“เจ้ารู้กระบวนการคลี่คลายคดีหรือไม่” สวี่ชีอันเริ่มต้นด้วยเรื่องที่เขาถนัด
“สำรวจที่เกิดเหตุ รวบรวมเบาะแส จากนั้นตั้งสมมติฐานให้ชัดเจนและตรวจสอบอย่างรอบคอบ ค่อยๆ คลี่คลายปริศนาและค้นหาความจริง”
แสงเทียนริบหรี่พลิ้วไหวสะท้อนให้เห็นสีหน้างุนงงของอารองสวี่
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วครุ่นคิด
สวี่ชีอันพูดอย่างฉะฉาน “ลองคิดดู หากพวกเราไม่ใช้แผนของโจวลี่ ทว่าให้สังเกตการณ์โจวลี่แทน เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล สรุปทุกอย่างเข้าด้วยกันและวางแผนอย่างรอบคอบ จากนั้นจึงค่อยพิจารณากระบวนการอย่างถี่ถ้วนถึงความน่าจะเป็นของแผนการ”
คำพูดของเขาฟังดูชัดเจนและแม่นยำ ทำให้สวี่เอ้อร์หลางพูดไม่ออก เขาจึงเห็นพ้องกับความคิดอันเที่ยงตรงของพี่ใหญ่
‘หนิงเยี่ยนยังคงเป็นเด็กที่มีไหวพริบและไว้ใจได้…’ สวี่ผิงจื้อรู้สึกภูมิใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเคยกังวลว่าหลายชายของเขานั้นหัวรั้นเกินไปจนอาจเป็นเหตุทำให้เสียอนาคตได้
เมื่อทุกคนเห็นพ้องตรงกัน สวี่ชีอันจึงกล่าวต่อ “ฉือจิ้ว เจ้าได้เป็นข้าราชการกิตติศัพท์ ซึ่งสามารถเข้ารับการศึกษาเป็นบัณฑิตและเรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นข้าราชการ เช่นนั้นเจ้าจงไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากโจวลี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ห้ามทำพลาดเด็ดขาด”
“อารอง จวนสกุลโจวตั้งอยู่ภายในตัวเมืองชั้นใน ตามเวลาปกติจะมีกองดาบรับผิดชอบการลาดตระเวนยามราตรีของเมืองชั้นในและชั้นนอก ท่านมีหน้าที่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของจวนสกุลโจว และอย่าได้ไปคนเดียว จงหาคู่หูที่ไว้ใจได้เพื่อไปช่วยสังเกตการณ์”
“ในหนึ่งวันโจวลี่ไปที่ใด ทำอะไร ติดต่อกับใครบ้าง คือทั้งหมดที่ข้าอยากรู้”
สองพ่อลูกพยักหน้ารับ ทันใดนั้นเองเขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และจ้องไปยังสวี่ชีอัน “แล้วเจ้าเล่า”
สวี่ชีอันยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าต้องหาทางออกให้สกุลสวี่ ฉือจิ้ว เราค่อยหารือรายละเอียดกันทีหลัง ทว่าข้าขออะไรเจ้าสักอย่าง คืนนี้ข้าคงต้องค้างที่ห้องเจ้าเสียแล้ว”
…
‘ติ๊กๆ…’
เสียงน้ำรั่วดังอยู่ในห้องอันเงียบสงัด
“พี่ใหญ่ ท่านหลับแล้วหรือ”
“ยังไม่หลับ”
“อือ”
…
“พี่ใหญ่ ท่านหลับแล้วหรือยัง”
“ยังไม่หลับ”
“อือ”
…
“พี่ใหญ่ ท่านแทงข้าอยู่…”
สวี่ชีอันผงะเมื่อได้ยินสวี่ซินเหนียนกล่าว “เก็บข้อศอกของท่านหน่อย”
“โอ้…”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ทำให้ได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน จากนั้นสวี่ชีอันจึงถามขึ้น
“เจ้านอนไม่หลับหรือ”
สวี่ซินเหนียนกล่าวตอบ “อืม ไม่ชินเท่าไร”
ข้าก็เช่นกัน… สวี่ชีอันกล่าวอย่างโศกเศร้า
“นานแค่ไหนแล้วที่พวกเราไม่ได้ล้มตัวลงนอนและผล็อยหลับไปด้วยกัน”
สวี่ซินเหนียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“หลังจากที่ท่านอายุสิบขวบ แต่ละปีต้องใช้เงินหนึ่งร้อยตำลึงไปกับการฝึกฝนวิทยายุทธ หลังจากที่เรื่องเกิดขัดแย้งกันระหว่างท่านกับแม่ของข้า พวกเราจึงกลายเป็นแค่คนแปลกหน้า”
ข้าคิดว่าเจ้าจะพูดประโยคที่เย่อหยิ่งออกมา เช่น พวกเรายังไม่เคยนอนด้วยกันมาก่อน…ทว่าตอนนี้เราได้นอนด้วยกันแล้ว หากเป็นหลิงเยวี่ยคงไม่มีทางเป็นไปได้… ความทรงจำในวัยเยาว์ของเจ้าของร่างเดิมปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่งในหัวเขา สวี่ชีอันจึงถอนหายใจ
“อันที่จริงข้าไม่ได้โทษท่านป้าหรอก เป็นเพราะกองดาบไม่อาจรับภารกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมายได้ อารองจึงต้องทำงานหนักเพียงเพื่อเพิ่มเงินเดือนของข้าราชการแค่ปีละสองร้อยตำลึงเท่านั้น ครึ่งหนึ่งเพื่อนำมาดูแลข้า อีกครึ่งหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของพวกเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องอันเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้ท่านป้าเกิดความคับข้องใจ”
สวี่ซินเหนียนจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“หากวิกฤตนี้ยังไม่จบสิ้น บ้านสกุลสวี่อาจถึงกาลอวสานอย่างแท้จริง”
หากไม่อาจล้มรองเจ้ากรมโจวได้ ภายหลังของการตรวจสอบข้าราชสำนักอาจเป็นเวลาแห่งความพินาศที่จะบังเกิดขึ้นกับสกุลสวี่
“ข้าจะจัดการเส้นทางด้านหลังให้เอง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าหลังจากการตรวจสอบข้าราชสำนัก ครอบครัวของเราจะออกจากเมืองหลวง ข้ากับท่านอารองมีทักษะอันยอดเยี่ยม ดังนั้นไม่ว่าจะไปอยู่หนใดพวกเจ้าอย่าได้เป็นกังวลเรื่องทำมาหากิน” สวี่ชีอันกล่าวอย่างเศร้าใจ
“ทว่าเอ้อร์หลาง ตลอดสิบปีที่ผ่านมาเจ้าศึกษาเล่าเรียนมาอย่างหนัก จึงทำให้สอบเป็นจวี่เหรินได้”
สวี่ซินเหนียนกล่าว
“โอ้ ชื่อเสียงและลาภยศได้หมดสิ้นไป ข้าคือปัญญาชน ข้าอ่านหนังสือของปราชญ์และเรียนรู้วิถีของปราชญ์ ข้าไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมอย่างการมีชื่อเสียงหรอก”
สวี่ชีอันเห็นด้วยอย่างมากพร้อมกล่าว “หากฟ้าไม่สร้างข้าสวี่ซินเหนียน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน”
‘ข้าอยากเลิกเป็นเพื่อนกับเจ้า’ สวี่ซินเหนียนหายใจถี่ออกมา และทันใดนั้นเขาจึงม้วนตัวออกจากที่นอนและแสร้งหลับอย่างเงียบๆ
“นี่ ฉือจิ้ว แบ่งผ้าห่มให้ข้าบ้าง นี่มันวันเพ็ญเดือนสิบสองของฤดูหนาว ถึงแม้ว่าพี่ใหญ่จะเป็นระดับหลอมจิต แต่ร่างกายยังคงไม่อาจทนต่อความหนาวเหน็บได้”
สวี่ฉือจิ้วขดตัวและห่อผ้าห่มไว้แน่นอย่างไม่แยแส
…
ณ ห้องของสวี่หลิงเยวี่ย เมื่อเปลวไฟยามราตรีดับลง ควันของคาร์บอนไดออกไซด์ภายในห้องจึงทำให้อากาศดูขุ่นมัว
หน้าต่างที่มีรอยแตกถูกเปิดออกเพื่อส่งผ่านอากาศอันบริสุทธิ์เข้าสู่ภายในห้อง
ใบหน้าขาวนวลอันงดงามของสวี่หลิงเยวี่ยบวกกับขนตาสั้นๆ ที่สั่นไหวคล้ายกับพู่กันเล็กๆ นางตื่นและลืมตาขึ้นพร้อมกับจับจ้องไปยังผ้าม่านเหนือศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง และเพียงไม่กี่วินาทีดวงตางัวเงียก็ฟื้นคืนสภาพสู่การมองเห็น นางพยุงร่างลุกขึ้นนั่ง
พร้อมกับยืดเอวบิดขี้เกียจจนทำให้ผ้าห่มผืนหนาเลื่อนหลุด เผยให้เห็นเสื้อสีขาวซีดที่คลุมเรือนร่างของสาวน้อยไว้อยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง