บทที่ 353 คณะทูตมาเยือนแดนเหนือ
สร้อยข้อมือถูกปลดออกจากข้อมือสีขาวราวหินนั้น ในสายตาของสวี่ชีอันที่เห็นจากรูปลักษณ์ใบหน้าที่สะท้อนในเงาน้ำก็คือหญิงวัยกลางคนที่ดูธรรมดาสามัญ หลังจากนั้นไม่นานภาพลวงนั้นก็เปลี่ยนแปลงไป และรูปลักษณ์ใบหน้าเดิมของนางก็ปรากฏขึ้น
ดวงตากลมโตและมีเสน่ห์ของนาง สะท้อนแสงไฟราวกับอัญมณีที่สดใสที่แช่อยู่ในทะเลสาบน้ำตื้น เป็นประกายระยิบระยับเย้ายวน
นางเงยหน้าขึ้นอย่างเขินอาย ขนตาของนางสั่นระริกเบาๆ เป็นความงามที่นำพาซึ่งความสลับซับซ้อน
ริมฝีปากของนางนั้นอวบอิ่มและแดงระเรื่อ มุมปากนั้นละเอียดงดงามราวกับงานแกะสลัก คล้ายกับผลเชอร์รี่ที่เย้ายวนชวนให้หลงใหลที่สุด ดึงดูดให้บุรุษเข้าไปอิงแอบใกล้ชิด
นางสวยดั่งหญิงงาม แต่ทว่าบุคลิกนิสัยนั้นกลับยิ่งมีเสน่ห์ยิ่งกว่า ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ที่อยู่บนภาพวาด
“…”
สวี่ชีอันเคยได้พบเจอคนที่สวยเพริศพริ้งที่สุดและก็รู้ว่าพระมเหสีของอ๋องสยบแดนเหนือนั้นถูกยกย่องให้เป็นหญิงที่สวยที่สุดอันดับหนึ่งในต้าฟ่ง ดังนั้นนางจึงมีความพิเศษเหนือผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้เห็นตัวจริงของหญิงที่เป็นตำนานเล่าขานกันว่าสวยที่สุดอันดับหนึ่งในต้าฟ่ง สวี่ชีอันกลับรู้สึกมีแรงดึงดูดพรั่งพรูออกมาอย่างรุนแรง ในใจนั้นมีบทกวีลอยขึ้นมาทันทีโดยอัตโนมัติ
เมฆาดุจอาภรณ์บุปผาดั่งหญิงงาม ลมวสันต์พัดผ่านรั้วเม็ดน้ำค้างปรากฏกาย
หากมิใช่พานพบที่ภูผาหยก คงเป็นใต้แสงจันทรา ณ บึงเหยา ที่พบพาน
“คืนมา…ส่งคืนมาให้ข้า” นางใช้น้ำเสียงที่สะอื้นไห้และวิงวอน
สวี่ชีอันมองไปที่นางอย่างเงียบๆ ไม่หยอกล้อต่อและยื่นกำไลข้อมือส่งคืนให้
พระมเหสีคว้าไว้อย่างรวดเร็วพร้อมสวมใส่ใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็มีคลื่นแสงและเงาคล้ายคลื่นน้ำสั่นสะท้อนขึ้นมาอีกครั้งอย่างฉับพลัน จากนั้นนางก็กลับกลายเป็นหญิงชราสามัญธรรมดาอีกครั้ง
อายุราวสามสิบต้นๆ ใบหน้าสามัญธรรมดา บุคลิกนิสัยธรรมดาทั่วไป
พระมเหสีสัมผัสลูบใบหน้าของนางและถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงซ่อนมือขวาของตนที่สวมสร้อยข้อมือไว้ข้างหลังอย่างแน่นหนา ก้าวถอยหลังไปทีละก้าวและมองที่สวี่ชีอันอย่างระวังตัว
นางรู้ว่าเสน่ห์ความงามของตนเอง สำหรับผู้ชายนั้นคือสิ่งยั่วยวนที่ไม่อาจต้านทานได้
บนโลกนี้ผู้ที่สามารถอดทนต่อสิ่งเย้ายวนได้ ชายที่เพิกเฉยไม่สนใจไยดีตัวนาง นางเพิ่งเคยพบเจอเพียงแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งคือคนที่หลงใหลในการฝึกฌาน จักรพรรดิหยวนจิ่งที่อายุยืนเหนือสิ่งอื่นใด
อีกคนหนึ่งคือผู้ที่หลงใหลในศิลปะการต่อสู้ ไหวอ๋องผู้ที่วางแผนการที่ไม่ดีต่อนาง
สำหรับสวี่ชีอัน ภาพพจน์ที่ติดอยู่ในความทรงจำของพระมเหสีที่มีต่อเขา ตราบาปที่อยู่บนร่างกายของเขานั้นคือวีรบุรุษหนุ่มผู้เจ้าชู้หมกมุ่นในกามตัณหา
มีข่าวลือเกี่ยวกับบุคคลนี้ว่าวนเวียนอยู่ที่สำนักสังคีตตลอดทั้งวัน พัวพันลึกซึ้งกับคณิกามากหน้าหลายตา วีรบุรุษหนุ่มกับการใช้ชีวิตแบบตามใจไร้กฎเกณฑ์เป็นการสะท้อนเติมเต็มซึ่งกันและกัน และมักจะถูกผู้คนพูดถึงอย่างออกอรรถรสไม่หยุดหย่อน
แต่สิ่งที่พระมเหสีกลัวที่สุดก็คือความเจ้าชู้หมกมุ่นในกามตัณหา
นี่ก็สวยเกินห้ามใจเกินไปแล้ว แต่ทว่าไม่ถูกต้อง…ปัญหาไม่ใช่ว่านางสวยหรือไม่สวย นางเป็นหญิงประเภทที่หาพบเจอได้น้อยจริงๆ นั่นทำให้ข้าคิดถึงหญิงที่เป็นรักแรกพบ…
ในหัวของสวี่ชีอัน ก็มีความคิดถึงโลกเดิมของเขาก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้น
เขาคิดว่ามันถูกต้องและเหมาะสมมากกับความงามของพระมเหสี แต่สิ่งที่ทำให้สวี่ชีอันรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างจังนั่นก็คือเสน่ห์ที่แปลกประหลาดเฉพาะตัวของนาง ซึ่งเป็นความอ่อนโยนที่หัวใจชายสามารถสัมผัสได้จริงๆ
นี่ก็คือคนที่งดงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่งหรือ? อ่า เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจจริงๆ
สวี่ชีอันถือกิ่งไม้พลางเขี่ยๆ กองไฟ เขาไม่ได้มองไปที่พระมเหสีที่ระมัดระวังและเตรียมป้องกันอย่างเต็มที่อีก สายตาเขามองไปที่กองไฟพร้อมเอ่ยพูด
“กำไลข้อมือเส้นนี้คือตอนที่ข้าชนะการแข่งโยนธนูลงหม้อแล้วได้มาให้เจ้านี่นา มันมีผลในการป้องกันลมหายใจและเปลี่ยนรูปลักษณ์”
พระมเหสีตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงการเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังของนางตอนถอดสร้อยข้อมือ คาดว่าเขาน่าจะอนุมานได้จากสิ่งนี้ นางจึงพยักหน้า
สวี่ชีอันกล่าวต่อ “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าพระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในต้าฟ่ง ตอนแรกข้าก็ไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้ข้าได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าแล้ว ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจทอดอารมณ์…สมควรแล้ว”
คิ้วโก่งเรียวของพระมเหสีขมวดเล็กน้อย “ถอนหายใจ?”
ถ้าหากเป็นผู้หญิงนางอื่นพูดเช่นนี้ พระมเหสีคงคิดว่าพวกนางนั้นอิจฉา ก็ยังอาจจะยังดูสมเหตุสมผลอยู่ แต่ประโยคนี้ออกมาจากปากผู้ชาย มันจึงดูแปลกมากๆ
สวี่ชีอันพยักหน้า “เพราะข้ารู้สึกว่า สระน้ำของข้า…ผู้หญิงเหล่านั้นที่ข้ารู้จัก แต่ละนางล้วนแต่เป็นหญิงงามที่มีความโดดเด่นกว่าใคร มีลักษณะความงามที่แตกต่างกันราวกับดอกไม้นับร้อยหลากสีสันที่เบ่งบาน ที่เรียกว่าพระมเหสีก็เป็นเพียงแค่ดอกไม้ดอกหนึ่งที่สีสันสดสวยเช่นเดียวกัน”
แต่เขาก็ยอมรับว่าโฉมหน้าที่มีเสน่ห์เย้ายวนแสนพิเศษที่เห็นในเวลาอันสั้นเมื่อครู่นั้น พระมเหสีท่านนี้ได้เผยให้เห็นเสน่ห์ของสตรีเพศที่ทรงพลังอย่างมหาศาล
แม้ว่าเขาจะผ่านประสบการณ์กองทหารปืนใหญ่มานาน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้หลงใหล แต่เมื่อครู่เขากลับรู้สึกว่าก็มีแรงกระตุ้นอยู่ชั่วขณะ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นของสัญชาตญาณชาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พระมเหสีก็ยิ้มเย้ยหยัน
เหล่าผู้หญิงที่มีความเจ้าชู้หมกมุ่นในกามตัณหาติดตัวเช่นนั้นจะนำมาเปรียบเทียบกันกับตัวนางได้อย่างไร จริงอยู่ที่ถึงแม้คณิกาในสำนักสังคีตนั้นจะสะสวย แต่ถ้าหากต้องนำหญิงสาวโสเภณีเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับตัวนาง ก็คงจะเป็นการดูถูกเหยียดหยามกันเกินไปหน่อย
ที่เมืองหลวง พระมเหสีรู้สึกว่าลูกสาวคนโตและลูกสาวคนที่สองของจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้เต็มใจที่จะเชิดหน้าชูตานางและต้องการกีดกันนาง ส่วนราชครูลั่วอวี้เหิงผู้ออดอ้อนฉอเลาะที่สุด ก็สามารถแข่งขันกับนางเรื่องความสวยความงามได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เทียบเท่านางไม่ได้ สำหรับผู้หญิงคนอื่นๆ นางอาจจะไม่เคยพบเห็นพวกเขามาก่อน หากว่าหน้าตาสวยสดงดงามแต่มีฐานะต่ำต้อย
เมืองหลวงก็คือภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งพระมเหสีคือความเงียบเหงาและความอ้างว้างบนยอดเขา นางชำเลืองมองเล็กน้อย อย่างมากที่สุดก็มองเห็นเพียงหัวของฮว๋ายชิ่งและหลินอัน บางครั้งก็มองดูใบหน้าครึ่งหนึ่งของลั่วอวี้เหิง แน่นอนว่ายังมีอีกหนึ่งคน ถ้าคนคนนั้นอยู่ในช่วงวัยที่กำลังเป็นหนุ่มสาว พระมเหสีรู้สึกว่าบางทีคนคนนั้นอาจจะสามารถแข่งขันกับนางได้
นางคือฮองเฮาแห่งต้าฟ่ง
ในบรรดาผู้หญิงที่สวี่ชีอันคบหาด้วย แน่นอนว่าไม่รวมฮว๋ายชิ่งและหลินอัน รวมถึงราชครู ดังนั้น พระมเหสีจึงพูดดูถูกเหยียดหยามเขาด้วยเสียงฮึดฮัดออกจมูก และเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโส
“เกือบสิบวันแล้วที่ออกจากเมืองมา ปลอมตัวเป็นสาวใช้ก็ลำบากมากเลยทีเดียว ข้าอดทนกับเจ้าก็ลำบากมากเช่นกัน” สวี่ชีอันยิ้มพลางพูด
“หมายความว่าอย่างไร?” พระมเหสีตกตะลึง
“คืนนั้นที่พวกเราอยู่บนดาดฟ้าเรือ ข้าคิดจะหยิบสร้อยข้อมือของเจ้าแล้ว แต่ก็ดันเกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมา ท้ายที่สุด ถึงอย่างไรข้าก็เป็นขุนนางบัญชาการ ต้องพิจารณาถึงส่วนรวมอยู่แล้ว”
พระมเหสีสีหน้าไร้ความรู้สึก มองที่เขาด้วยความประหลาดใจพลางพูด “เจ้า…เจ้าเดาออกได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือว่าข้าคือพระมเหสี?”
หลอกลวงกันแน่ๆ เห็นชัดว่านางเองก็ปลอมตัวมาอย่างดี และในตอนกลางคืนนางมักจะปรบมือชื่นชมให้กับฝีมือการแสดง คิดว่าตัวนางเองนั้นสวมบทบาทเป็นสาวใช้ได้อย่างฝีมือยอดเยี่ยม ใครก็ไม่สามารถที่จะจำนางได้
“จะพูดให้ถูกก็คือตอนที่เจ้าอยู่ในวังและใช้ทองทุบข้า ข้าก็เริ่มสงสัยแล้ว และตอนที่ยืนยันตัวตนที่แท้จริงของเจ้าได้เลย ก็คือตอนที่พวกเราพบกันบนเรือราชการ ตอนนั้นข้าจึงเข้าใจได้ทันที ว่าเจ้าคือพระมเหสี คนที่อยู่บนเรือนั้นก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิด” สวี่ชีอันยิ้มพลางพูด
หลังจากสละทิ้งเรือและเดินทางไปบนบก เมื่อได้เห็นพระมเหสีตัวปลอม ในใจของสวี่ชีอันก็ไม่ได้รู้สึกถูกรบกวนหรือกระทบใดๆ และนั่นยิ่งทำให้แน่ใจได้ว่านางเป็นตัวปลอม
เหตุผลนั้นง่ายมาก เมื่อก่อนเขาเคยเขียนบันทึกมาก่อน และเคยบันทึกคุณสมบัติพิเศษของพระมเหสีไว้ในสมุดบันทึกนั้น
‘ข้า…ข้าเปิดเผยตัวตนเร็วขนาดนั้นเลยหรือ’ พระมเหสีอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกเมื่อนึกถึงการแสดงของตัวนางเองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ความรู้สึกอับอายเอ่อท่วมท้นจนแทบอยากจะขุดดินเพื่อฝังกลบตัวเองไป
“พูดกับเจ้าเรื่องพวกนี้แล้ว ก็อยากจะบอกกับเจ้าว่า ถึงแม้ว่าข้าจะเจ้าชู้ ก็ลองถามพวกผู้ชายดูว่ามีใครบ้างที่ไม่เจ้าชู้ แต่ข้านั้นไม่เคยบังคับขืนใจผู้หญิง พวกเรายังต้องมีการเดินทางไปทางแดนเหนือและต้องการความร่วมมือจากเจ้า” สวี่ชีอันพูดให้นางคลายกังวล
สวี่อวิ๋นหลัวแห่งต้าฟ่งไม่เคยบังคับผู้หญิง เว้นเสียแต่ว่าพวกนางคิดอยากจะเปิดใจเอง
‘ยังไงก็หนีไม่พ้นโชคชะตาที่ต้องขึ้นทางเหนือ’ พระมเหสีเม้มริมฝีปาก รู้สึกหดหู่เล็กน้อยและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถาม “พวกเราจะนัดพบกับคณะทูตเมื่อใด?”
ชายหนุ่มอวิ๋นหลัวเงยหน้าขึ้น แสงไฟสะท้อนบนใบหน้าของเขา มุมปากของเขากระตุกยกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายที่คาดเดาไม่ได้ “ใครบอกว่าเราจะนัดพบกับคณะทูตล่ะ?”
…
คืนนี้ ตราบใดที่ต้นไทรยังส่งเสียง ‘กรอบแกรบ’ จากการที่ใบไม้สั่นเสียดสีกันดังขึ้น ก็คือไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
ยามเช้าตรู่ แสงแรกของรุ่งอรุณสาดส่องลงบนใบหน้าของนาง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู นางตื่นขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือ เห็นว่ากองไฟได้ดับลงแล้ว และมีหม้อเหล็กขนาดใหญ่วางอยู่บนนั้น พร้อมกับกลิ่นหอมของข้าวต้มที่ลอยมาเตะจมูก
ท้องของพระมเหสีร้องคำรามอยู่สองครั้ง นางมาอยู่ข้างๆ กองไฟโดยยากที่จะซ่อนความประหลาดใจและดีใจของนางไว้ได้ พลางเปิดฝาหม้อเหล็ก ข้างในนั้นมีข้าวต้มปริมาณมากพอสำหรับสามถึงห้าคน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง