งไปชั่วขณะ “การเล่นแร่แปรธาตุเช่นนั้น เรียกว่าการเพาะชำ!”

สวี่ชีอันอาศัยความทรงจำในอดีตบอกวิชาการเพาะชำกับซ่งชิงไม่ละเอียดจนเกินไป แม้กระบวนการไม่ละเอียด ทว่าสาธยายจุดเด่นอย่างชัดเจน เช่น หลังจากเพาะชำสำเร็จจะยกระดับการทนทานความหนาวของพืช ต้านภัยแล้งและต้านทานศัตรูพืชได้ รวมถึงเพิ่มรสชาติของผลไม้

เฉกเช่นเดียวกับการทดลองมากมายในสมุดบันทึกของเขา ความรู้ทางทฤษฎีค่อนข้างสมบูรณ์ ทว่าขาดทักษะทางการปฏิบัติ

ทว่าก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรคนปฏิบัติก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี

หากซ่งชิงล้มเหลว นั่นหมายถึงตัวเขาอ่อนความสามารถเอง หากสำเร็จ ความดีความชอบล้วนเป็นของสวี่ชีอัน

หลังจากได้ฟังซ่งชิงตัวลอยล่อง กระโดดโลดเต้นอย่างตื่นเต้น ปรารถนาให้ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนทันที เพื่อที่เขาจะทำการเล่นแร่แปรธาตุอันยิ่งใหญ่

“คัมภีร์ลับช่างเป็นคัมภีร์ลับเสียจริง มีคัมภีร์เล่นแร่แปรธาตุโบราณเช่นนี้อยู่บนโลก ทว่าข้ากลับไม่เคยรู้” ซ่งชิงแผดเสียงกึกก้องอย่างฮึกเหิม

‘ตึงๆๆ…’

สวี่ชีอันสาวเท้าเดินไปที่แท่นบันไดของหอดูดาวอย่างรวดเร็ว ซ่อนอาวุธเวทมนตร์ไว้ที่หน้าอก นี่ไม่ใช่ของที่จะวัดกันได้ด้วยเงินทอง

“ข้าสามารถใช้หนึ่งในอาวุธเวทมนตร์แลกเป็นค่าตอบแทนในการเปิดประตูสวรรค์ที่ตลาดมืดได้…ทว่า ของเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ขาดไปไม่ได้…ของฟรีสมกับเป็นแหล่งน้ำพุแห่งความสุขตลอดกาลของมนุษย์จริงๆ…พรุ่งนี้จะไปหอคณิกาฟังบรรเลงเพลงเสียหน่อย”

เขาไม่ได้ต้องการเหรียญทองแดงของสำนักโหราจารย์ ทว่าของที่เขาได้รับเปลี่ยนเป็นก้อนเงินก็ทำให้อาสะใภ้ยอมศิโรราบได้ทุกนาที ยอมก้มหัวทำตามไม่กล้าถากถางเขาอีก

แลกเป็นตั๋วเงินทั้งหมด จากนั้นก็ตบใบหน้าสวยๆ ของอาสะใภ้แรงๆ…เมื่อคิดเช่นนี้สวี่ชีอันก็ยิ่งมีความสุข

“ข้ายืนอยู่ท่ามกลางสายลมกระโชก ปรารถนาจะลบล้างความโศกเศร้าไม่ขาดสาย ทอดมองท้องนภา เมฆเคลื่อนตัวเรี่ยราย ดาบในมือถามไถ่สวรรค์ผู้ใดคือวีรบุรุษ…” รอบด้านปราศจากผู้คน เขาขับร้องบทเพลงของภพก่อนด้วยจิตใจอันห้าวหาญ

เขาเจอกลุ่มคนแปลกหน้าตรงหัวมุม ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากันโดยบังเอิญ

…ช่างน่าอึดอัดเสียจริง! เสียงบรรเลงดังกังวานของสวี่ชีอันหยุดลง แล้วถอยไปอีกด้านด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ใต้แท่นบันไดมีคนอยู่สามคน คนกลางสวมชุดคลุมยาวสีคราม จอมผมขาวโพลน บุคลิกลุ่มลึก ใบหน้ารูปงาม สายตาประดุจบ่อน้ำลึกอันมืดมิด ตกตะกอนความขมขื่นที่ชะล้างไปตามกาลเวลา

เป็นคุณลุงผู้ทรงเสน่ห์ที่ทำให้สาวน้อยกรี๊ดกร๊าดได้

ด้านซ้ายเป็นชายหนุ่มพูดน้อย สายตามองไปข้างหน้าด้วยแววตาเอาจริงเอาจัง

ด้านขวาเป็นชายหนุ่มที่มุมปากยกขึ้นดูเหลาะแหละ แววตาเปี่ยมด้วยความชั่วร้าย บุคลิกอ่อนหวานที่เผยออกมาทำให้สวี่ชีอันอึดอัดใจ

ทว่าในแง่ของรูปโฉมงดงาม สวี่ชีอันเคยพบชายหนุ่มหน้าหวานผู้นี้มาก่อน ซึ่งยากจะพบเห็นบุรุษรูปงามที่มีรูปโฉมพอจะสู้กับเอ้อร์หลางของบ้านเขาได้

ยามที่ทั้งสามเฉียดผ่านข้างกายของสวี่ชีอัน ชายหนุ่มผู้มีบุคลิกอ่อนหวานก็ยิ้มเย้ยหยัน พร้อมเบนสายตาเหลือบมองเขา

ในชั่วพริบตาสวี่ชีอันรู้สึกว่าตนถูกบางอย่างที่น่ากลัวจ้องมองอยู่ เขากลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว หัวใจกลับเต้นแรงมากขึ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง