ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 349

บทที่ 349 ความองอาจของฆ้องเงินสวี่

“ทุกคนหมอบ”

ฉู่เซียงหลงตะโกน เขาอยากจะพุ่งไปหาสาวใช้ธรรมดาคนนั้นโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ต้องกดข่มไว้ ก่อนจะหันไปปกป้องพระมเหสี ‘ตัวจริง’

ก้อนหินยักษ์พุ่งกระแทกพร้อมเสียงแหวกลมทรงพลัง

หยางเยี่ยนเอื้อมมือคว้าหอกเงินบนหลัง ปลายหอกสะบัดเล็กน้อย ก่อนที่พลังงานสีแดงจะกระจายออกมาเป็นแฉกๆ

ได้ยินเพียงเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ก้อนหินยักษ์ที่พอจะทุบกองทหารครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นซากเนื้อ พลันแตกกระจายเป็นหินก้อนเล็กๆ ร่วงกราว]’พร้อมเสียงเปาะแปะ

เศษก้อนหินตกใส่ชุดเกราะและหมวกของเหล่าทหารโดยไม่รู้สึกเจ็บหรือคันแต่อย่างใด สาวใช้ผู้ซึ่งไร้ชุดปัองกันตัวกอดศีรษะตัวเองพลางคุดคู้ลงกับพื้น โดยมีเหล่าทหารรักษาพระองค์ช่วยกันเศษหินให้

หลังจากคลื่นโจมตีหยั่งเชิงผ่านไป ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความสงบชั่วขณะ อีกฝ่ายไม่ได้รีบร้อนลงมือ

สวี่ชีอันหรี่ตาเพ่งมองออกไป ท่ามกลางป่าทึบที่อยู่สูงชันมีเงาร่างสูงหนึ่งจั้งยืนอยู่ เขาตัวสูงกว่าต้นไม้ในป่าและมีขนดกหนาสีดำ

บนร่างไม่ใช่มัดกล้ามเนื้อ มีชั้นไขมันหนา องคาพยพหยาบกร้าน ใบหน้าปกคลุมด้วยขนสีดำ กำลังเลียริมฝีปาก สายตาที่มองลงมายังคณะทูตด้วยไปด้วยความกระหายเลือด

‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ…’

ป่าทางทิศใต้เกิดการเคลื่อนไหว ต้นไม้พากันล้มระเนระนาดราวกับถูกสิ่งมีชีวิตบางอย่างบ่อนทำลาย

ไม่นานมังกรน้ำตัวสีดำก็โผล่ออกมาจากป่าทึบ มันตัวใหญ่มาก ขนาดหัวของมันเทียบได้กับห้องใต้หลังคาชั้นสองเลยทีเดียว แผงคอสีดำ เกล็ดสีดำ มีเขาสองข้าง

แค่ลำตัวที่ปรากฏแก่สายตาทุกคนก็ยาวถึงยี่สิบกว่าจั้ง คะเนด้วยสายตาแล้วขนาดตัวมันน่าจะยาวเกินหนึ่งรอยจั้ง

รูม่านตาแนวตั้งคู่นั้นจ้องไปที่ฝูงชนอย่างเฉยเมย

มังกรน้ำตัวนี้ก็ใหญ่ไปกระมัง รูปร่างเช่นนี้ไม่เหมาะกับการต่อสู้เลย…นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยพูดตอนอยู่สุสานโบราณว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่เดินตามวิถีการเพิ่มปริมาณ…มังกรน้ำมีสายเลือดเทพปีศาจงั้นหรือ

อืม บางทีเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนืออาจมีสายเลือดเทพปีศาจกันหมดถึงได้เหมือนกับพวกอนารยชนทางเหนือที่มีสายเลือดเทพปีศาจราวกับพี่น้องท้องเดียวกัน…สวี่ชีอันเริ่มสันนิษฐาน

‘อึก…’

เขาได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย จึงรักษาสภาวะเฝ้าระวังพลางมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าทหารและองครักษ์ในคณะทูตล้วนมีสีหน้าแข็งทื่อ นัยน์ตาเก็บซ่อนความตื่นตระหนก

เป็นสัญชาตญาณของชีวิตที่จะกลัวสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่า

หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา พบเจอมังกรน้ำน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ หากไม่ตกใจกลัวจนฉี่เล็ดก็คงวิ่งหนีป่าราบไปแล้ว

ทหารเหล่านี้ล้วนไม่เคยเข้าร่วมศึกที่ด่านซานไห่ในครั้งนั้น…อืม เฉินเซียวต้องเคยเข้าร่วมแน่ ในดวงตาเขาไม่มีแววตื่นกลัว…สวี่ชีอันครุ่นคิดพลางมอง ‘หมีดำ’ บนภูเขาและมังกรน้ำทางทิศใต้

หากมีเพียงระดับสี่สองคนก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อีกเดี๋ยวก็สอนให้พวกเขาเป็นมนุษย์ ไม่สิ เป็นปีศาจต่างหาก

ทว่าในตอนนั้นเอง ขณะที่ทุกคนตื่นกลัวกับการปรากฏตัวของมังกรน้ำ ก็มีเสียงหัวเราะดั่งกระดิ่งเงินดังขึ้น

ผู้แข็งแกร่งอีกคนพลันปรากฏตัว นางสวมชุดคลุมสีแดง ผมดำขลับมัดรวบเป็นหางม้าด้วยผ้าสีแดง ก้าวผ่านพื้นที่รกร้างออกมา เผยให้เห็นรองเท้าปักสีแดง

ทุกย่างก้าว ต้นหญ้าบริเวณข้างเท้าพลันเหี่ยวเฉา ทุกที่ที่นางก้าวไปแห้งแล้งไร้ร่องรอยแห่งชีวิต

การปรากฏตัวของสตรีผู้นี้ ทำให้คณะทูตที่ตื่นกลัวกันอยู่แล้วยิ่งสิ้นหวัง

“เป็นพวกเขา เป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย…” ฉู่เซียงหลงพึมพำราวกับมึนงงกับสิ่งตรงหน้ามากกว่าตกตะลึง

เรื่องมาถึงจุดนี้มีสิ่งหนึ่งที่กลายเป็นเรื่องจริง นั่นก็คือพวกอนารยชนไม่เพียงรู้ว่าพระมเหสีกำลังจะเดินทางไปทางเหนือ แต่ยังคาดการณ์เวลาและสถานที่ไว้ด้วย

พวกอนารยชนไม่ได้โง่เขลาอย่างที่พวกเขาคิด

ที่เขาสับสนคืออนารยชนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร และเตรียมการซุ่มโจมตีล่วงหน้าได้อย่างไร

“ระดับสี่…สามคน?”

ผู้ช่วยศาลต้าหลี่กลืนน้ำลาย สองขาสั่นเล็กน้อย

ฝ่ายตรวจการทั้งสองหน้าซีดขาวและถึงกับทรุด ระดับสี่สองคนยังพอต้านได้ แต่หากมีระดับสี่สามคน ด้วยความแข็งแกร่งของคณะทูตในตอนนี้คงยากจะต่อกรกับพวกเขา

แม้แต่หยางเยี่ยนยังเกรงว่าจะโชคร้ายมากกว่าดี

ขุนนางบุ๋นอย่างไรก็เป็นขุนนางบุ๋น หากเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อ คณะทูตคงพิจารณาแล้วว่าจะฆ่าพวกเขาอย่างไรหรือไม่ก็จับเป็น

“ฉู่เซียงหลง พวกเขาเป็นใคร” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา

เขากำลังเตือนให้ฉู่เซียงหลงรายงานข้อมูล ในเมื่อเป็นคนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจหรืออนารยชนทางเหนือ ฉู่เซียงหลงต้องรู้ข้อมูลยอดฝีมือระดับสี่พวกนี้แน่นอน

ฉู่เซียงหลงหน้าสลด รู้สึกคอแห้งผาก ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือผ่านศึกมานักต่อนัก มาเผชิญหน้าสถานการณ์ตรงหน้าก็ยังรู้สึกว่าไร้ทางสู้

เขาหายใจเข้าลึกๆ ปรับอารมณ์ให้มั่นคงแล้วกล่าวอย่างขมขื่น “มังกรน้ำสีดำมีนามว่าถังซานจวิน หนึ่งในสามผู้นำแห่งฝ่ายมังกรน้ำ ชำนาญการเคลื่อนพลังน้ำ

“ผู้ที่อยู่บนเขานั่นคือผู้นำเผ่าอนารยชนฝ่ายธาราทมิฬ จาเอ๋อร์มู่ฮา ฝ่ายธาราทมิฬมีชื่อเสียงด้วนความแข็งแกร่ง เป็นรองเพียงฝ่ายลี่กู่เท่านั้น

“ส่วนสตรีผู้นั้นคือปีศาจอสรพิษนามว่าหงหลิง นางกับพวกพ้องอยู่กับฝ่ายชิงเหยียนเผ่าอนารยชน หงหลิงเป็นสนมคนโปรดของผู้นำฝ่ายชิงเหยียน”

ชะงักไปครู่หนึ่งฉู่เซียงหลงก็กล่าวอย่างสิ้นหวัง “พวกเขาล้วนเป็นระดับสี่”

‘ระดับสี่จริงๆ ด้วย’…ผู้ช่วยศาลต้าหลี่ตัวสั่นงันงกจนแทบยืนไม่อยู่

ท่ามกลางกลุ่มคน พระมเหสีธรรมดาเงยหน้ากวาดตามองยอดฝีมือระดับสี่ทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้มหน้าลงทันที ร่างบอบบางสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร้ความรู้สึกปลอดภัย ทั้งยังไร้ความกล้าหาญ ปกติแค่จินตนาการถึงผี ตอนกลางคืนก็ไม่กล้านอนแล้ว

ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้

จากข่าวลือ เผ่าอนารยชนทางเหนือล้วนเป็นพวกป่าเถื่อนกินเนื้อดิบดื่มเลือดสด สิ่งที่พวกเขาชอบทำที่สุดคือปล้นสะดมแถบชายแดนต้าฟ่ง ผู้ชายก็จับกิน ผู้หญิงก็ข่มขืนแล้วค่อยจับกิน

หากตกอยู่ในเงื้อมมือเผ่าอนารยชนก็จินตนาการอนาคตได้เลย

สามผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจฟังฉู่เซียงหลงพูดอย่างเงียบๆ จนจบ สตรีรูปงามนามหงหลิงหัวเราะคิกคักและเอ่ยว่า “เอ๋ นี่ไม่ใช่รองแม่ทัพฉู่ของไหวอ๋องหรอกหรือ ศึกที่แม่น้ำชวีย่างเมื่อสามปีก่อน ข้าก็คิดถึงเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

ฉู่เซียงหลงแค่นเสียงเย็นชา “แม่ทัพพ่ายศึกมิอาจพูดถึงความกล้าหาญ”

“เพราะเหตุนี้เผ่าปีศาจจึงตามหาเจ้าเพื่อสานสัมพันธ์ต่ออย่างไรเล่า” น้ำเสียงนางไพเราะ ใบหน้าเย้ายวนยิ้มแย้มตั้งแต่ต้นจนจบ ดูมีเสน่ห์ลึกลับ

ฉู่เซียงหลงไม่สนใจนาง เขาจับด้ามมีดไว้แน่น ร่างกายตึงเครียดราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่

สตรีรูปงามยังคงยิ้มนิดๆ สายตากวาดไปทั่วทั้งคณะทูต ก่อนจะหยุดอยู่ที่พระมเหสีที่สวมผ้าคลุมศีรษะเล็กน้อยแล้วเบนสายตาออกไป เมื่อสังเกตทุกคนเสร็จ นางก็เอ่ยว่า “กลุ่มสวะ นอกจากหยางเยี่ยนก็ยังมีเจ้าแม่ทัพฉู่ที่พอใช้ได้ ส่งพระมเหสีมาเสียดีๆ เผ่าปีศาจจะให้เจ้าตายอย่างสง่างามสักครั้ง”

พลังเทพวชิระของสวี่ชีอันไม่เคยเผยที่ไหนมาก่อน ร่างกายจึงไร้ซึ่งแสงเทวะ

“ข้าต้องการหยางเยี่ยน ใครก็อย่ามาแย่ง คนอื่นข้ายกให้ จะฆ่า จะกินหรือจับขังคุกก็แล้วแต่พวกเจ้า”

ยักษ์สูงหนึ่งจั้งเหนือป่าทึบเอ่ยเสียงดังก้องราวกับฟ้าผ่า

“พวกเจ้ารู้ตำแหน่งของคณะทูตได้อย่างไร”

มีคนตะโกนแทรกมาจากฝูงชน

ถังซานจวินเหลือบมองอีกฝ่าย แต่ไม่ตอบ

จาเอ๋อร์มู่ฮาที่ยืนอยู่ในป่าทึบเพ่งมองกลุ่มคนด้านล่าง ในสายตามีเพียงหยางเยี่ยน

มีเพียงหงหลิงผู้งดงามสวมชุดแดงที่เห็นว่าผู้ที่เอ่ยถามคือฆ้องเงินรูปงาม จึงเริ่มสนใจนิดๆ ขณะทิ้งสายตาเย้ายวนก็ตอบด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าเดาสิ”

เจ้านี่มันน่าหงุดหงิดนัก…สวี่ชีอันกำมีดยาวสีดำทองแน่น เขาไม่โกรธที่อีกฝ่ายดูถูกและล้อเลียน มืออีกข้างพลันจุดไฟใส่กระดาษ

ตามคำกล่าวที่ว่าสตรีชุดแดงไม่น่ารำคาญก็นิสัยฟุ่มเฟือย บุรุษชุดขาวไม่ใช่ผู้หญิงก็ต้องเป็นเกย์…จากข้อมูลที่ฉู่เซียงหลงบอก ระดับสี่ทั้งสามคนนี้ล้วนไม่ใช่ผู้ชำนาญด้านการสะกดรอย…เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สองอย่างคือมีคนทรยศในกลุ่มเรา หรือไม่อีกฝ่ายก็มีพันธมิตรที่ยังไม่เผยตัว

เอ๊ะ แถวนี้ก็ไม่มีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งอื่นแล้วนะ นี่มันไม่ถูกต้อง…

สวี่ชีอันใจกระตุก เขายิ้มเยาะ “ข้าเดาว่าพวกเจ้ามีโหรคอยช่วย”

สตรีชุดแดงหน้าเปลี่ยนสีทันควัน นัยน์ตาคมกริบหันกลับมองสำรวจเขาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ถังซานจวินกับจาเอ๋อร์มู่ฮาเหล่มองนิดๆ มองสวี่ชีอันราวกับแปลกใจเล็กน้อย

เป็นโหรจริงๆ ด้วย…สตรีผู้นี้ก็ไม่ได้ฉลาดนัก สารภาพออกมาเองเสียอย่างนั้น…สวี่ชีอันสีหน้าเรียบเฉย ทว่าหัวใจจมดิ่ง

เขาเกือบจะเกิดอาการเครียดเมื่อได้ยินคำว่า ‘โหร’

ท่านโหราจารย์ที่จัดการเขาและโหรลึกลับที่น่าสงสัยว่าปลูกโชคชะตาไว้ในร่างกาย สิ่งเหล่านี้คืออาการป่วยทางใจของสวี่ชีอัน

การลอบโจมตีครั้งนี้มีโหรแอบควบคุมงั้นหรือ หรือจะเป็นโหรคนที่ปลูกโชคชะตาไว้ในร่างข้า…อืม หากเป็นเขา เป้าหมายก็คงเป็นข้า ไม่ใช่พระมเหสีสิ

ไม่สิ ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาจะไม่โจมตีข้าเพราะกลัวพระเสินซูในร่างข้า เรื่องนี้ดูจากการ ‘เดินสวนกัน’ ที่อวิ๋นโจวก็รู้แล้ว

ตัวเอกของเรื่องนี้คือพระมเหสี กลุ่มโหรลึกลับนั่นวางแผนไปที่พระมเหสี ข้าแค่หลงเข้าไปเท่านั้น

เมื่อเห็นสวี่ชีอันไม่ตอบ สตรีผู้นั้นก็ดูจะโมโหเล็กน้อย รอยยิ้มที่มุมปากดูชั่วร้ายนิดๆ

“ช่างเถอะ ก็แค่ฆ้องเงินเล็กๆ คนหนึ่ง อีกเดี๋ยวตอนข้าฆ่าเจ้า จะให้เจ้าหายใจเพิ่มอีกสักเฮือกแล้วกัน”

พูดจบนางก็ไม่มองสวี่ชีอันและไม่มองสีหน้าทุกคนในคณะทูต แต่มองไปทางถังซานจวินและจาเอ๋อร์มู่ฮาแล้วเอ่ยเสียงหวาน “หยางเยี่ยนยกให้พวกเจ้า ที่เหลือรวมถึงฉู่เซียงหลงยกให้ข้า”

จาเอ๋อร์มู่ฮาแค่นเสียงเย็น “หยางเยี่ยนข้าจัดการได้คนเดียว”

ถังซานจวินแหงนหน้าส่งเสียงคำรามดังกึกก้องขึ้นไปบนฟ้า

พื้นดินตรงหน้าทุกคนพลันพังทลายแยกออกจากกัน กระแสน้ำใต้ดินสีขุ่นไหลทะลักออกมา กระแสน้ำนั้นหมุนวนขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อตัวเป็นพายุหมุนรูปกรวยขนาดใหญ่

พายุหมุนนำพาเศษดินทรายและก้อนหินขึ้นไปและกระแทกใส่คณะทูต

แค่เริ่มก็ AOE[1] แล้ว…สวี่ชีอันไม่ตื่นตระหนก เขากัดคัมภีร์เวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊อไว้ในปาก

‘ตุบๆๆ!’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง