ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 32

อารองสวี่ประทับใจอยู่ชั่วครู่ ไม่เสียแรงที่เขาพยายามไกล่เกลี่ยมากว่ายี่สิบปี แม้ภรรยาที่บ้านยังคงไม่ชอบหลานชาย ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกหลานยังคงดีอยู่

อารองสวี่รับเด็กสาวตัวน้อยที่หลับสนิทจากอ้อมอกลูกสาวแล้วพูดปลอบใจ “หนิงเยี่ยนออกมาแล้ว เรื่องราวผ่านพ้นไปแล้ว”

สวี่หลิงเยวี่ยไม่เชื่อ

อารองสวี่พร่ำเอ่ยปากเปียกปากแฉะ นางก็ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งพร้อมทอดสายตามองพี่รอง

สวี่ซินเหนียนเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เรื่องเล็กน้อย”

สวี่หลิงเยวี่ยก็เชื่อแล้ว

ผู้ที่หยิ่งยโสเช่นพี่รองคงไม่โกหกเรื่องใหญ่เช่นนี้

นายอำเภอจูให้ความสนใจกับการติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เมื่อรับทราบข่าวจากขุนนางผู้น้อย จึงรีบมุ่งหน้ามาทันที

“พวกเจ้าแก้ไขเรื่องของคุณชายโจวได้อย่างไร” นายอำเภอจูสงสัยไม่แน่ใจ นอกเสียจากคุณชายโจวจะยอมแพ้เอง แต่เขาคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้

“ข้าเชิญท่านอาจารย์มา” สวี่ซินเหนียนกล่าว

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…นายอำเภอจูกระจ่างแจ้งโดยพลัน ทว่าก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เหล่าขุนนางใหญ่ในโถงราชสำนักล้วนมาจากราชวิทยาลัยหลวง เป็นที่ทราบกันดีว่าราชวิทยาลัยหลวงและสำนักอวิ๋นลู่ไม่ถูกกันอย่างยิ่ง

ต่อให้อาจารย์ของสวี่ซินเหนียนจะเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ากรมซุนจากกรมอาญาก็มิอาจปล่อยคนส่งเดชเช่นนี้ ที่ขาดไม่ได้คือการทะเลาะวิวาท การจะฉีกหน้านักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ไม่ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้ง่ายๆ

“และยังมีท่านมู่ไป๋” สวี่ซินเหนียนกล่าวจบก็เสริมขึ้นอีก “รวมถึงพวกชุดขาวจากสำนักโหราจารย์”

“เจ้ากล่าวสิ่งใดหนา!” นายอำเภอจูตกตะลึง สีหน้าระแวดระวัง ท่าทางเรียบร้อยขึ้นมาก “พ่อเป็นเสือลูกไม่เป็นหมา[1] พ่อเป็นเสือลูกไม่เป็นหมาจริงๆ”

“ยินดีกับใต้เท้าสวี่ บุตรชายของท่านสติปัญญาเฉียบแหลม ไม่เพียงสำนักอวิ๋นลู่ให้ความสนใจ ยังสนิทสนมไปมาหาสู่กับเหล่าคนชุดขาวจากสำนักโหราจารย์ อนาคตกว้างไกล มีบุตรชายเช่นนี้ทำเอาข้าอิจฉา”

พี่รองรู้จักคนชุดขาวจากสำนักโหราจารย์ด้วยหรือ สวี่หลิงเยวี่ยมองสวี่ซินเหนียนทันที ความรู้สึกปลอดภัยผุดขึ้นมาในใจอย่างท่วมท้น

ตามปกติบุตรสาวอยู่บ้านเชื่อฟังบิดา ออกเรือนเชื่อฟังสามี สะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาของสตรียามที่ไร้คู่หมั้นหมายและหลังจากออกเรือน

ยามอยู่บ้านต้องพึ่งพาบิดาและพี่ชาย

สวี่ซินเหนียนส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เชิญท่านมู่ไป๋ เป็นความสัมพันธ์ของตัวพี่ใหญ่ข้าเอง พวกชุดขาวจากสำนักโหราจารย์ข้าก็ไม่รู้จัก พี่ใหญ่เป็นคนหามาเองเช่นเดียวกัน”

สวี่หนิงเยี่ยนไปรู้จักกับหลี่มู่ไป๋นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักอวิ๋นลู่ตั้งแต่เมื่อใดกัน นี่อาจมีสวี่ซินเหนียนเป็นสื่อชักนำให้รู้จักกัน ทว่าพวกชุดขาวจากสำนักโหราจารย์จะรู้จักขุนนางผู้น้อยคนหนึ่งเช่นเขาได้อย่างไร

นายอำเภอจูตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ในหัวเต็มไปด้วยคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’

สวี่หนิงเยี่ยนทำมาหากินใต้มือเท้าเขามานานแรมปี เป็นคนไม่โดดเด่นที่พูดน้อยอยู่เสมอ ความสัมพันธ์กับสหายร่วมงานก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ไม่ถึงกับไว้วางใจ

ไม่ได้มากฝีมืออะไรนอกเสียจากต่อสู้ได้

แต่จู่ๆ ในเวลานี้กลับมีทั้งเชาวน์ปัญญาทั้งลื่นไหล ถือเป็นพี่เป็นน้องกับหัวหน้ามือปราบหวัง ดื่มสุราชนจอกพูดคุยอย่างสำราญกับสหายร่วมงาน

ทว่าอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ถึงกับได้รับความสำคัญจากนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่และได้รับมิตรภาพจากเหล่าคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์

‘หากเป็นเช่นนี้ตำแหน่งฐานะของสวี่หนิงเยี่ยนก็มิอาจเทียบเคียง ต่อให้เป็นข้ายังต้องเกรงใจเขาอยู่บ้าง…รอเขาประชุมศาลในวันพรุ่ง ข้าจะลองหยั่งเชิงเขาและดูว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น’ นายอำเภอจูคิดในใจ

ดวงตากลมโตเป็นประกายของสวี่หลิงเยวี่ยเบิกโพลง ไม่อยากจะเชื่อ

ทว่านางผู้ปราดเปรื่องก็เชื่อมโยงได้ทันที หรือจะเป็นบทกวีบทนั้น? พี่ใหญ่เขียนบทกวีอำลาแทนพี่รองและได้รับความสนใจจากนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงยินยอมช่วยไกล่เกลี่ย

ทว่า เซียนของสำนักโหราจารย์รู้จักกับพี่ใหญ่ได้อย่างไร…พี่ใหญ่เขานับวันยิ่งลึกลับขึ้นเสียจริง

สวี่ชีอันเดินตามซ่งชิงไปบนระเบียงทางเดิน ช่องลมบนกำแพงด้านขวาสาดส่องลำแสงออกมานำมาซึ่งแสงสว่าง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง