ตอน บทที่ 349 ความองอาจของฆ้องเงินสวี่ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 349 ความองอาจของฆ้องเงินสวี่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
บทที่ 349 ความองอาจของฆ้องเงินสวี่
“ทุกคนหมอบ”
ฉู่เซียงหลงตะโกน เขาอยากจะพุ่งไปหาสาวใช้ธรรมดาคนนั้นโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ต้องกดข่มไว้ ก่อนจะหันไปปกป้องพระมเหสี ‘ตัวจริง’
ก้อนหินยักษ์พุ่งกระแทกพร้อมเสียงแหวกลมทรงพลัง
หยางเยี่ยนเอื้อมมือคว้าหอกเงินบนหลัง ปลายหอกสะบัดเล็กน้อย ก่อนที่พลังงานสีแดงจะกระจายออกมาเป็นแฉกๆ
ได้ยินเพียงเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ก้อนหินยักษ์ที่พอจะทุบกองทหารครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นซากเนื้อ พลันแตกกระจายเป็นหินก้อนเล็กๆ ร่วงกราว]’พร้อมเสียงเปาะแปะ
เศษก้อนหินตกใส่ชุดเกราะและหมวกของเหล่าทหารโดยไม่รู้สึกเจ็บหรือคันแต่อย่างใด สาวใช้ผู้ซึ่งไร้ชุดปัองกันตัวกอดศีรษะตัวเองพลางคุดคู้ลงกับพื้น โดยมีเหล่าทหารรักษาพระองค์ช่วยกันเศษหินให้
หลังจากคลื่นโจมตีหยั่งเชิงผ่านไป ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความสงบชั่วขณะ อีกฝ่ายไม่ได้รีบร้อนลงมือ
สวี่ชีอันหรี่ตาเพ่งมองออกไป ท่ามกลางป่าทึบที่อยู่สูงชันมีเงาร่างสูงหนึ่งจั้งยืนอยู่ เขาตัวสูงกว่าต้นไม้ในป่าและมีขนดกหนาสีดำ
บนร่างไม่ใช่มัดกล้ามเนื้อ มีชั้นไขมันหนา องคาพยพหยาบกร้าน ใบหน้าปกคลุมด้วยขนสีดำ กำลังเลียริมฝีปาก สายตาที่มองลงมายังคณะทูตด้วยไปด้วยความกระหายเลือด
‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ…’
ป่าทางทิศใต้เกิดการเคลื่อนไหว ต้นไม้พากันล้มระเนระนาดราวกับถูกสิ่งมีชีวิตบางอย่างบ่อนทำลาย
ไม่นานมังกรน้ำตัวสีดำก็โผล่ออกมาจากป่าทึบ มันตัวใหญ่มาก ขนาดหัวของมันเทียบได้กับห้องใต้หลังคาชั้นสองเลยทีเดียว แผงคอสีดำ เกล็ดสีดำ มีเขาสองข้าง
แค่ลำตัวที่ปรากฏแก่สายตาทุกคนก็ยาวถึงยี่สิบกว่าจั้ง คะเนด้วยสายตาแล้วขนาดตัวมันน่าจะยาวเกินหนึ่งรอยจั้ง
รูม่านตาแนวตั้งคู่นั้นจ้องไปที่ฝูงชนอย่างเฉยเมย
มังกรน้ำตัวนี้ก็ใหญ่ไปกระมัง รูปร่างเช่นนี้ไม่เหมาะกับการต่อสู้เลย…นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยพูดตอนอยู่สุสานโบราณว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่เดินตามวิถีการเพิ่มปริมาณ…มังกรน้ำมีสายเลือดเทพปีศาจงั้นหรือ
อืม บางทีเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนืออาจมีสายเลือดเทพปีศาจกันหมดถึงได้เหมือนกับพวกอนารยชนทางเหนือที่มีสายเลือดเทพปีศาจราวกับพี่น้องท้องเดียวกัน…สวี่ชีอันเริ่มสันนิษฐาน
‘อึก…’
เขาได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย จึงรักษาสภาวะเฝ้าระวังพลางมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าทหารและองครักษ์ในคณะทูตล้วนมีสีหน้าแข็งทื่อ นัยน์ตาเก็บซ่อนความตื่นตระหนก
เป็นสัญชาตญาณของชีวิตที่จะกลัวสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่า
หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา พบเจอมังกรน้ำน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ หากไม่ตกใจกลัวจนฉี่เล็ดก็คงวิ่งหนีป่าราบไปแล้ว
ทหารเหล่านี้ล้วนไม่เคยเข้าร่วมศึกที่ด่านซานไห่ในครั้งนั้น…อืม เฉินเซียวต้องเคยเข้าร่วมแน่ ในดวงตาเขาไม่มีแววตื่นกลัว…สวี่ชีอันครุ่นคิดพลางมอง ‘หมีดำ’ บนภูเขาและมังกรน้ำทางทิศใต้
หากมีเพียงระดับสี่สองคนก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อีกเดี๋ยวก็สอนให้พวกเขาเป็นมนุษย์ ไม่สิ เป็นปีศาจต่างหาก
ทว่าในตอนนั้นเอง ขณะที่ทุกคนตื่นกลัวกับการปรากฏตัวของมังกรน้ำ ก็มีเสียงหัวเราะดั่งกระดิ่งเงินดังขึ้น
ผู้แข็งแกร่งอีกคนพลันปรากฏตัว นางสวมชุดคลุมสีแดง ผมดำขลับมัดรวบเป็นหางม้าด้วยผ้าสีแดง ก้าวผ่านพื้นที่รกร้างออกมา เผยให้เห็นรองเท้าปักสีแดง
ทุกย่างก้าว ต้นหญ้าบริเวณข้างเท้าพลันเหี่ยวเฉา ทุกที่ที่นางก้าวไปแห้งแล้งไร้ร่องรอยแห่งชีวิต
การปรากฏตัวของสตรีผู้นี้ ทำให้คณะทูตที่ตื่นกลัวกันอยู่แล้วยิ่งสิ้นหวัง
“เป็นพวกเขา เป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย…” ฉู่เซียงหลงพึมพำราวกับมึนงงกับสิ่งตรงหน้ามากกว่าตกตะลึง
เรื่องมาถึงจุดนี้มีสิ่งหนึ่งที่กลายเป็นเรื่องจริง นั่นก็คือพวกอนารยชนไม่เพียงรู้ว่าพระมเหสีกำลังจะเดินทางไปทางเหนือ แต่ยังคาดการณ์เวลาและสถานที่ไว้ด้วย
พวกอนารยชนไม่ได้โง่เขลาอย่างที่พวกเขาคิด
ที่เขาสับสนคืออนารยชนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร และเตรียมการซุ่มโจมตีล่วงหน้าได้อย่างไร
“ระดับสี่…สามคน?”
ผู้ช่วยศาลต้าหลี่กลืนน้ำลาย สองขาสั่นเล็กน้อย
ฝ่ายตรวจการทั้งสองหน้าซีดขาวและถึงกับทรุด ระดับสี่สองคนยังพอต้านได้ แต่หากมีระดับสี่สามคน ด้วยความแข็งแกร่งของคณะทูตในตอนนี้คงยากจะต่อกรกับพวกเขา
แม้แต่หยางเยี่ยนยังเกรงว่าจะโชคร้ายมากกว่าดี
ขุนนางบุ๋นอย่างไรก็เป็นขุนนางบุ๋น หากเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อ คณะทูตคงพิจารณาแล้วว่าจะฆ่าพวกเขาอย่างไรหรือไม่ก็จับเป็น
“ฉู่เซียงหลง พวกเขาเป็นใคร” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา
เขากำลังเตือนให้ฉู่เซียงหลงรายงานข้อมูล ในเมื่อเป็นคนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจหรืออนารยชนทางเหนือ ฉู่เซียงหลงต้องรู้ข้อมูลยอดฝีมือระดับสี่พวกนี้แน่นอน
ฉู่เซียงหลงหน้าสลด รู้สึกคอแห้งผาก ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือผ่านศึกมานักต่อนัก มาเผชิญหน้าสถานการณ์ตรงหน้าก็ยังรู้สึกว่าไร้ทางสู้
เขาหายใจเข้าลึกๆ ปรับอารมณ์ให้มั่นคงแล้วกล่าวอย่างขมขื่น “มังกรน้ำสีดำมีนามว่าถังซานจวิน หนึ่งในสามผู้นำแห่งฝ่ายมังกรน้ำ ชำนาญการเคลื่อนพลังน้ำ
“ผู้ที่อยู่บนเขานั่นคือผู้นำเผ่าอนารยชนฝ่ายธาราทมิฬ จาเอ๋อร์มู่ฮา ฝ่ายธาราทมิฬมีชื่อเสียงด้วนความแข็งแกร่ง เป็นรองเพียงฝ่ายลี่กู่เท่านั้น
“ส่วนสตรีผู้นั้นคือปีศาจอสรพิษนามว่าหงหลิง นางกับพวกพ้องอยู่กับฝ่ายชิงเหยียนเผ่าอนารยชน หงหลิงเป็นสนมคนโปรดของผู้นำฝ่ายชิงเหยียน”
ชะงักไปครู่หนึ่งฉู่เซียงหลงก็กล่าวอย่างสิ้นหวัง “พวกเขาล้วนเป็นระดับสี่”
‘ระดับสี่จริงๆ ด้วย’…ผู้ช่วยศาลต้าหลี่ตัวสั่นงันงกจนแทบยืนไม่อยู่
ท่ามกลางกลุ่มคน พระมเหสีธรรมดาเงยหน้ากวาดตามองยอดฝีมือระดับสี่ทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้มหน้าลงทันที ร่างบอบบางสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร้ความรู้สึกปลอดภัย ทั้งยังไร้ความกล้าหาญ ปกติแค่จินตนาการถึงผี ตอนกลางคืนก็ไม่กล้านอนแล้ว
ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้
จากข่าวลือ เผ่าอนารยชนทางเหนือล้วนเป็นพวกป่าเถื่อนกินเนื้อดิบดื่มเลือดสด สิ่งที่พวกเขาชอบทำที่สุดคือปล้นสะดมแถบชายแดนต้าฟ่ง ผู้ชายก็จับกิน ผู้หญิงก็ข่มขืนแล้วค่อยจับกิน
หากตกอยู่ในเงื้อมมือเผ่าอนารยชนก็จินตนาการอนาคตได้เลย
…
สามผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจฟังฉู่เซียงหลงพูดอย่างเงียบๆ จนจบ สตรีรูปงามนามหงหลิงหัวเราะคิกคักและเอ่ยว่า “เอ๋ นี่ไม่ใช่รองแม่ทัพฉู่ของไหวอ๋องหรอกหรือ ศึกที่แม่น้ำชวีย่างเมื่อสามปีก่อน ข้าก็คิดถึงเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
ฉู่เซียงหลงแค่นเสียงเย็นชา “แม่ทัพพ่ายศึกมิอาจพูดถึงความกล้าหาญ”
“เพราะเหตุนี้เผ่าปีศาจจึงตามหาเจ้าเพื่อสานสัมพันธ์ต่ออย่างไรเล่า” น้ำเสียงนางไพเราะ ใบหน้าเย้ายวนยิ้มแย้มตั้งแต่ต้นจนจบ ดูมีเสน่ห์ลึกลับ
ฉู่เซียงหลงไม่สนใจนาง เขาจับด้ามมีดไว้แน่น ร่างกายตึงเครียดราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่
สตรีรูปงามยังคงยิ้มนิดๆ สายตากวาดไปทั่วทั้งคณะทูต ก่อนจะหยุดอยู่ที่พระมเหสีที่สวมผ้าคลุมศีรษะเล็กน้อยแล้วเบนสายตาออกไป เมื่อสังเกตทุกคนเสร็จ นางก็เอ่ยว่า “กลุ่มสวะ นอกจากหยางเยี่ยนก็ยังมีเจ้าแม่ทัพฉู่ที่พอใช้ได้ ส่งพระมเหสีมาเสียดีๆ เผ่าปีศาจจะให้เจ้าตายอย่างสง่างามสักครั้ง”
พลังเทพวชิระของสวี่ชีอันไม่เคยเผยที่ไหนมาก่อน ร่างกายจึงไร้ซึ่งแสงเทวะ
“ข้าต้องการหยางเยี่ยน ใครก็อย่ามาแย่ง คนอื่นข้ายกให้ จะฆ่า จะกินหรือจับขังคุกก็แล้วแต่พวกเจ้า”
ยักษ์สูงหนึ่งจั้งเหนือป่าทึบเอ่ยเสียงดังก้องราวกับฟ้าผ่า
“พวกเจ้ารู้ตำแหน่งของคณะทูตได้อย่างไร”
มีคนตะโกนแทรกมาจากฝูงชน
ถังซานจวินเหลือบมองอีกฝ่าย แต่ไม่ตอบ
จาเอ๋อร์มู่ฮาที่ยืนอยู่ในป่าทึบเพ่งมองกลุ่มคนด้านล่าง ในสายตามีเพียงหยางเยี่ยน
มีเพียงหงหลิงผู้งดงามสวมชุดแดงที่เห็นว่าผู้ที่เอ่ยถามคือฆ้องเงินรูปงาม จึงเริ่มสนใจนิดๆ ขณะทิ้งสายตาเย้ายวนก็ตอบด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเดาสิ”
เจ้านี่มันน่าหงุดหงิดนัก…สวี่ชีอันกำมีดยาวสีดำทองแน่น เขาไม่โกรธที่อีกฝ่ายดูถูกและล้อเลียน มืออีกข้างพลันจุดไฟใส่กระดาษ
ตามคำกล่าวที่ว่าสตรีชุดแดงไม่น่ารำคาญก็นิสัยฟุ่มเฟือย บุรุษชุดขาวไม่ใช่ผู้หญิงก็ต้องเป็นเกย์…จากข้อมูลที่ฉู่เซียงหลงบอก ระดับสี่ทั้งสามคนนี้ล้วนไม่ใช่ผู้ชำนาญด้านการสะกดรอย…เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สองอย่างคือมีคนทรยศในกลุ่มเรา หรือไม่อีกฝ่ายก็มีพันธมิตรที่ยังไม่เผยตัว
เอ๊ะ แถวนี้ก็ไม่มีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งอื่นแล้วนะ นี่มันไม่ถูกต้อง…
สวี่ชีอันใจกระตุก เขายิ้มเยาะ “ข้าเดาว่าพวกเจ้ามีโหรคอยช่วย”
สตรีชุดแดงหน้าเปลี่ยนสีทันควัน นัยน์ตาคมกริบหันกลับมองสำรวจเขาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ถังซานจวินกับจาเอ๋อร์มู่ฮาเหล่มองนิดๆ มองสวี่ชีอันราวกับแปลกใจเล็กน้อย
เป็นโหรจริงๆ ด้วย…สตรีผู้นี้ก็ไม่ได้ฉลาดนัก สารภาพออกมาเองเสียอย่างนั้น…สวี่ชีอันสีหน้าเรียบเฉย ทว่าหัวใจจมดิ่ง
เขาเกือบจะเกิดอาการเครียดเมื่อได้ยินคำว่า ‘โหร’
ท่านโหราจารย์ที่จัดการเขาและโหรลึกลับที่น่าสงสัยว่าปลูกโชคชะตาไว้ในร่างกาย สิ่งเหล่านี้คืออาการป่วยทางใจของสวี่ชีอัน
การลอบโจมตีครั้งนี้มีโหรแอบควบคุมงั้นหรือ หรือจะเป็นโหรคนที่ปลูกโชคชะตาไว้ในร่างข้า…อืม หากเป็นเขา เป้าหมายก็คงเป็นข้า ไม่ใช่พระมเหสีสิ
ไม่สิ ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาจะไม่โจมตีข้าเพราะกลัวพระเสินซูในร่างข้า เรื่องนี้ดูจากการ ‘เดินสวนกัน’ ที่อวิ๋นโจวก็รู้แล้ว
ตัวเอกของเรื่องนี้คือพระมเหสี กลุ่มโหรลึกลับนั่นวางแผนไปที่พระมเหสี ข้าแค่หลงเข้าไปเท่านั้น
เมื่อเห็นสวี่ชีอันไม่ตอบ สตรีผู้นั้นก็ดูจะโมโหเล็กน้อย รอยยิ้มที่มุมปากดูชั่วร้ายนิดๆ
“ช่างเถอะ ก็แค่ฆ้องเงินเล็กๆ คนหนึ่ง อีกเดี๋ยวตอนข้าฆ่าเจ้า จะให้เจ้าหายใจเพิ่มอีกสักเฮือกแล้วกัน”
พูดจบนางก็ไม่มองสวี่ชีอันและไม่มองสีหน้าทุกคนในคณะทูต แต่มองไปทางถังซานจวินและจาเอ๋อร์มู่ฮาแล้วเอ่ยเสียงหวาน “หยางเยี่ยนยกให้พวกเจ้า ที่เหลือรวมถึงฉู่เซียงหลงยกให้ข้า”
จาเอ๋อร์มู่ฮาแค่นเสียงเย็น “หยางเยี่ยนข้าจัดการได้คนเดียว”
ถังซานจวินแหงนหน้าส่งเสียงคำรามดังกึกก้องขึ้นไปบนฟ้า
พื้นดินตรงหน้าทุกคนพลันพังทลายแยกออกจากกัน กระแสน้ำใต้ดินสีขุ่นไหลทะลักออกมา กระแสน้ำนั้นหมุนวนขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อตัวเป็นพายุหมุนรูปกรวยขนาดใหญ่
พายุหมุนนำพาเศษดินทรายและก้อนหินขึ้นไปและกระแทกใส่คณะทูต
แค่เริ่มก็ AOE[1] แล้ว…สวี่ชีอันไม่ตื่นตระหนก เขากัดคัมภีร์เวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊อไว้ในปาก
‘ตุบๆๆ!’
เมื่อสบโอกาส หยางเยี่ยนก็แทงซ้ำๆ ติดกันหลายร้อยครั้ง โจมตีดั่งพายุฝน สตรีชุดแดงมีเกล็ดปกคลุมรอบกาย ปลายหอกสะบัดแทงจนเกิดประกายไฟระยับ
แม้นางจะยังปลอดภัยอยู่ในตอนนี้ แต่การถูกหอกของหยางเยี่ยนแทงก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้
“พวกเจ้ามัวทำสิ่งใด รีบมาช่วยข้าเร็ว” สตรีชุดแดงกรีดร้องขณะมองไปทางกลุ่มคณะทูต
ครู่ต่อมา สีหน้าของนางก็นิ่งค้าง และสงสัยว่าตนอาจเกิดภาพหลอน
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันสะบัดขี้เถ้าในมือไปทางมังกรน้ำสีดำ ก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “วางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ[2]”
มังกรน้ำสีดำที่กำลังพุ่งเข้าใส่อย่างดุเดือดพลันหยุดอยู่กับที่อย่างควบคุมไม่ได้ รูม่านตาแนวตั้งที่เย็นยะเยือกฉายแววสับสน ราวกับกำลังเสียใจว่าทำไมตนถึงหุนหันพลันแล่นและโหดร้ายเช่นนี้
ดอกไม้ใบหญ้าก็มีชีวิต นับประสาอะไรกับมนุษย์เล่า
‘ปัง’…เสียงทิ้งอาวุธดังต่อเนื่อง ด้านคณะทูต เหล่าทหารรักษาการณ์ต่างก็ทิ้งอาวุธเช่นกันด้วยเกิดความสะท้อนใจ
มนุษย์กับปีศาจจะไม่อาจญาติดีกันได้เลยหรือ
วรยุทธ์ของสำนักพุทธมีพิษ…สวี่ชีอันหัวเราะเยาะ ก่อนที่สองเข่าจะทรุดลงนั่งยอง แล้วเงยหน้ามองจาเอ๋อร์มู่ฮาที่ลงจากยอดเขาพลางร้องตะโกน
“กินระดับเพชรเช่นข้า”
เขาพุ่งออกจากพื้นดินที่แยกออกราวกับลิงทะยานขึ้นฟ้า
ตรงกลางหว่างคิ้วมีสีทองจุดหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วแหวกว่ายไปรอบกายเขาอย่างรวดเร็ว
‘ปัง!’
เขาพุ่งกระแทกหน้าอกของ ‘ยักษ์’ อย่างแรง ชั้นไขมันของอีกฝ่ายสั่นกระเพื่อม
ทั้งสองกระเด็นออกจากกัน
ตอนนั้นเองวรยุทธ์สำนักพุทธทรงศีลผ่านไป ดวงตาของถังซานจวินไร้ความสับสนอีกต่อไป ทว่ากลับไม่โจมตี รูม่านตาแนวตั้งจ้องมองสวี่ชีอันอย่างระมัดระวัง
หลังจากลงจอดที่พื้น จาเอ๋อร์มู่ฮาที่กระแทกตัวจนแผ่นดินสั่นสะเทือนก็จ้องมองสวี่ชีอันด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ระดับเพชรไร้พ่าย จอมยุทธ์ภิกษุแห่งสำนักพุทธอย่างนั้นรึ” ถังซานจวินถ่มน้ำลาย รูม่านตาอันเยือกเย็นพลันเกิดเปลวเพลิงแห่งความเกลียดชังลุกโชนทันใด
เผ่าปีศาจกับสำนักพุทธบาดเลือดแค้นกันครั้งใหญ่จนบาดหมางกันมารุ่นสู่รุ่น
“สวี่ ฆ้องเงินสวี่ สู้กับระดับสี่สองคนด้วยตัวคนเดียว…” ผู้ช่วยศาลต้าหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ต้องการคำยืนยัน
“เขาสู้กับระดับสี่ถึงสองคนที่แม่น้ำเว่ยสุ่ย แล้วยังชนะ…” ฝ่ายตรวจการทั้งสองหวนนึกถึงความสำเร็จด้านการทหารของฆ้องเงินสวี่จึงอุทานด้วยความประหลาดใจ
อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เขายังมีตำราวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อ?! สายตาหัวหน้ามือปราบเฉินแห่งกรมอาญาจับจ้องอยู่ที่ม้วนตำราที่สวี่ชีอันกัดไว้ในปาก
หัวหน้ามือปราบเฉินคือนักวรยุทธ์ขั้นเจ็ดย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในศึกที่แม่น้ำเว่ยสุ่ย ตอนแรกที่รู้เรื่องนี้ ในใจมีเพียงความอิจฉา อิจฉาที่สวี่ชีอันได้ครอบครองตำราวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อ
อิจฉาชื่อเสียงของสวี่ชีอัน
คิดว่าหากไม่มีตำราวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อ สวี่ชีอันก็เป็นเพียงนักวรยุทธ์ขั้นหก ในเมืองหลวงที่ยอดฝีมือมากมายจะนับเป็นอะไรได้
ตบะของเขาและชื่อเสียงของเขานั้นไม่คู่ควรเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าต้องอิจฉา
ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นม้วนคำราในปากสวี่ชีอัน หัวหน้ามือปราบเฉินกลับรู้สึกถึงความโล่งใจที่ยากจะบรรยาย
โชคดีที่เขาได้ครอบครองม้วนตำราเช่นนี้ ดีจริงๆ
“ฆ้องเงินสวี่!”
ทหารรักษาการณ์นับร้อยตาเป็นประกายพลางใช้สายตาแสดงความ ‘เคารพ’ มองสวี่ชีอัน
เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ การมีผู้นำที่สามารถยืนหยัดพลิกกระแสน้ำได้ยิ่งเป็นที่รักและน่าเลื่อมใสติดตามเป็นข้ารับใช้มากกว่าจักรพรรดิเสียอีก
เฉินเซียวโบกมือเต้นรำและปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น “พี่น้องทั้งหลาย ยกดาบของพวกท่านขึ้นมา ต่อสู้เคียงข้างใต้เท้าสวี่”
“ต่อสู้เคียงข้างใต้เท้าสวี่!” ทหารนับร้อยตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ความปรารถนาแรงกล้าพุ่งสูงในบัดดล
ความหวาดกลัวสลายไปจากใบหน้าพวกเขา จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เอ่อล้นเต็มอก
สำหรับทหารในสนามรบ สิ่งที่น่ายกย่องที่สุดคือการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้นำอันเป็นที่รัก แม้จะแลกมาด้วยผ้าห่อศพก็ตาม
ผู้ช่วยศาลต้าหลี่และเหล่าฝ่ายตรวจการได้ยินเสียงกู่ร้องของทหาร ไม่เพียงเลือดลมพลุ่งพล่าน แต่ไร้ซึ่งความกลัวอีกต่อไป
……………………………………………………………
[1] AOE ย่อมาจาก Area of Effect มักใช้ในเกมวางแผนหรือเกม RPG หมายถึงการโจมตีเป็นวงกว้าง
[2] วลีที่ใช้ในการเกลี้ยกล่อมคนชั่วให้กลับตัวเป็นคนดี เปรียบเทียบว่าคนทำชั่วเพียงรู้สำนึกในบาปกรรมของตนก็สามารถกลับใจได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...