ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 350

สรุปบท บทที่ 350 แผนการของสวี่ชีอัน (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 350 แผนการของสวี่ชีอัน (1) – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 350 แผนการของสวี่ชีอัน (1) ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 350 แผนการของสวี่ชีอัน (1)

ขณะที่ทุกคนอารมณ์เดือดพล่าน สวี่ชีอันพลันหยิบม้วนคัมภีร์ออกมาพร้อมกล่าว “ทุกท่าน คุ้มกันใต้เท้าทั้งหลายออกไป ไม่ต้องร่วมศึก”

ราวกับถังน้ำเย็นสาดเข้าที่หัวของทุกคน

เฉินเซียวเอ่ยอย่างร้อนใจ “ใต้เท้าสวี่ ข้าน้อยยินยอมทำศึกร่วมกับใต้เท้า ถึงสิ้นกายก็ไม่เสียใจ”

เหล่าทหารรักษาวังต่างแผดเสียง “ยินยอมทำศึกร่วมกับใต้เท้า ถึงสิ้นกายก็ไม่เสียใจ”

หากพวกเจ้าเตรียมปืนใหญ่และเครื่องยิงหน้าไม้พร้อม ข้าก็ไม่ถือรังเกียจที่พวกเจ้าจะช่วยข้าคุมท้ายกองกำลัง แต่พึ่งอาวุธยิงเล็กๆ เช่นหน้าไม้ทั้งหมดจะไปสู้กับพวกปืนใหญ่ของคนอื่นได้อย่างไร…สวี่ชีอันหน้าขรึมพร้อมเอ่ยอย่างขุ่นเคือง

“นี่เป็นคำสั่ง!”

เหล่าทหารรักษาวังทั้งฉุนเฉียวทั้งร้อนรน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงต้องออกคำสั่งเช่นนี้

สวี่ชีอันตึงเครียด เตรียมป้องกันการจู่โจมกะทันหันจากขั้นสี่ทั้งสองคน เมื่อเห็นเฉินเซียวยังคงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งก็บันดาลไฟโทสะในทันใด แล้วเอ่ยพร้อมมองอย่างกราดเกรี้ยว

“พวกเจ้าอยู่ไปก็มีแต่รนหาที่ตายเสียเปล่า หากยังไม่ไปอีก ข้าจะเชือดเจ้าก่อนเสียตอนนี้เลย”

เฉินเซียวเข้าใจแล้ว ที่ใต้เท้าสวี่ยืนกรานให้พวกเขาถอยทัพก็เพื่อปกป้องพวกเขา ไม่อยากเห็นเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องสละชีวิตอย่างเสียเปล่า

เขาน้ำตาเอ่อล้นประสานมือคารวะพร้อมเอ่ย “ใต้เท้าสวี่ ท่าน ท่านรักษาตัวด้วย”

เมื่อเหล่าทหารรักษาวังต่างเข้าใจเจตนาของสวี่ชีอัน เบ้าตาก็แดงก่ำทันที

“ใต้เท้าสวี่ บุญคุณอันใหญ่หลวงตอบแทนด้วยคำขอบคุณมิอาจพอ หะ…หากข้าหลุดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ได้ ในวันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” ผู้พิพากษารองหัวหน้าศาลต้าหลี่เดินมาหยุดอยู่ข้างกายสวี่ชีอัน แล้วแสดงคารวะอย่างล้ำลึก

ฝ่ายตรวจการทั้งสองโค้งคารวะ “ใต้เท้าสวี่ ท่านรักษาตัวด้วย”

ท่านใช้ไปหมดแล้ว สำหรับคุณธรรมสูงส่งจากฝ่ายตรวจการทั้งสองยากจะพบพาน

หัวหน้ามือปราบเฉินประสานมือคารวะโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ทว่าความซาบซึ้งและเลื่อมใสในดวงตาไม่ได้น้อยไปกว่าสองคนก่อนหน้าเลย มือปราบหลายคนด้านหลังเขาต่างก็ประสานมือคารวะด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไปเสียเถิด”

สวี่ชีอันคาบม้วนคัมภีร์เข้าไปในปากอีกครั้งโดยไม่มองพวกเขา

สองยอดฝีมือขั้นสี่ถังซานจวินและจาเอ๋อร์มู่ฮาไม่ได้ขวาง มองทุกคนจากไปอย่างเงียบๆ สายตาของพวกเขาตรึงอยู่บนร่างของสวี่ชีอัน

“พลังปราณผันผวนไม่รุนแรง ไม่ใช่ทหารขั้นสี่ ทว่ารู้จักพลังเทพวชิระเป็นอย่างดี”

ถังซานจวินหันร่างมังกรมองพิจารณาอยู่พักหนึ่งก่อนจะออกความเห็น

“สิ่งที่คาบอยู่ในปากคือคัมภีร์ที่ลัทธิขงจื๊อบันทึกวรยุทธ์ พลังต่อสู้ไม่บรรลุขั้นสี่ หึ เมื่อคัมภีร์ถูกใช้จนหมดก็จะฆ่าเขาเสีย”

จาเอ๋อร์มู่ฮาที่มีขนสีดำยาวทั่วทั้งร่างเอ่ยเยาะเย้ย

ส่วนท้องของถังซานจวินนูนขึ้น ‘กลมเป็นลูก’ ลูกกลมนั้นพุ่งตรงไปที่ลำคอและพ่นออกไปอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น ‘ฝน’ กลิ่นคาวเหนียวข้นก็ปกคลุมฟ้าครอบพสุธา ปกคลุมรอบสวี่ชีอันในระยะสิบเมตร ทำให้เขามิอาจหลบหนีได้

แก่นปราณอันเจิดจ้าผุดขึ้น เปล่งแสงรัศมี เมื่อของเหลวกลิ่นคาวเหนียวข้นสัมผัสแสงของมันก็ปัดไปให้พ้นสิ้น ไม่สัมผัสโดนแม้แต่น้อย

‘ตึงๆๆ…’

บัดนี้จาเอ๋อร์มู่ฮาฉวยโอกาสบุกประชิด ร่างสูงหนึ่งจั้งกระโจนเข้าใส่สวี่ชีอัน ฉวยโอกาสแย่งชิงคัมภีร์ในปากของเขา

‘เป๊าะ!’

สวี่ชีอันดีดนิ้ว กระดาษที่คีบอยู่ในนิ้วเรียวถูกจุด รวมถึงขนสีดำหนึ่งเส้นในแผ่นกระดาษ

ร่างของจาเอ๋อร์มู่ฮาที่วิ่งตะบึงชะงัก แล้วคุกเข่าลงกับพื้นอย่างทุกข์ทรมานราวกับถูกท่อนไม้ตีเข้าที่ศีรษะ

‘เคล็ดวิชาสาปสังหาร!’

สวี่ชีอันกำลังจะใช้โอกาสนี้เอาชนะคนชั่วตกอับ เสียงลมแผดก้องอยู่ข้างหู หัวมังกรของถังซานจวินกระแทกเข้าใส่อย่างเหี้ยมหาญ

ใต้หล้าราวกับเสียงระฆังดังกังวาน สวี่ชีอันพลิกตัวพุ่งเข้าไปฝังอยู่ในภูเขา หินร่วงหล่นกลิ้งไปมา

ครู่ต่อมาเขาก็พุ่งออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ฉีกกระดาษไม่กี่หน้าคีบไว้ในมือ แล้วมองผู้แข็งแกร่งขั้นสี่ทั้งสองอย่างเยือกเย็น

นอกเสียจากหนังสือเวทมนตร์ การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คือ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ทว่าขัดขวางการฝึกของตน มิอาจทลายการป้องกันทางกายของยอดฝีมือขั้นสี่ได้ แต่กลับทำให้ตนเข้าสู่สภาวะอ่อนแอแทน

ดังนั้นนอกเสียจากการป้องกันจากพลังเทพวชิระ เขาก็ไม่คิดจะใช้ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ แต่ใช้หนังสือเวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊อตรึงศัตรู

ทว่าอย่างที่ขั้นสี่ทั้งสองกล่าว หนังสือเวทมนตร์จะหมดสิ้นไป

ทหารขั้นสี่และเผ่าพันธุ์ปีศาจขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน สวี่ชีอันไม่คิดว่าตนจะใช้หนังสือเวทมนตร์ฆ่าคนได้ นอกเสียจากเขาจะใช้ทักษะ ‘ลั่นประกาศิต’

ทว่าผลที่ตามมาของการลั่นประกาศิตช่างใหญ่ยิ่ง ยามสงครามสวรรค์มนุษย์ เพราะ ‘จิตเดิมเพิ่มขึ้นสิบเท่า’ เขาเกือบจะวิญญาณกระเจิง ก็ได้หลี่เมี่ยวเจินช่วยเขาเรียกวิญญาณกลับคืนมา

ทหารที่หยาบคายเช่นหยางเยี่ยนเห็นได้ชัดว่าไม่มีทักษะเรียกวิญญาณระดับสูงเช่นนี้ เรียกเขามาก็คงไม่ต่างอะไรกับเรียกมาขุดหลุมฝังศพ…สวี่ชีอันระแวงในใจ

ดังนั้นกุญแจสำคัญตัดสินแพ้ชนะของศึกนี้ มิใช่ว่าเขาจะฆ่าศัตรูได้หรือไม่ ทว่าเป็นหยางเยี่ยนจะฆ่าศัตรูได้เมื่อไรต่างหาก

เมื่อหันหน้าชำเลืองมองก็พบว่าหญิงสาวชุดกระโปรงแดงแม้จะเสียเปรียบในทุกด้าน แต่กลับฝืนต้านอาวุธของหยางเยี่ยนไว้ ไม่ว่าหยางเยี่ยนจะแทงอย่างไร นางก็ไม่ร้องยังคงพยายามรับมืออย่างถึงที่สุด

ในหมู่ผู้แข็งแกร่งขั้นสี่มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ทว่าจะแยกแพ้ชนะในชั่วครู่ชั่วยามช่างยากยิ่ง หญิงสาวผู้นี้ไม่เพียงพราวเสน่ห์ ยังอึดกว่าที่คิดไว้เสียอีก…สวี่ชีอันถอนใจอย่างช่วยไม่ได้

เขาไม่ได้เผยสีหน้ากังวลออกมา คายม้วนคัมภีร์ออกและถือไว้ในมือ สะบัดไม่กี่ทีแล้วหัวเราะพร้อมเอ่ย “วรยุทธ์ในคัมภีร์นั้นมีจำกัด ทว่ารับมือกับพวกเจ้าทั้งสองก็เหลือเฟือ”

ระหว่างที่พูดเขาก็ฉีกกระดาษหน้าหนึ่งออก จุดไฟเผาและเช็ดเถ้าธุลีบนมีดยาวสีดำทอง

ชั่วพริบตาเดียวมีดยาวสีดำทองก็ทะยานขึ้นฟ้าดัง ‘เฟี้ยว’ ราวกับถูกมอบชีวิต โบยบินพันรอบอย่างปราดเปรียว โจมตีถังซานจวินจากมุมที่ต่างออกไป

สังเวยปราณวิชาเต๋าขั้นเจ็ด นักพรตระดับนี้สามารถควบคุมอาวุธเวทมนตร์ได้ เคล็ดวิชาที่ขึ้นชื่อก็คือกระบี่บิน

ร่างใหญ่มหึมาแสดงถึงความได้เปรียบทางด้านพละกำลัง ทว่าก็แสดงให้เห็นข้อเสียที่ตามมาด้วยเช่นกัน ถังซานจวินนอกเสียจากสั่นสะเทือนพลังปราณปะทะกับ ‘มีดบิน’ ก็ยังขาดวิธีการที่มีประสิทธิภาพอื่นๆ อยู่

หากเป็นอาวุธธรรมดาก็คงไม่เท่าไร ไม่เจ็บไม่คัน แต่คมมีดแหลมนี้ไร้เทียมทาม เมื่อฟันลงบนแผ่นเกล็ดก็ปวดเสียดแทงหาใดเทียบ

เสียงผิวปากดังวี๊ด…

จาเอ๋อร์มู่ฮายกหินยักษ์ขึ้นและขว้างใส่สวี่ชีอัน

‘ตูมๆๆ!’

หินยักษ์แตกออก สวี่ชีอันวิ่งตะบึงไปบนภูเขาและหลบเลี่ยงหินยักษ์แต่ละก้อนที่ดูเหมือนอุกกาบาต

เสินซู มารดาสิ้น

แล้วเสินซูก็ตื่นขึ้น…

ไต้ซือเสินซูตกปากรับคำข้อเสนอของสวี่ชีอันทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เลือดและสารจำเป็นของยอดฝีมือขั้นสี่ สำหรับไต้ซือเสินซูก็ไม่ต่างอะไรกับยาบำรุงกำลัง

ในวันธรรมดาจะไม่มีเหยื่อเช่นนี้ โอกาสในตอนนี้พันปีจะพบพานสักครั้ง

แม้แต่ไต้ซือเสินซูก็รีบเร่งยิ่งกว่าสวี่ชีอัน หากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่หยางเยี่ยนอยู่ตรงนั้น ถังซานจวินกับจาเอ๋อร์มู่ฮาคงเป็นศพแห้งไปแล้ว

“บางทีอาจไม่ใช่แค่ขั้นสี่สามคน พวกเขาจะต้องยังมีผู้ช่วย ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่คงไม่มีทางปล่อยให้ฉู่เซียงหลงหนีไปแน่” สวี่ชีอันพูดพลางฉีกกระดาษที่บันทึกวิชามองปราณ

สองส่องดวงชะตา บางครั้งก็เป็นช่องทางตามหาได้เช่นกัน

“สำหรับอาตมายิ่งมากยิ่งดี” ในน้ำเสียงอันอ่อนโยนของไต้ซือเสินซูแฝงด้วยรอยยิ้ม

ฉู่เซียงหลงทอดข้ามผาชัน วิ่งเต้นแบกพระมเหสีตัวปลอมอย่างเอาเป็นเอาตาย

เขาคือยอดฝีมือสลายแรงขั้นห้า ในบรรดานายทหารใต้บังคับบัญชาของอ๋องสยบแดนเหนือก็ถือว่าดีกว่ามาตรฐานเท่านั้น แน่นอนว่าการนำทัพออกรบย่อมมิอาจมองเป็นกำลังส่วนตัวได้

ความสามารถในการบัญชาการของฉู่เซียงหลงโดดเด่นเหนือผู้ใด ประสบการณ์ในสนามรบมีท่วมท้น กองทัพจำนวนห้าหมื่นนายนั้น อ๋องสยบแดนเหนือมอบกองทัพให้เขาย่อมวางใจกว่ามอบให้ทหารขั้นสี่

‘ข้าพาพระมเหสีหลบหนีย่อมกลายเป็นเป้าโจมตีจากทุกคนและเป้าหมายหลักที่พวกเขาไล่ฆ่า หากพวกเขาตามทันข้าก็จะโยนหญิงสาวบนหลังทิ้งเสีย หลังจากที่พวกเขาพบว่าเป็นตัวปลอม อย่างมากก็แค่ส่งคนคนเดียวมากำจัดข้า ถึงจะไม่กำจัดข้า แต่ก็จะรวบรวมกำลังคนไปสกัดคนที่เหลือ หากไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุที่เกิดจากการฝึก ข้าคงวิ่งได้เร็วยิ่งกว่านี้…หวังว่าหยางเยี่ยนจะต้านได้อีกสักพัก พลังเทพวชิระของสวี่ชีอันเรื่องการป้องกันไม่แพ้ขั้นสี่ แม้อยากจะฆ่าเขาก็ไม่ง่าย ประกอบกับหยางเยี่ยน ด้วยฝีมือของสามผู้แข็งแกร่งขั้นสี่ต้านสักครึ่งชั่วยามก็ไม่มีปัญหา…หากในมือสวี่ชีอันยังมีม้วนคัมภีร์วรยุทธ์ลัทธิขงจื๊อก็ยังถ่วงเวลาได้อีกระยะหนึ่ง นี่ ถึงของสิ่งนี้จะมีมากแค่ไหนก็ต้องหมดสิ้นอยู่ดี นี่ไม่สำคัญ ตราบใดที่ถ่วงเวลาออกไปได้ ข้าก็สามารถหลบหนีไปได้ คนจากสมณทูตกลัวว่าจะเป็นเคราะห์ร้ายมากกว่าดี ตายไปแล้วก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงคนต่ำต้อย จะมาเทียบกับชีวิตของพระมเหสีและข้าได้อย่างไร โดยเฉพาะสวี่ชีอัน ตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าทุกด้าน ถึงตายก็ยังไม่สาสมกับบาปที่กระทำ’

ฉู่เซียงหลงที่วิ่งตะบึงพลางคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจู่โจมที่รวดเร็วดุดัน

สัญชาตญาณของนักรบทำให้เขาไม่จำเป็นต้องครุ่นคิด ความอัศจรรย์ของสลายแรงขั้นห้าทำให้เขามองข้ามความเฉื่อยระหว่างวิ่ง กระโจนไปด้านซ้ายอย่างว่องไวหลบการจู่โจมที่มาจากอากาศ

ตำแหน่งเดิมที่เคยยืนปรากฏกลุ่มวัตถุเป็นเส้นสีขาวคล้ายกับกลุ่มใยที่แมงมุมพ่นออกมา

ฉู่เซียงหลงเงยหน้ามองฟ้า สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนสีในทันใด

ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายแมงมุมแต่กลับมีสองปีกงอกตรงซี่โครง กระพือปีกลอยอยู่กลางอากาศ

มีชายหนุ่มสวมชุดหนังเสือยืนอยู่บนหลังของมัน รูปร่างผึ่งผาย ใบหน้าดูดุดัน มีโฉมภายนอกในแบบฉบับของคนทางเหนือ ทว่าสิ่งที่ต่างจากเผ่าอนารยชนทั่วไปคือดวงตาตั้งตรงบนหน้าผากของเขา

คนผู้นี้มีนามว่าเทียนหลาง ผู้นำฝ่ายพฤกษาสุวรรณ หนึ่งในสิบสองเผ่าอนารยชน

ฝ่ายพฤกษาสุวรรณเป็นม้าเร็วในสิบสองเผ่าอนารยชน คนในเผ่าที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนล้วนเลี้ยงแมงมุมขนไว้เป็นหน่วยสอดแนมทางธรรมชาติ

ในระหว่างที่ทำศึกกับเผ่าอนารยชน ฝ่ายพฤกษาสุวรรณเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดสำหรับกองกำลังทหารที่ตั้งมั่นอยู่ทางเหนือมาโดยตลอด เป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนขั้นสี่ทหารจะมิอาจเหาะเหินบนอากาศได้

ต่อให้เป็นขั้นสี่ก็เหาะเหินได้เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ความสูงในการบินก็มีจำกัด

ทว่าสาเหตุที่แท้จริงที่สีหน้าของฉู่เซียงหลงเปลี่ยนไปไม่ใช่เพราะประหลาดใจที่ศัตรูยังมีขั้นสี่อยู่อีกหนึ่งคน ทว่าเขี้ยวที่ยื่นออกมาของแมงมุมขนแขวนด้วยเส้นใย ปลายสุดของใยแต่ละเส้น มีหญิงรับใช้ที่ถูกพันธนาการด้วยเส้นใย

พระมเหสีตัวจริงอยู่ในนั้น

ฉู่เซียงหลงคิดไปเองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างหอยแม่น้ำ ชาวประมงเฒ่าได้ประโยชน์ อันที่จริงแล้วเป็นตั๊กแตนจับจักจั่นโดยมีนกขมิ้นอยู่ด้านหลังต่างหาก

……………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง