ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 354

บทที่ 354 ซักถามคณะทูต

“ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ระยะทางของหว่านโจวห่างจากทางเหนือเพียงไม่กี่วัน หากใต้เท้าทั้งหลายไม่เชื่อ ก็เดินทางไปทางเหนือ เพื่อดูด้วยตาตนเองก็ได้”

หนิวจือโจวแก้ตัวติดต่อกัน ขาดก็แต่สาบานต่อเทพเจ้า

หนิวจือโจวมนุษย์ตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ทำให้เขาลำบากใจมากนัก

หลังจากผู้ตรวจสอบหลิวสอบถามอีกครั้งเกี่ยวกับปัญหาของทางเหนือไม่กี่ข้อ รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ลุกขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มตาหยีไปให้

มองตามหลังหนิวจือโจวขึ้นรถม้าไป ก็พาลูกน้องจากไป รองหัวหน้าศาลต้าหลี่กลับเข้ามายังศาลาพักม้าอีกครั้ง ให้ทหารส่งสารล่าถอย มองทุกคนรอบๆ “ตอนนี้พวกเราจะขึ้นเหนือ หรือจะพักอยู่ที่ศาลาพักม้าอีกสองสามวัน?”

หัวหน้ามือปราบเฉินกรมอาญากล่าวเสียงต่ำ “พักในศาลาพักม้าต่อ คนของไหวอ๋องต้องกลับมาตามหาอีกแน่ พอถึงเวลานั้น พวกเราคงทำได้เพียงขึ้นเหนือไปพร้อมกับพวกเขา”

“แบบนี้ก็ประจวบเหมาะแล้วมิใช่หรือ” ผู้ตรวจการอีกคนที่แซ่โจว หัวเราะกล่าว “พวกเราอยู่ในที่สว่าง ฆ้องเงินสวี่อยู่ที่มืด ชักจูงความสนใจของไหวอ๋อง นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเรา”

รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ส่งเสียงทอดถอนใจ “ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพระมเหสีจะเป็นหรือจะตายเยี่ยงไรบ้าง”

เมื่อฟังจบ หัวหน้ามือปราบเฉินกับผู้ตรวจการสองท่านยิ้มเย้ยบนใบหน้า ความเป็นความตายของพระมเหสีกับฉู่เซียงหลง เกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย

คนใช้เลวทรามที่ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์เช่นนั้น ตายไปจะดีกว่า

หยางเยี่ยนบอกพวกเขาว่า หลังจากสวี่ชีอันขับไล่ยอดฝีมือของทางเหนือแล้ว ก็เดินทางไปคนเดียว และมุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อแอบสืบคดี

แผนนี้ได้รับการเห็นด้วยจากทุกคนอย่างเป็นเอกฉันท์ และสัญญาจะรักษาความลับไว้ เหล่าเจ้าหน้าที่สามกองก็ให้ความร่วมมือเช่นกัน ประเด็นแรก เพิ่งได้รับการช่วยชีวิตจากสวี่ชีอัน ท่าทางที่มีต่อเขาจึงเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง จากความเกลียดชังเป็นความใกล้ชิด

ประเด็นที่สอง การสืบคดีเป็นความลับของสวี่ชีอัน นั่นหมายความว่า คณะทูตสามารถทำงานได้แบบช้าๆ และก็ไม่ใช่เพราะสืบหาหลักฐานอะไร จนดึงดูดการแว้งกัดของอ๋องสยบแดนเหนือได้

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หยางเยี่ยนยังไม่ได้บอกพวกเขา นั้นก็คือการหายตัวไปของพระมเหสี ตามที่หยางเยี่ยนคาดเดา พระมเหสีมีความเป็นไปได้มากว่าสวี่ชีอันจะเป็นผู้ช่วยไว้

นี่คือหลังจากเขาสำรวจตามทิศทางที่สวี่ชีอันจากไป สำรวจไปจนถึงสนามการต่อสู้ พบหญิงรับใช้สลบไม่ได้สติ ข้อสรุปก็เป็นดังนี้

ที่เกิดเหตุนอกจากใยแมงมุมและเหล่าสาวใช้ที่หลงเหลืออยู่ในป่าทึบแล้ว ก็ไม่มีสิ่งตกค้างใดอีก

หยางเยี่ยนปลุกสาวใช้เพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น ตั้งแต่รู้จากปากพวกนางว่าสวี่ชีอันตามมา ภายหลังอาจจะเกิดการต่อสู้ใหญ่ เหตุใดจึงเป็นอาจจะ เพราะสาวใช้เองก็ไม่แน่ใจ

ไม่นานพวกนางก็หมดสติไป

หยางเยี่ยนคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สองทาง ไม่สวี่ชีอันลักพาตัวพระมเหสีกลางทาง เและเริ่มการไล่ล่ายอดฝีมือทางเหนือ หรือไม่ก็สวี่ชีอันต่อสู้และเอาชนะยอดฝีมือทางเหนือ จนช่วยชีวิตพระมเหสีได้สำเร็จ

เขายิ่งคาดเดาว่าเป็นแบบที่หนึ่งมากกว่า เพราะที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยการต่อสู้ จึงเป็นไปได้ว่าสวี่ชีอันจะใช้วิชาที่บันทึกไว้ในม้วนตำราลัทธิเต๋า และช่วยชีวิตพระมเหสีได้สำเร็จ

“ยอดฝีมือสี่ท่านจากทางเหนือทะลุเข้าไปยังอาณาจักรต้าฟ่ง ไม่กล้าทำเรื่องชั่วมากนัก นี่จึงเป็นโอกาสอย่างมากแก่สวี่ชีอัน…เขามีม้วนตำราลัทธิเต๋าคอยป้องกันตัว ตัวเขาเองยังมีพลังเทพวชิระของอาณาจักรเสี่ยวเฉิง ไม่ใช่ไม่มีความสามารถป้องกันตัว ยิ่งไปกว่านั้น ประจวบเหมาะในการคว้าโอกาสฝึกฝนเขา ทำให้เขาสัมผัสถึงธรณีประตูเคล็ดวิชาสลายแรง และเลื่อนขึ้นเป็นระดับห้าได้ไวยิ่งขึ้น”

ตอนนั้นหยางเยี่ยนคิดแบบนี้

ครั้งนี้อันตรายมาก แต่ระบบทหารเดิมทีก็คือกระบวนการที่ต้องทะลวงด้วยตนเอง และฝึกฝนด้วยตนเอง ตอนนั้นหยางเยี่ยนเองก็เคยเข้าร่วมสงครามซานไห่ และเขายังเป็นเด็กมาก

ยังคงกล้าถือกระบี่รบราฆ่าฟันในสนามรบ ฝ่าอันตรายที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็ยังอยู่รอดได้ และฝึกฝนศิลปะการต่อสู้

แน่นอนว่าสวี่ชีอันสามารถทำได้ ถ้าเขาทำไม่ได้ หากตายไปก็โกรธใครไม่ได้

นอกจากนี้ เขายังแอบเตรียมการทหารสิบนาย ให้คุ้มกันสาวใช้ไปทางทิศใต้เพื่อกลับสู่เมืองหลวง

ตอนนี้คณะทูตมีทหารแค่เก้าสิบนายเท่านั้น รองหัวหน้าศาลต้าหลี่และคนอื่นๆ ไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้ ไม่ใช่พวกเขาไม่ใส่ใจมากพอ แต่พวกเขาไม่เคยสนใจทหารที่อยู่เบื้องล่างเลย

ทางเดินระหว่างภูเขาที่คนเดินเท้าเหยียบย่ำ สวี่ชีอันแบกกระบี่ที่ใช้ผ้าห่อไว้ ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยอารมณ์ฮึกเหิม

พระมเหสีที่เส้นผมยุ่งเหยิงค้ำยันด้วยกิ่งไม้ ยกขึ้นอย่างเชื่องช้าอยู่ด้านหลัง สองสามวันมานี้ ชุดสาวใช้ที่นางสวมใส่เปลี่ยนเป็นทั้งยับทั้งสกปรก และร่างกายเริ่มมีกลิ่นเปรี้ยว

ในตอนแรก นางระมัดระวังผมของตนเองอย่างมาก ตื่นนอนในตอนเช้าต้องหวีให้เรียบร้อย ภายหลังก็ไม่สนแล้ว แค่ใช้ไม้เกล้าผมขึ้น เส้นผมห้อยลงมายุ่งเล็กน้อย

มีภาพลักษณ์พระมเหสีที่สูงส่งที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงยากไร้ที่รอดพ้นจากความอดอยากคนหนึ่ง

“ไม่เลวเลยนี่ ติดตามมานานมากแล้ว สองสามวันมานี้กำลังกายของท่านดีขึ้นมาก”

ข้างหน้า สวี่ชีอันหยุดเดิน พลางชื่นชมด้วยรอยยิ้ม

“ข้าได้ยินข้างหน้ามีเสียงน้ำ เร็วเข้า ไปที่นั่นและพักผ่อนเสียหน่อย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเจ้าหญิงก็เปล่งประกาย ก่อนจะมืดมนลงอีก นางไม่กล้าอาบน้ำ ยอมดมกลิ่นเหงื่อของตนเองที่น่าขยะแขยงทุกวัน และยอมมองไปรอบๆ อย่างคนตาบอด

มีเหตุผลที่พระมเหสีไม่อาบน้ำ ประการแรก เพื่อป้องกันไม่ให้สวี่ชีอันแอบดู หรือใช้โอกาสในการทำเรื่องลามก และเรื่องบ้าๆ กับนาง

ประการที่สอง ตราบใดที่เธอมีกลิ่นเหม็นแบบนี้ เจ้าหมอนั่นก็ไม่กล้าแตะต้องนาง

‘นับวันข้ายิ่งทนกลิ่นเปรี้ยวบนตัวเจ้าไม่ไหวแล้ว’…นี่คือคำติดปากที่สวี่ชีอันชอบพูดมาหลายวันแล้ว

ไม่นาน ทั้งสองที่อยู่ริมหน้าผาฝั่งซ้ายมือก็เห็นน้ำตกที่เล็กเป็นฝอยห้อยอยู่ มีน้ำตกก็ต้องมีสระน้ำอย่างแน่นอน

เป็นอย่างที่คิด หลังเดินเข้ามาใกล้ ใต้น้ำตกมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ น้ำในสระ วนไหลออกมา มีรูปร่างเป็นลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง

“นับวันข้ายิ่งทนกลิ่นเปรี้ยวบนตัวเจ้าไม่ไหวแล้ว อยากอาบน้ำเสียหน่อยหรือไม่” สวี่ชีอันแนะนำ

“ไม่อาบ” นางปฏิเสธท่าเดียว

“ผู้หญิงสกปรก” สวี่ชีอันถ่มน้ำลาย

‘เจ้าต่างหากที่สกปรก ถุย’…มุมปากของพระมเหสียกขึ้น ภูมิใจในตนเองยิ่งนัก

“เจ้าไม่อาบงั้นข้าอาบเอง”

สวี่ชีอันถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นร่างกายส่วนบนที่แข็งแรง พร้อมกล้ามเนื้อที่ได้สัดส่วน เป็นสัดส่วนที่ดีเยี่ยม เผยให้เห็นความงามของผู้ชายที่ถึงอกถึงใจออกมา

พระมเหสีกลอกตา แล้วเบือนหน้าหนี

เสียง ‘ซ่า’ ที่ลอดเข้ามาในโสต เมื่อหันไปมอง และแน่ใจว่าสวี่ชีอันกระโดดลงไปในสระน้ำแล้ว นางนั่งลงบนหินข้างลำธาร ค่อยๆ ถอดรองเท้างานปักที่สกปรกออก

เท้าเล็กที่ประณีตคู่หนึ่งเผยออกมา นางจับเท้าเล็กมองดูครู่หนึ่ง ฝ่าเท้าเป็นรอยแดง มีแผลพุพองเล็กน้อย

พระมเหสีเม้มริมฝีปาก เกือบอยากจะร้องไห้

แม้สวี่หนิงเยี่ยนจอมขี้เรื้อนจะถูกดึงดูดด้วยความงามของนาง แต่เขายังค่อนข้างจะรักหยกถนอมบุปผา ไม่ได้รีบเร่งออกเดินทาง

ทว่าการบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย เดินเท้ามาห้าวัน สำหรับพระมเหสีที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ช่างเป็นการเดินทางที่ยากลำบาก

ใช้คำกล่าวที่เข้าใจง่ายๆ คือ ข้าต้องทนทุกข์ทรมานจากการปฏิบัติที่ไม่สมควรต่อความงดงามและฐานะเช่นนี้

พระมเหสีแช่เท้าเล็กๆ สีขาวในลำธาร ต่อมาก็ซักรองเท้าปักลายที่สกปรกให้สะอาด แล้วแขวนไว้บนหิน แสงแดดกลางฤดูใบไม้ผลิกำลังพอดี แต่ไม่อาจทำให้รองเท้าของนางแห้งได้

ณ ที่นี้ พระมเหสีมีความคิดอื่น รองเท้าเปียกแล้ว นางก็สามารถใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการพักผ่อนให้นานขึ้นเสียหน่อยได้

หากเจ้าหมอนั้นไม่เห็นด้วย นางแค่ใช้ให้เขาเช็ดรองเท้าของตนเองให้แห้ง

ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ลำธารที่เย็นยะเยือกแช่อยู่ที่ข้อเท้า นางหรี่ตาและเพลิดเพลินเป็นเวลานาน จากนั้นก็ขยับบั้นท้ายที่อวบอ้วนและกลมกลึง ขยับจากก้อนหินลงมา นางยืนอยู่ในลำธาร ยกกระโปรงขึ้น แล้วมัดไว้แน่นตรงเข่า

ผู้หญิงในยุคนี้ ชายกระโปรงไม่มีละเลยการป้องกันอย่างแน่นอน มีทั้งหมดสามชั้น แบ่งเป็นกางเกงชั้นใน กางเกงผ้าไหมธรรมดา และกระโปรง

พระมเหสีเอนกายประคองน้ำไว้ในอุ้งมือ วักน้ำล้างใบหน้ารูปไข่

สบายจัง…นางหรี่นัยน์ตาพระจันทร์เสี้ยว แสดงอารมณ์เพลิดเพลินออกมา

เวลานี้ นางเห็นข้างหน้าตรงที่สูง ข้างสระน้ำ สวี่ชีอันที่ไม่รู้ว่าขึ้นจากฝั่งตั้งแต่เมื่อใด เจ้าหมอนี่หันหลังให้นาง และหันหน้าไปทางสระน้ำ

สายน้ำใสราวคริสตัลตัดผ่านส่วนโค้งที่สง่างาม ก่อนจะดึงเข้าไปในสระน้ำ

“สวี่หนิงเยี่ยน!”

พระมเหสีกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง