ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 348

บทที่ 348 แผนการหลบหนี

ภายในกระโจม หยางเยี่ยนนั่งอยู่บนเบาะนุ่ม รับถ้วยชาที่เลขาธิการศาลต้าหลี่ส่งมาให้พลางกล่าวว่า “ผู้ที่โจมตีเรือของทางการคือเฮยเจียว น่าจะเป็นเผ่ามังกรที่อยู่ในเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือ พละกำลังไม่เลว ระดับสี่ อยู่ในน้ำข้าสู้มันไม่ได้”

เขาไม่ใช่คนช่างพูดจึงพูดให้จบอย่างรวบรัด เปรียบเทียบพละกำลังของตนเองกับพละกำลังของอีกฝ่าย จากนั้นก็นิ่งเงียบโดยไม่พูดไม่จาใดๆ อีก

สีหน้าของฉู่เซียงหลงเปลี่ยนไปอย่างมาก

เมื่อได้ยินการมีอยู่ของเจียวหลงระดับสี่ เลขาธิการศาลต้าหลี่และคนอื่นๆ ก็มีท่าทีแปลกไป ทั้งตกตะลึง หวาดกลัวและวิตกกังวล

หัวหน้ามือปราบเฉินขมวดคิ้วแน่นและกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพฉู่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเจียวหลงตัวนั้นหรือไม่”

ในระหว่างที่พูด เขาก็เหล่มองฉู่เซียงหลง

ทุกคนทอดสายตามองไปที่เขาทีละคน แรงกดดันที่มองไม่เห็นทำให้ฉู่เซียงหลงไม่สามารถนิ่งเงียบได้ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“เฮยเจียว ระดับสี่ ถ้าเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็นถังซานจวิน”

เขารู้จักเฮยเจียวอย่างที่คาดไว้จริงๆ…แววตาของสวี่ชีอันสว่างวาบ

ศัตรูที่ซุ่มโจมตีอยู่ที่หาดหลิวซื่อคือกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือ ในเมื่อกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือเคลื่อนทัพแล้ว งั้นเผ่าคนป่าแดนเหนือที่เป็นพี่น้องร่วมอุดมการณ์เดียวกันล่ะ?

นอกจากนี้ เรื่องการเดินทางไปแดนเหนือของพระมเหสีก็ถูกเก็บเป็นความลับ เรือทางการแล่นไปทางเหนือด้วยความเร็วสูงตลอดทั้งทาง ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่กลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือจะทำการซุ่มโจมตีล่วงหน้า

เว้นแต่พวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าพระมเหสีกำลังเดินทางไปแดนเหนือ

หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งของพวกเราไม่ง่ายอย่างที่คาดไว้จริงๆ มันคุ้มค่าที่เผ่าคนป่าจะแทรกซึมเข้ามาในวงศัตรูอย่างเอิกเกริกและซุ่มโจมตีอยู่ไกลๆ เช่นนี้…

เห็นสีหน้าของฉู่เซียงหลงเมื่อสักครู่ ดูเหมือนว่าเขาจะประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกตกใจกับการเคลื่อนไหวของเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือ…

ความคิดนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาในสมองของสวี่ชีอัน

หัวหน้ามือปราบเฉินกล่าวเสียงเบา “หยางจินหลัว นอกจากเฮยเจียวแล้ว ยังมีศัตรูอื่นอีกหรือไม่?”

หยางเยี่ยนส่ายศีรษะ “ไม่พบ”

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เลขาธิการศาลต้าหลี่รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกและจิตใจก็สงบลงมากก่อนจะกล่าวว่า “หากมีเพียงระดับสี่ตัวเดียว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป…”

กล่าวจบแล้วก็ได้ยินสวี่ชีอันกล่าวเยาะเย้ยว่า “เผ่าคนป่าแดนเหนือและเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือมีอุดมการณ์เดียวกัน ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจเคลื่อนทัพแล้ว เผ่าคนป่าจะยังชักช้าอยู่รึ”

“หากข้าเดาไม่ผิด ทุกด่านที่เป็นทางผ่านไปแดนเหนือล้วนมียอดฝีมือซุ่มโจมตีอยู่ เชื่อข้าเถอะ เว้นแต่พวกเราจะละทิ้งรถม้าและเสบียง ทอดข้ามสันเขา มิเช่นนั้น พวกเราจะถูกซุ่มโจมตีอีกครั้งในไม่ช้าก็เร็ว”

ทุกวันนี้มีถนนทางการมากมายหลายสายแต่ถนนเส้นเล็กเส้นน้อยกลับมีนับไม่ถ้วน ซึ่งเส้นทางที่คนเหล่านั้นเหยียบย่างออกมาล้วนยากต่อการขี่ม้า ไม่ต้องพูดถึงรถม้าหรือเกวียนบรรทุกสิ่งของ

โจรที่ดักปล้นกลางทางสมัยก่อนเพียงแค่ต้องครอบครองถนนสักเส้นอย่างเป็นทางการก็สามารถทำเงินได้มหาศาลจากการดักปล้นคาราวานพ่อค้าแม่ค้าและคนเดินเท้าที่ผ่านไปผ่านมา

เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ผู้ตรวจการทั้งสองและเลขาธิการศาลต้าหลี่ก็มองไปที่หัวหน้ามือปราบเฉินด้วยความร้อนใจ ตอนนี้พวกเขาไม่เชื่อฉู่เซียงหลงอีกต่อไปแล้ว

แม้ว่าหัวหน้ามือปราบเฉินจะมีตำแหน่งทางการชั้นล่าง แต่เขาก็เป็นทหารที่มากประสบการณ์และยังเป็นคนกันเอง คำพูดของเขาจึงน่าเชื่อถือที่สุด

หัวหน้ามือปราบเฉินพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “การวิเคราะห์ของใต้เท้าสวี่สมเหตุสมผลมากจนถึงขนาดถือเป็นข้อเท็จจริงได้ ข้าถึงขนาดคิดว่ากระทั่งเส้นทางทางน้ำยังมียอดฝีมือระดับสี่ งั้นจุดซุ่มโจมตีอื่นเล่า? จะมียอดฝีมือระดับสี่เช่นกัน หรือว่าสูงกว่าระดับสี่

“หากเผ่าคนป่าแดนเหนือและเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือผนึกกำลังกันขึ้นมา การเคลื่อนทัพยอดฝีมือระดับสี่จำนวนหนึ่งคงไม่ใช่ปัญหา”

ยอดฝีมือระดับสี่อยู่ในแม่น้ำเจียงหู นั่นคือบุคคลสำคัญที่โด่งดังและปกครองดินแดนฝั่งนั้น แต่ยอดฝีมือระดับสี่ในราชสำนักมีมากพอๆ กับขนวัวและไม่มีวันขาดแคลนอย่างแน่นอน

นี่เป็นหลักเหตุผลง่ายๆ หากยอดฝีมือระดับสี่ในแม่น้ำเจียงหูมีมากกว่าในราชสำนัก เช่นนั้นผู้ปกครองใต้หล้าก็ไม่ใช่ราชสำนัก

เผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจแดนเหนือเทียบได้กับราชสำนักทางเหนือผนึกกำลังกัน

“แล้ว…แล้วจะทำอย่างไรดี?”

ขุนนางทั้งสามรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย

เพียงแค่ศัตรูเป็นยอดฝีมือระดับสี่ถึงสองคน กองกำลังของพวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตราย หากมีสามคน กองกำลังทหารทั้งหมดก็จะถูกกวาดล้าง

บรรยากาศในกระโจมกลายเป็นเคร่งขรึมและเอาจริงเอาจัง

ขุนนางบุ๋นทั้งสามและหัวหน้ามือปราบเฉินขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าด้านนอกจะมีกองทัพทหารรักษาวังและยังมีทหารอารักขาที่แต่ละคนนำติดตัวมาด้วยแต่กลับไม่สามารถทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยได้แม้แต่น้อย

อันที่จริง กองกำลังทหารรักษาการณ์ของกลุ่มภารกิจก็เพียงพอแล้ว มีกองทัพทหารรักษาวัง มีทหารอารักขาสิบนาย อีกทั้งฆ้องเงินสี่นาย ฆ้องทองแดงแปดนายและฆ้องทองคำระดับสี่อีกหนึ่งนาย

กองกำลังเช่นนี้ ตราบใดที่ไม่ตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังหลักก็เพียงพอที่จะก้าวไปยังสถานที่ต่างๆ ในต้าฟ่งได้ แม้กระทั่งไปทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือก็สามารถถอนตัวได้อย่างสมบูรณ์

ตอนนั้นผู้ตรวจการจางนำกองกำลังไปที่อวิ๋นโจวก็มีเงื่อนไขเช่นนี้แต่เขาก็ยังเดินทางโดยสวัสดิภาพ

แต่สถานการณ์ปัจจุบันคือพวกเขามีแนวโน้มที่จะพบกับการซุ่มโจมตีและตกเป็นเป้าของเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจแดนเหนือโดยมีเบื้องหลังเป็นกองกำลังอันยิ่งใหญ่ที่ปกครองแดนเหนือ

“เหตุใดเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจแดนเหนือจึงต้องปลงพระชนม์ชีพพระมเหสี? พวกเขาวางแผนซุ่มโจมตีล่วงหน้าได้อย่างไร” หัวหน้ามือปราบเฉินจ้องฉู่เซียงหลงด้วยสายตาคมกริบ

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้” ฉู่เซียงหลงสบถด้วยความเย็นชา

หัวหน้ามือปราบเฉินกล่าวอย่างโกรธเคือง “หากรู้มาก่อนว่าศัตรูคือเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจแดนเหนือ เหตุใดจึงไม่ส่งกองทัพทหารไปคุ้มกัน ต้องซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มภารกิจด้วยรึ?”

สถานการณ์ที่เลวร้ายทำให้เขารู้สึกโกรธจนไม่สนใจฐานะของฉู่เซียงหลงอีกต่อไป และยังมีทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างแหลมคม

ใช่ เทียบกับการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับการซุ่มโจมตี สู้ส่งกองกำลังทหารไปคุ้มกันโดยตรงจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ…อย่างไรนี่ก็เป็นดินแดนของต้าฟ่ง สำหรับการส่งกองทัพทหารขนาดใหญ่ไปคุ้มกันพระมเหสีนั้น แม้ว่ายอดฝีมือระดับสี่ของเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจจะเคลื่อนทัพ ผลสุดท้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ เพราะถึงอย่างไรกองทัพทหารรักษาวังย่อมพกพาอาวุธเวทมนตร์ที่มีพลังทำลายล้างสูงและมียอดฝีมือจำนวนมากในกองทัพอย่างแน่นอน…

แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งกลับปล่อยให้พระมเหสีแอบลักลอบเข้าไปในกลุ่มภารกิจ และออกจากเมืองหลวงอย่างลับๆ โดยไม่มีใครรู้…แล้วสวี่ชีอันก็จุดประกายความคิดที่น่าหวาดผวานี้ขึ้นมา

สิ่งที่พวกเขาปกป้องคือศัตรูภายในราชสำนัก!

มีคนภายในราชสำนักที่ไม่ต้องการให้พระมเหสีไปพบกับไหวอ๋องที่แดนเหนือ…

การเสด็จไปแดนเหนือของพระมเหสีก่อให้เกิดชนวนอะไรกันแน่? มีเรื่องราวอันลึกซึ้งอยู่เบื้องหลังอย่างที่คาดไว้จริงๆ

อีกอย่าง เผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจจะรู้และวางแผนซุ่มโจมตีล่วงหน้าได้อย่างไ?

เงื่อนงำเหล่านี้สลับซับซ้อน ไม่มีเบาะแส คิดแล้วก็ปวดศีรษะ

เสียงทะเลาะวิวาทของฉู่เซียงหลงและขุนนางบุ๋นทั้งสามดังก้องอยู่ข้างหู สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่นและหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง

อันที่จริงข้ามีวิธีที่ง่ายกว่า นั่นก็คือใช้วิธีการดาบนั้นคืนสนอง เริ่มจากดึงดูดยอดฝีมือของเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจและเอาข้อมูลข่าวสารมาจากปากของพวกเขา

ยิ่งสวี่ชีอันคิดมากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกว่าแผนการนี้ใช้ได้ อันดับแรก เขามียอดฝีมือระดับสี่ที่เทียบเท่ากัน กระทั่งมียอดฝีมือระดับเพชรไร้พ่ายที่อยู่เหนือกว่า ยอดฝีมือระดับสี่ปะทะกันตัวต่อตัว ถึงแม้จะต่อสู้ไม่ชนะแต่ก็ยากสำหรับฝ่ายตรงข้ามที่จะฆ่าเขา

อย่างไรนักรบก็จะไม่มุ่งโจมตีจิตวิญญาณ หากเป็นยอดฝีมือระดับสี่ของลัทธิเต๋า สวี่ชีอันจะเดินหันหลังกลับไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ เพราะถึงอย่างไรระดับจิตวิญญาณของเขาก็ยังหยุดอยู่ที่ระดับหก

ต่อให้จิตวิญญาณของเขาจะสูงกว่าระดับหกและมีความแข็งแกร่งมากก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของยอดฝีมือระดับสี่ของลัทธิเต๋า

อันดับที่สอง เขาสามารถงัดเอาหนังสือเวทมนตร์ลัทธิขงจื๊อมาใช้ได้ ถึงยังไงมันก็เป็นของวิเศษที่หาได้ยาก

ต่อให้ระดับของมันค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีคุณภาพระดับคริปทอนโกลด์นะ

ในสงครามระหว่างสวรรค์และมนุษย์ เป็นเพราะผลจากหนังสือเวทมนตร์ลักธิขงจื๊อที่ทำให้เขาฟื้นฟูความอ่อนแอของวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงเอาชนะหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นได้

ท้ายที่สุด เขาก็ยังมีไต้ซือเสินซูอยู่ในร่าง ซึ่งเป็นความมั่นใจสูงสุดของเขา

แต่การดำรงอยู่ของไต้ซือเสินซูไม่สามารถเปิดเผยได้ ต่อให้จะเรียกเขาออกมาก็ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเพื่อนร่วมทาง มิเช่นนั้นก็ทำได้เพียงต้องฆ่าปิดปากเท่านั้น…

หากเพียงแค่ช่วยพระมเหสี คงไม่ถึงกับทำให้ข้าต้องทุ่มเทขนาดนั้น…

สวี่ชีอันถูกรามด้วยนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ

การช่วยพระมเหสีเป็นเพียงเรื่องที่ถือโอกาสทำไปด้วย แต่จุดประสงค์หลักของเขาคือการดึงข้อมูลลับ

“แดนเหนือเป็นอาณาเขตของอ๋องสยบแดนเหนือ กระโจนเข้าไปในเขตเฝ้าระวังของผู้อื่นโดยตรง การเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนตกอยู่ในสายตาของฝ่ายตรงข้าม”

“เช่นนั้น ถ้าข้าไม่สอบสวนคดีนี้ ก็ต้องสู้กับอ๋องสยบแดนเหนือให้ตายกันไปข้าง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง