ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 37

เมืองหลวงมีทิวทัศน์อันงดงามและเต็มไปด้วยแผงขายอาหารเช้าอยู่บนถนนทุกหนทุกแห่ง สวี่ชีอันแวะซื้ออาหารและเสื้อผ้าที่แผงขายอาหารเช้าซึ่งอยู่ห่างจากถนนที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอไปสองสาย

เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนร่างผอมผิวคล้ำ แต่งกายด้วยผ้ากันเปื้อนสีดำและยิ้มอย่างอ่อนน้อมให้กับทุกคนที่ผ่านไปมา

ฝีมือไม่เลว สวี่ชีอันพอใจกับอาหาร เสียอย่างเดียวคือผู้คนในเมืองต้าฟ่งชื่นชอบขนมหวาน ส่วนน้ำเต้าหู้ไม่มีอะไรนอกจากเป็นเต้าหู้อ่อนซึ่งให้ความหวานได้เช่นกัน

สวี่ชีอันไม่ได้วางแผนที่จะอุทิศตัวเองเพื่อความสมบูรณ์ในเมืองนอกรีตแห่งนี้ เขาบอกเจ้าของแผงลอยว่าไม่ใส่น้ำตาล แต่ใส่ซีอิ๊ว น้ำมันหมู หัวหอมและกระเทียมสับแทน

นอกจากนี้ยังมีปาท่องโก๋สี่ตัว ซาลาเปาเนื้อหกลูก หมั่นโถวสองลูก โจ๊กหนึ่งถ้วยและเครื่องเคียงอีกสามจาน

หลังจากทานเสร็จสวี่ชีอันกำลังเตรียมจะจ่ายเงิน

“นายท่าน ท่านช่างเป็นคนสุภาพอ่อนน้อม โชคดีของข้าที่ท่านมาทานอาหารเช้าถึงที่นี่” เจ้าของร้านมองไปที่สวี่ชีอันและปฏิเสธที่จะรับเงิน

เขากวาดตามองดูจานเปล่าที่สวี่ชีอันทิ้งไว้ นัยน์ตาสะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ใจ

“ไม่รับเงินจริงๆ หรือ”

เจ้าของร้านกลืนน้ำลายอึกใหญ่ที่เห็นสวี่ชีอันทานอาหารมื้อเช้าเกลี้ยงในปริมาณสำหรับสี่ถึงห้าคน เดิมทีก็เป็นเพียงธุรกิจขนาดเล็กในการหาเลี้ยงชีพ เขาทำงานหนักตั้งแต่เช้ายันค่ำจนแทบจะไม่หยุดพัก ทว่าไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยขอ…ไม่กล้าจริงๆ

“ไม่ต้องๆ จะเก็บเงินจากท่านได้อย่างไร” เจ้าของร้านรู้ทันใดว่าเขากำลังถูกสังคมกดขี่เอารัดเอาเปรียบอยู่

“อืม ข้าขอนั่งย่อยอาหารสักครู่ เจ้าไปเถิด อย่ารบกวนข้า” สวี่ชีอันโบกมือให้เจ้าของร้านรีบเดินออกไป

เจ้าของร้านรับคำและเดินออกไป

“ระบบทุจริตของราชวงศ์ต้าฟ่งสะสมมาเป็นเวลานาน หากผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขเป็นลำดับแรก ชีวิตของประชาชนก็จะไม่มีวันดีขึ้น”

สวี่ชีอันมองไปยังร่างของเจ้าของร้านที่กำลังวุ่นวายอยู่ เขายังจดจำแววตาอันแสนเจ็บปวดและไม่กล้าเรียกร้องแม้แต่เงิน เปรียบเสมือนขอทานน่าสมเพช

“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสามัญชนมากที่สุดคือบุคคลที่มีฐานะและยศถาบรรดาศักดิ์มักมองข้ามเหล่าบรรดาคนชั้นสามัญ”

เขาหยิบสิบเหรียญเงินออกมาจากกระเป๋ากองไว้บนโต๊ะและเดินจากไปอย่างเงียบๆ

“ในที่สุดก็จากไป…” เจ้าของร้านถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเดินมาเก็บจานกับตะเกียบอย่างเหงาหงอย

‘ซวยจริงๆ!’ เขาคิดอย่างหงุดหงิด

เมื่อมาถึงที่โต๊ะเจ้าของร้านจึงตกตะลึงกับแผ่นทองแดงกองหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ ทว่ามือปราบท่านนี้ไม่เพียงแค่จ่ายเงิน เขายังจ่ายให้เยอะกว่าที่ควร เจ้าของร้านจึงรีบก้าวออกไปเพียงไม่กี่ก้าวเพื่อมองดูชุดข้าราชการที่ปรากฏขึ้นอยู่ท่ามกลางฝูงชนซึ่งเดินห่างออกไปไกลแล้ว

เขาอ้าปากค้างเหมือนลำคอถูกอะไรบางอย่างขวางไว้

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาได้พบกับเจ้าหน้าที่ที่ให้เงินค่าอาหาร

หลังจากที่สวี่ชีอันประชุมศาลเสร็จ เขาไปพบนายอำเภอจูที่ห้องโถงด้านหลังเพื่อขออนุญาตลาพัก และเหล่าจูก็ตอบอนุญาตอย่างรวดเร็ว

เขาจึงรีบกลับไปยังจวนสกุลสวี่ ผลักประตูห้องเอ้อร์หลางออก พี่น้องทั้งคู่พยักหน้าพร้อมกันเป็นนัยๆ สวี่เอ้อร์หลางหยิบชุดคลุมปัญญาชนของลัทธิขงจื๊อสีขาวพระจันทร์ที่เตรียมไว้ออกมา ซึ่งคลุมด้วยผ้าลวดลายเมฆสีเทาอ่อน

สวี่ชีอันเหลือบมองไปยังเสื้อคลุมสีฟ้าที่ตัดด้วยลวดลายสีเข้มบนร่างของน้องชายคนรองพร้อมกับกล่าวชี้แนะ

“เอ้อร์หลาง เจ้าใส่ชุดนี้แล้วดูดียิ่งนัก เรามาแลกกันเถอะ”

สวี่ซินเหนียนหัวเราะเยาะแสดงให้เห็นว่า ‘เจ้ากำลังฝันกลางวันอยู่’

สำหรับผู้ฝึกวิทยายุทธในระบอบลัทธิเต๋า เสื้อผ้าของปัญญาชนลัทธิขงจื๊อคงดูไม่เหมาะกับร่างกายอันกำยำล่ำสันสักเท่าไร เพราะนั่นจะทำให้เสื้อผ้าของปัญญาชนลัทธิขงจื๊อดูเล็กไปอีก

รวมถึงสุนทรียศาสตร์ของปัญญาชนคือ แขนเสื้อทั้งสองข้างต้องพลิ้วไสวโบกสะบัด

พี่น้องทั้งสองออกจากจวนสกุลสวี่และใช้เงินไปสามตำลึงเพื่อซื้อม้าหวงเปียว[1]คู่หนึ่ง จากนั้นจึงรีบออกจากเมืองหลวงไปอย่างรวดเร็ว

จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือภูเขาชิงหยุน ซึ่งอยู่ห่างจากเขตชานเมืองของเมืองหลวงออกไปหกสิบลี้ และมีสำนักศึกษาตั้งอยู่บนภูเขาแห่งนี้ นั่นคือสำนักอวิ๋นลู่ที่มีชื่อเสียงระดับโลก!

เดิมทีภูเขาแห่งนี้ไม่ถูกเรียกว่าภูเขาชิงหยุน ทว่าชื่อเฉพาะของมันถูกลืมเลือน เนื่องจากสำนักอวิ๋นลู่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ สำนักศึกษาเลื่องชื่อไร้ที่สิ้นสุด ชื่อเสียงทะยานไปสู่ฟากฟ้าโดยรอบ จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ภูเขาชิงหยุน’

ม้าของทั้งสองวิ่งเคียงข้างกันไปบนถนนสายหลัก หนึ่งชั่วโมงผ่านไป สวี่ชีอันมองออกไปไกลๆ เขาเห็นเส้นขอบของภูเขาชิงหยุนกับตึกอาคารเรียนเล็กๆ

“ฉือจิ้ว พี่สงสัยมาตลอด”

สวี่ชีอันลดความเร็วของม้าลง จากนั้นญาติผู้น้องจึงคุมบังเหียนม้าเอาไว้ ม้าทั้งคู่ที่กำลังวิ่งอย่างเร็วอยู่จึงเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ แทน

“เจ้าว่านักปราชญ์คือระดับหนึ่งหรือไม่”

เขาอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมากเกี่ยวกับระบบหลักๆ ของโลกนี้ ทว่าน่าเสียดายที่ยังขาดวิธีในการทำความเข้าใจกับมัน

สวี่ซินเหนียนลูบคางอย่างภูมิใจ “เจ้าคิดว่าข้ารู้งั้นหรือ”

หากเจ้าไม่รู้ก็แค่ไม่รู้ ทำไมต้องทำท่าทางภูมิใจเช่นนั้น… สวี่ชีอันกลอกตาและกล่าวต่อ

“เช่นนั้นนักปราชญ์มีชีวิตอยู่นานแค่ไหน เจ้าพอจะรู้หรือไม่”

สวี่ซินเหนียนพยักหน้า “สิริอายุได้แปดสิบสองปี”

นักปราชญ์ผู้สูงศักดิ์ ผู้บุกเบิกลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นระดับหนึ่ง ทว่าก็คงว่าไม่เลว เขามีชีวิตอยู่เพียงแปดสิบสองปีเท่านั้นหรือ ก็ยังถือว่าอายุยืนสำหรับคนธรรมดาในยุคนี้ แต่ค่าพลังในโลกจอมยุทธมันไม่ธรรมดานี่นา แม้แต่นักปราชญ์ก็อายุสั้นงั้นหรือ

อืม ข้าไม่อาจด่วนสรุปในขณะที่ยังไม่รู้ข้อมูลที่เพียงพอ…

“สำนักอวิ๋นลู่ไม่รับคนนอก นี่คือกฎ แม้แต่ข้ายังไม่อาจทำให้ท่านอาจารย์เห็นพ้องได้” สวี่ซินเหนียนกล่าว “พี่ใหญ่แน่ใจหรือ”

สวี่ชีอันส่ายหัว “ขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้ใด”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง