บทที่ 350 แผนการของสวี่ชีอัน (1)
ขณะที่ทุกคนอารมณ์เดือดพล่าน สวี่ชีอันพลันหยิบม้วนคัมภีร์ออกมาพร้อมกล่าว “ทุกท่าน คุ้มกันใต้เท้าทั้งหลายออกไป ไม่ต้องร่วมศึก”
ราวกับถังน้ำเย็นสาดเข้าที่หัวของทุกคน
เฉินเซียวเอ่ยอย่างร้อนใจ “ใต้เท้าสวี่ ข้าน้อยยินยอมทำศึกร่วมกับใต้เท้า ถึงสิ้นกายก็ไม่เสียใจ”
เหล่าทหารรักษาวังต่างแผดเสียง “ยินยอมทำศึกร่วมกับใต้เท้า ถึงสิ้นกายก็ไม่เสียใจ”
หากพวกเจ้าเตรียมปืนใหญ่และเครื่องยิงหน้าไม้พร้อม ข้าก็ไม่ถือรังเกียจที่พวกเจ้าจะช่วยข้าคุมท้ายกองกำลัง แต่พึ่งอาวุธยิงเล็กๆ เช่นหน้าไม้ทั้งหมดจะไปสู้กับพวกปืนใหญ่ของคนอื่นได้อย่างไร…สวี่ชีอันหน้าขรึมพร้อมเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
“นี่เป็นคำสั่ง!”
เหล่าทหารรักษาวังทั้งฉุนเฉียวทั้งร้อนรน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงต้องออกคำสั่งเช่นนี้
สวี่ชีอันตึงเครียด เตรียมป้องกันการจู่โจมกะทันหันจากขั้นสี่ทั้งสองคน เมื่อเห็นเฉินเซียวยังคงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งก็บันดาลไฟโทสะในทันใด แล้วเอ่ยพร้อมมองอย่างกราดเกรี้ยว
“พวกเจ้าอยู่ไปก็มีแต่รนหาที่ตายเสียเปล่า หากยังไม่ไปอีก ข้าจะเชือดเจ้าก่อนเสียตอนนี้เลย”
เฉินเซียวเข้าใจแล้ว ที่ใต้เท้าสวี่ยืนกรานให้พวกเขาถอยทัพก็เพื่อปกป้องพวกเขา ไม่อยากเห็นเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องสละชีวิตอย่างเสียเปล่า
เขาน้ำตาเอ่อล้นประสานมือคารวะพร้อมเอ่ย “ใต้เท้าสวี่ ท่าน ท่านรักษาตัวด้วย”
เมื่อเหล่าทหารรักษาวังต่างเข้าใจเจตนาของสวี่ชีอัน เบ้าตาก็แดงก่ำทันที
“ใต้เท้าสวี่ บุญคุณอันใหญ่หลวงตอบแทนด้วยคำขอบคุณมิอาจพอ หะ…หากข้าหลุดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ได้ ในวันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” ผู้พิพากษารองหัวหน้าศาลต้าหลี่เดินมาหยุดอยู่ข้างกายสวี่ชีอัน แล้วแสดงคารวะอย่างล้ำลึก
ฝ่ายตรวจการทั้งสองโค้งคารวะ “ใต้เท้าสวี่ ท่านรักษาตัวด้วย”
ท่านใช้ไปหมดแล้ว สำหรับคุณธรรมสูงส่งจากฝ่ายตรวจการทั้งสองยากจะพบพาน
หัวหน้ามือปราบเฉินประสานมือคารวะโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ทว่าความซาบซึ้งและเลื่อมใสในดวงตาไม่ได้น้อยไปกว่าสองคนก่อนหน้าเลย มือปราบหลายคนด้านหลังเขาต่างก็ประสานมือคารวะด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไปเสียเถิด”
สวี่ชีอันคาบม้วนคัมภีร์เข้าไปในปากอีกครั้งโดยไม่มองพวกเขา
สองยอดฝีมือขั้นสี่ถังซานจวินและจาเอ๋อร์มู่ฮาไม่ได้ขวาง มองทุกคนจากไปอย่างเงียบๆ สายตาของพวกเขาตรึงอยู่บนร่างของสวี่ชีอัน
“พลังปราณผันผวนไม่รุนแรง ไม่ใช่ทหารขั้นสี่ ทว่ารู้จักพลังเทพวชิระเป็นอย่างดี”
ถังซานจวินหันร่างมังกรมองพิจารณาอยู่พักหนึ่งก่อนจะออกความเห็น
“สิ่งที่คาบอยู่ในปากคือคัมภีร์ที่ลัทธิขงจื๊อบันทึกวรยุทธ์ พลังต่อสู้ไม่บรรลุขั้นสี่ หึ เมื่อคัมภีร์ถูกใช้จนหมดก็จะฆ่าเขาเสีย”
จาเอ๋อร์มู่ฮาที่มีขนสีดำยาวทั่วทั้งร่างเอ่ยเยาะเย้ย
ส่วนท้องของถังซานจวินนูนขึ้น ‘กลมเป็นลูก’ ลูกกลมนั้นพุ่งตรงไปที่ลำคอและพ่นออกไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น ‘ฝน’ กลิ่นคาวเหนียวข้นก็ปกคลุมฟ้าครอบพสุธา ปกคลุมรอบสวี่ชีอันในระยะสิบเมตร ทำให้เขามิอาจหลบหนีได้
แก่นปราณอันเจิดจ้าผุดขึ้น เปล่งแสงรัศมี เมื่อของเหลวกลิ่นคาวเหนียวข้นสัมผัสแสงของมันก็ปัดไปให้พ้นสิ้น ไม่สัมผัสโดนแม้แต่น้อย
‘ตึงๆๆ…’
บัดนี้จาเอ๋อร์มู่ฮาฉวยโอกาสบุกประชิด ร่างสูงหนึ่งจั้งกระโจนเข้าใส่สวี่ชีอัน ฉวยโอกาสแย่งชิงคัมภีร์ในปากของเขา
‘เป๊าะ!’
สวี่ชีอันดีดนิ้ว กระดาษที่คีบอยู่ในนิ้วเรียวถูกจุด รวมถึงขนสีดำหนึ่งเส้นในแผ่นกระดาษ
ร่างของจาเอ๋อร์มู่ฮาที่วิ่งตะบึงชะงัก แล้วคุกเข่าลงกับพื้นอย่างทุกข์ทรมานราวกับถูกท่อนไม้ตีเข้าที่ศีรษะ
‘เคล็ดวิชาสาปสังหาร!’
สวี่ชีอันกำลังจะใช้โอกาสนี้เอาชนะคนชั่วตกอับ เสียงลมแผดก้องอยู่ข้างหู หัวมังกรของถังซานจวินกระแทกเข้าใส่อย่างเหี้ยมหาญ
ใต้หล้าราวกับเสียงระฆังดังกังวาน สวี่ชีอันพลิกตัวพุ่งเข้าไปฝังอยู่ในภูเขา หินร่วงหล่นกลิ้งไปมา
ครู่ต่อมาเขาก็พุ่งออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ฉีกกระดาษไม่กี่หน้าคีบไว้ในมือ แล้วมองผู้แข็งแกร่งขั้นสี่ทั้งสองอย่างเยือกเย็น
นอกเสียจากหนังสือเวทมนตร์ การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คือ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ทว่าขัดขวางการฝึกของตน มิอาจทลายการป้องกันทางกายของยอดฝีมือขั้นสี่ได้ แต่กลับทำให้ตนเข้าสู่สภาวะอ่อนแอแทน
ดังนั้นนอกเสียจากการป้องกันจากพลังเทพวชิระ เขาก็ไม่คิดจะใช้ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ แต่ใช้หนังสือเวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊อตรึงศัตรู
ทว่าอย่างที่ขั้นสี่ทั้งสองกล่าว หนังสือเวทมนตร์จะหมดสิ้นไป
ทหารขั้นสี่และเผ่าพันธุ์ปีศาจขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน สวี่ชีอันไม่คิดว่าตนจะใช้หนังสือเวทมนตร์ฆ่าคนได้ นอกเสียจากเขาจะใช้ทักษะ ‘ลั่นประกาศิต’
ทว่าผลที่ตามมาของการลั่นประกาศิตช่างใหญ่ยิ่ง ยามสงครามสวรรค์มนุษย์ เพราะ ‘จิตเดิมเพิ่มขึ้นสิบเท่า’ เขาเกือบจะวิญญาณกระเจิง ก็ได้หลี่เมี่ยวเจินช่วยเขาเรียกวิญญาณกลับคืนมา
ทหารที่หยาบคายเช่นหยางเยี่ยนเห็นได้ชัดว่าไม่มีทักษะเรียกวิญญาณระดับสูงเช่นนี้ เรียกเขามาก็คงไม่ต่างอะไรกับเรียกมาขุดหลุมฝังศพ…สวี่ชีอันระแวงในใจ
ดังนั้นกุญแจสำคัญตัดสินแพ้ชนะของศึกนี้ มิใช่ว่าเขาจะฆ่าศัตรูได้หรือไม่ ทว่าเป็นหยางเยี่ยนจะฆ่าศัตรูได้เมื่อไรต่างหาก
เมื่อหันหน้าชำเลืองมองก็พบว่าหญิงสาวชุดกระโปรงแดงแม้จะเสียเปรียบในทุกด้าน แต่กลับฝืนต้านอาวุธของหยางเยี่ยนไว้ ไม่ว่าหยางเยี่ยนจะแทงอย่างไร นางก็ไม่ร้องยังคงพยายามรับมืออย่างถึงที่สุด
ในหมู่ผู้แข็งแกร่งขั้นสี่มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ทว่าจะแยกแพ้ชนะในชั่วครู่ชั่วยามช่างยากยิ่ง หญิงสาวผู้นี้ไม่เพียงพราวเสน่ห์ ยังอึดกว่าที่คิดไว้เสียอีก…สวี่ชีอันถอนใจอย่างช่วยไม่ได้
เขาไม่ได้เผยสีหน้ากังวลออกมา คายม้วนคัมภีร์ออกและถือไว้ในมือ สะบัดไม่กี่ทีแล้วหัวเราะพร้อมเอ่ย “วรยุทธ์ในคัมภีร์นั้นมีจำกัด ทว่ารับมือกับพวกเจ้าทั้งสองก็เหลือเฟือ”
ระหว่างที่พูดเขาก็ฉีกกระดาษหน้าหนึ่งออก จุดไฟเผาและเช็ดเถ้าธุลีบนมีดยาวสีดำทอง
ชั่วพริบตาเดียวมีดยาวสีดำทองก็ทะยานขึ้นฟ้าดัง ‘เฟี้ยว’ ราวกับถูกมอบชีวิต โบยบินพันรอบอย่างปราดเปรียว โจมตีถังซานจวินจากมุมที่ต่างออกไป
สังเวยปราณวิชาเต๋าขั้นเจ็ด นักพรตระดับนี้สามารถควบคุมอาวุธเวทมนตร์ได้ เคล็ดวิชาที่ขึ้นชื่อก็คือกระบี่บิน
ร่างใหญ่มหึมาแสดงถึงความได้เปรียบทางด้านพละกำลัง ทว่าก็แสดงให้เห็นข้อเสียที่ตามมาด้วยเช่นกัน ถังซานจวินนอกเสียจากสั่นสะเทือนพลังปราณปะทะกับ ‘มีดบิน’ ก็ยังขาดวิธีการที่มีประสิทธิภาพอื่นๆ อยู่
หากเป็นอาวุธธรรมดาก็คงไม่เท่าไร ไม่เจ็บไม่คัน แต่คมมีดแหลมนี้ไร้เทียมทาม เมื่อฟันลงบนแผ่นเกล็ดก็ปวดเสียดแทงหาใดเทียบ
เสียงผิวปากดังวี๊ด…
จาเอ๋อร์มู่ฮายกหินยักษ์ขึ้นและขว้างใส่สวี่ชีอัน
‘ตูมๆๆ!’
หินยักษ์แตกออก สวี่ชีอันวิ่งตะบึงไปบนภูเขาและหลบเลี่ยงหินยักษ์แต่ละก้อนที่ดูเหมือนอุกกาบาต
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง