บทที่ 355 ข้อความจากหลี่เมี่ยวเจิน
หลังออกจากศาลต้าหลี่ ก็เดินลงบันไดมายังห้องโถงใหญ่ หัวหน้ามือปราบเฉิน หยางเยี่ยนและผู้ตรวจสอบอีกสองนายนั่งจิบชากันเงียบๆ ตรงที่แห่งนั้น
บนโต๊ะมีพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกวางอยู่ครบครัน
ในวัยสี่สิบต้นๆ เช่นนี้ หัวหน้าศาลต้าหลี่ผู้ยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ในแวดวงราชการ หย่อนกายลงนั่งเงียบๆ บนเก้าอี้ เขาหยิบพู่กันขึ้นมา แล้วจรดปลายพู่กันนั้นลงบนแผ่นกระดาษ
“มิใช่โหร!”
นอกจากนี้ในกระดาษยังมีอีกบรรทัดหนึ่ง ที่หัวหน้ามือปราบเฉินเขียนไว้ ‘มีบางอย่างซ่อนอยู่ในมือขวา’
จากนั้นฝ่ายตรวจการสองคนก็เข้ามาในห้องเพื่อสอบถามสายลับหญิง ก่อนออกไปหนึ่งในสองคนฝากข้อความทิ้งไว้ว่า ‘ไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้’ ส่วนอีกคนเขียนเอาไว้ว่า ‘จับตามองฆ้องเงิน’
หยางเยี่ยนขยำกระดาษจนมันกลายเป็นก้อนกลม กดคลึงเบาๆ จนท้ายที่สุดกระดาษแผ่นนั้นก็กลายเป็นเศษชิ้นกลมๆ เล็กๆ
เขาโยนมันทิ้งออกไปอย่างไม่ไยดี แล้วขึ้นไปชั้นบนด้วยใบหน้าปราศจากอารมณ์ เมื่อเดินมาถึงด้านหน้าห้องหนึ่ง ก็ผลักบานประตูเปิดออกทันที
“พระมเหสีหายตัวไป พวกเจ้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต้องรับผิดชอบเรื่องนี้” สายลับหญิงเอ่ยเสียงหนักแน่น
หยางเยี่ยนนั่งลง องคาพยพบนใบหน้าราวกับหินแกะสลัก ปราศจากอารมณ์แม้แต่น้อย สำหรับข้อกล่าวหาของสายลับหญิงนั้น เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มีอะไรก็เอ่ยมา”
“ดี!” สายลับหญิงพยักหน้ารับ ค่อยๆ อ้าปากกล่าว “ข้าขอเข้าประเด็น พระมเหสีอยู่ที่ไหน?”
“มือขวาซ่อนอะไรเอาไว้?” หยางเยี่ยนไม่ตอบคำถาม สายตาของเขาจับจ้องไปที่ไหล่ขวาของสายลับหญิง
“สมกับเป็นฆ้องทองคำ มองทะลุกลอุบายเล็กๆ ของข้าได้อย่างรวดเร็ว” สายลับหญิงยกมือของนางที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ แล้วแบออก แผ่นทองแดงแปดเหลี่ยมปรากฏขึ้นอยู่ในฝ่ามือนั้น
“อาวุธเวทมนตร์ของสำนักโหราจารย์ สามารถแยกแยะระหว่างความเท็จและความจริงได้” นางผลักแผ่นทองแดงแปดเหลี่ยมออกไป เอ่ยเสียงเรียบ “อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ถูกต้องสำหรับเจ้าที่อยู่ในระดับสี่ หากจะบอกว่าเจ้าโกหกหรือไม่ จำเป็นต้องมีความสามารถของโหรระดับหกเข้าช่วย”
หยางเยี่ยนไม่ได้ดูแผ่นทองแดงแปดเหลี่ยมแม้แต่น้อย เขาเพิ่งจะตอบกลับคำถามก่อนหน้านี้ของนาง “ข้าไม่รู้ว่าพระมเหสีอยู่ที่ใด”
สายลับหญิงได้ยินเช่นนั้นก็รีบซักถามต่อทันที “สวี่ชีอันอยู่ที่ไหน เขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ และกลับไปที่เมืองหลวงหรือไม่?”
หยางเยี่ยนยกมือขึ้นห้าม เอ่ย “เจ้าถามหนึ่งคำถาม ข้าถามหนึ่งคำถาม”
ภายใต้หน้ากาก ดวงตาคู่นั้นจ้องมาที่เขาครู่หนึ่ง เอ่ยช้าๆ “เจ้าถามมา”
“เหตุใดคนพวกนั้นถึงได้มุ่งเป้าไปที่พระมเหสี” คำถามของหยางเยี่ยนเจาะเข้าประเด็นทันที
หากแต่สายลับหญิงกลับไม่เอ่ยตอบ
หยางเยี่ยนพยักหน้ารับ “เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนคำถาม ฉู่เซียงหลงยืนกรานที่จะใช้ทางน้ำในวันนั้น ก็เพราะจะรอพบเจ้าใช่หรือไม่?”
“อืม”
สายลับหญิงตอบรับ เอ่ยถามต่อทันที “สวี่ชีอันอยู่ที่ไหน”
หยางเยี่ยนส่ายหน้า “มิอาจรู้ได้ เหตุใดสายลับถึงไม่กลับเมืองหลวง คุ้มกันเขาเงียบๆ และนัดหมายเขาที่ชายแดนฉู่โจวเล่า?”
‘มิอาจรู้ได้ งั้นหรือ…เป็นไปได้หรือไม่ว่า สวี่ชีอันไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่กลับไปเมืองหลวง’ สายลับหญิงกล่าวเสียงเข้มต่อทันที “พวกข้ามีศัตรูของพวกข้า เว่ยกงทราบเรื่องที่พระมเหสีจะเสด็จไปทางเหนือหรือไม่?”
หยางเยี่ยนตาทอประกายวาบ เอ่ย “รู้”
…
สายลับหญิงออกจากศาลาพักม้า แล้วมุ่งตรงไปยังค่ายทหารในหว่านโจวเพียงลำพัง นางพักในกระโจมหลังหนึ่ง ตกกลางคืนตอนที่นางพลันลืมตาตื่น ก็พบว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามาในกระโจมพอดี
ผู้ที่มาก็สวมชุดคลุมสีดำพร้อมสวมหน้ากากที่เผยให้เห็นแค่คางเท่านั้น เขาไว้เคราสีเข้ม เสียงแหบแห้ง
“ข้าเพิ่งกลับมาจากเมืองเจียงโจว และพบสถานที่สองแห่ง แห่งหนึ่งมีการต่อสู้ที่ดุเดือด และอีกแห่งไร้ร่องรอยการต่อสู้ แต่มีใยไหมเหลือไว้โดยแมงมุมขนไม้สีทอง…แล้วทางนี้เล่า?”
สายลับหญิงตอบกลับเสียงต่ำด้วยเช่นกัน
“สอดคล้องกับข้อมูลที่ข้าสอบถามเพิ่มจากภารกิจ เผ่าพันธุ์ปีศาจและกลุ่มคนป่าเถื่อนส่งระดับสี่ออกมา ได้แก่ ปีศาจงูหงหลิง มังกรน้ำถังซานจวิน และจาเอ๋อร์มู่ฮาแห่งธาราทมิฬ แต่ไม่มีเทียนหลางจากพฤกษาสุวรรณ
“ฉู่เซียงหลงถูกสวี่ชีอันและหยางเยี่ยนเข้าไปพัวพัน ทำให้ทหารองครักษ์พาพระมเหสีและสาวใช้ออกไป อีกอย่าง ผู้คนกลุ่มนี้ไม่รู้จักนิสัยเฉพาะตัวของพระมเหสีเลย และหยางเยี่ยนเองก็ไม่รู้ว่าพระมเหสีอยู่ที่ไหน”
สายลับชายตอบรับ “อืม” หนึ่งคำ “ดูเหมือนว่า อาจเพราะเทียนหลางรอกระต่ายอยู่กระมัง ฉู่เซียงหลงนั้นโชคดีกว่าและด้อยกว่าสำหรับพระมเหสี”
บรรยากาศในกระโจมเคร่งเครียดยิ่ง
“ช้าก่อน เจ้าเพิ่งจะบอกว่า ฉู่เซียงหลงให้ทหารองครักษ์พาสาวใช้และพระมเหสีหลบหนีไปอย่างนั้นหรือ?” สายลับชายพลันเอ่ยถาม
“พูดให้ถูกคือ เขาพาพระมเหสีหนีไป ส่วนทหารองครักษ์ก็หนีไปกับสาวใช้” สายลับหญิงกล่าว
“หึ เขาไม่ใช่คนโง่” สายลับชายเยาะเย้ยแล้วเอ่ยวาจาถากถางต่อ
“เห็นได้ชัดว่าพระมเหสีที่เขาพาไปนั้นเป็นตัวปลอม พระมเหสีตัวจริงปะปนอยู่กับพวกสาวใช้ วิธีนี้ทั้งเฉียบแหลมและเบาปัญญานัก เฉียบแหลมด้วยสร้างความสับสนให้แก่สายตา และโง่เขลานักที่คิดทำเช่นนี้ เขาจะหลบสายตาเทียนหลางได้นานสักเท่าไรกัน
“ในช่วงวิกฤต เขายังพาสาวใช้หลบหนีไปได้ นี่บ่งบอกได้ว่าพระมเหสีตัวจริงนั้นแฝงกายอยู่ในหมู่สาวใช้ อืม…เขาไม่ไว้วางใจในกลุ่มภารกิจอย่างยิ่ง กล่าวอีกอย่างคือ ฉู่เซียงหลงมองว่าภารกิจต้องถูกกำจัดออกไปในตอนนั้น”
สายลับหญิงพยักหน้าตอบรับ “เป็นสวี่ชีอันที่พยายามหยุดถังซานจวินและจาเอ๋อร์มู่ฮา เช่นนั้นแล้วฐานบ่มเพาะแท้จริงของเขาน่าจะอยู่ระดับหก”
นางเล่าถึงการกระทำล่าสุดของสวี่ชีอัน “ตามที่เจ้ากรมอาญาบอกเล่า สวี่ชีอันสามารถเอาชนะศิษย์จากนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ได้ โดยอาศัยวรยุทธ์ขงจื๊อ ฉู่เซียงหลงอาจไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะทำเช่นนี้ “
สายลับชายตอบกลับเสียงแหบแห้ง “ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีเวลาที่วัตถุแปลกปลอมหมดอยู่เสมอ อีกอย่างนักวรยุทธ์ระดับสี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะต่อกรได้ แต่ผลสุดท้ายก็คือสวี่ชีอันจัดการได้หมด ดังนั้นฉู่เซียงหลงจึงเลือกละทิ้งพวกเขา”
“มีเหตุผล”
สายลับหญิงทอดถอนใจ กล่าวด้วยความกังวล “จะทำอย่างไรถ้าพระมเหสีตกไปอยู่ในมือของคนเถื่อนทางเหนือ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ “
สายลับชายหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้เลวร้ายถึงเพียงนั้นหรอก ส่งผู้นำทั้งสี่คนมาร่วมกันซุ่มโจมตีพระมเหสี พวกคนเถื่อนย่อมรู้ถึงความพิเศษของพระมเหสีแน่นอน”
“แล้วใครกันที่อยากได้พระมเหสีมากที่สุด?”
จู่ๆ สายลับหญิงก็พูดออกมา “หัวหน้าแห่งชิงหยานผู้นั้น”
ศีรษะของชายที่ซ่อนอยู่ในผ้าคลุมหน้าสั่นไหว คล้ายกำลังพยักหน้าตอบรับ “เช่นนั้นพวกเขาจะพาพระมเหสีกลับไปทางเหนือก่อน ไม่ก็คงแบ่งปันวิญญาณเท่าๆ กัน หรือได้รับผลประโยชน์มหาศาล กล่าวโดยรวมแล้ว พระมเหสีจะปลอดภัยจนกว่าหัวหน้าแห่งหน่วยชิงหยานไม่เข้าร่วม”
สายลับหญิงเห็นด้วยกับเขา ก่อนจะเอ่ยหยั่งเชิงออกมา “ตอนนี้ วิธีเดียวที่จะแจ้งไหวอ๋องได้ คือต้องให้พระองค์ปิดกั้นชายแดนทางเหนือ เพื่อค้นหาพวกถังซานจวินทั้งสี่คนนั้นให้ทั่วเจียงโจวและฉู่โจว และนำพระมเหสีกลับมา?”
ชายคนนั้นไม่ได้พยักหน้าหรือคัดค้าน เขาเอ่ย “มีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง