ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 361

บทที่ 361 ข้าชอบเขามาก

หลังรับประทานอาหารกลางวันแล้ว พระมเหสีคุกเข่านั่งลงข้างลำธาร เอียงศีรษะและหวีผมอย่างระมัดระวัง

ร่างของพระมเหสีที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำดูพร่ามัว เพราะพร่ามัว ความงามของนางจึงเลือนรางมาก แต่ความงามซึ่งเป็นเอกลักษณ์นั้นก็ยังเป็นของพระมเหสี

ดวงตาใสเป็นประกายล่องลอยไปยังทิศตรงข้ามและชำเลืองมองสวี่ชีอันที่นั่งสมาธิอยู่ใต้ร่มไม้ ความรู้สึกแปลกประหลาดวิ่งพล่านอยู่ในจิตใจ นางรู้สึกราวกับเขาเป็นเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมาหลายปี

เห็นได้ชัดว่าในตอนแรกตนเองก็เกลียดเขามาก ทั้งหยิบถุงหอมไปไม่คืน หยิบถุงเงินไปก็ไม่คืน แล้วยังเหยียบเท้านางอีก…

แต่หลังจากเปิดใจเมื่อสักครู่ พระมเหสีก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในอนาคต นางไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันเลย ถึงอย่างไรนางก็ยอมรับชะตากรรมของตนเองตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว

หากไม่ยอมรับชะตากรรมแล้วจะทำอย่างไรได้ นางเป็นแค่หญิงสาวที่เห็นแมลงก็กรีดร้องจ้าละหวั่น เห็นม่านเตียงสั่นไหวก็มุดตัวเข้าไปในผ้าห่มด้วยความขี้ขลาด นางจะต่อสู้กับจักรพรรดิของแผ่นดินและองค์ชายด้วยความอาจหาญได้จริงหรือ?

ตอนนี้พระมเหสียังไม่รู้ว่าในอนาคตชะตากรรมของตนเองจะเป็นอย่างไร แต่ไม่รู้ทำไม นางกลับรู้สึกปลอดภัยมากกว่าเมื่อเทียบกับอยู่ในจวนของไหวอ๋อง

“เฮ้อ ข้าคือต้นตอของปัญหาแท้ๆ” พระมเหสีทอดถอนใจด้วยความระอา

หญิงงามล้วนหยิ่งยโส ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง

ภายใต้ร่มไม้ สวี่ชีอันสื่อสารกับไต้ซือเสินซูในใจผ่านการทำสมาธิและภาพนิมิต เขาฉกฉวยแก่นโลหิตของยอดฝีมือขั้นสี่มาได้ สัญญาณเชื่อมต่อของไต้ซือเสินซูจึงเสถียรขึ้นมาก เรียกไม่กี่ครั้งก็สามารถเชื่อมต่อกันได้แล้ว

“ไต้ซือ ท่านทราบเรื่องที่อ๋องสยบแดนเหนือคิดจะกบฏแล้วใช่หรือไม่” สวี่ชีอันพูดตรงเข้าประเด็นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องโลกภายนอกตลอดเวลา อันที่จริง ข้าไม่เคยสนใจโลกภายนอกเลยต่างหาก” หลังจากตกอยู่ในความเงียบไม่กี่วินาที ไต้ซือเสินซูก็กล่าวขึ้นมา

เอ๋? คำตอบของท่านไม่มีความเป็นยอดฝีมือเลยสักนิด…

สวี่ชีอันถ่ายทอดข่าวสารเกี่ยวกับสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ให้กับไต้ซือเสินซู ก่อนจะลองถามหยั่งเชิงว่า

“ไต้ซือ ท่านสนใจแก่นโลหิตที่สมบูรณ์แบบของการปะทะกันระหว่างอ๋องสยบแดนเหนือและยอดฝีมือขั้นสามหรือไม่? นอกจากนี้ ข้ายังมีอีกคำถาม อ๋องสยบแดนเหนือต้องการวิญญาณของพระมเหสี ทั้งสังหารเลือดหมู่สามพันลี้อีก นี่หมายความว่าเขาต้องการวิญญาณและแก่นโลหิตของพระมเหสีใช่หรือไม่ ทั้งสองอย่างนี้รวมกันแล้วจะมีอานุภาพมากขึ้นรึ?”

สวี่ชีอันกล้าเดิมพันว่าไต้ซือเสินซูต้องสนใจอย่างแน่นอน เขาไม่ยอมปล่อยให้ยาบำรุงแก่นโลหิตนี้ผ่านไปอยู่แล้ว เขาจึงกล้าประกาศศักดา กระทั่งมีความคิดที่จะฆ่าอ๋องสยบแดนเหนืออย่างแรงกล้า

แต่คำตอบของเขาคือความเงียบ…

“ไต้ซือ ไต้ซือ?”

สวี่ชีอันตะโกนอยู่ในใจหลายครั้งก่อนที่จะได้รับคำตอบจากไต้ซือเสินซู “เมื่อครู่ข้ากำลังคิดอะไรบางอย่าง”

นึกว่าท่านไม่มีสัญญาณอีกเสียแล้ว…

สวี่ชีอันจึงคว้าโอกาสถามว่า “เรื่องอะไรรึ?”

ไต้ซือเสินซูไม่ตอบ แต่กลับพูดอย่างฉะฉานว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดระบบทหารถึงเป็นเส้นทางที่ยากและไม่เหมือนระบบอื่นๆ เพราะระบบทหารเป็นระบบที่เห็นแก่ตัว ยึดเอาทุกสิ่งที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเองและใช้มันเพื่อประโยชน์ของตนเอง มุ่งเน้นในการสร้างร่างกาย พละกำลังและจิตวิญญาณ ไม่แปลกที่อ๋องสยบแดนเหนือแห่งอาณาจักรต้าฟ่งทำการสังหารหมู่ เพื่อฉกฉวยเอาแก่นแท้ชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่ว่า…”

สิ่งนี้สอดคล้องกับพฤติกรรมของไต้ซือเสินซูที่กลืนกินแก่นโลหิตเพื่อเติมเต็มตนเอง…

สวี่ชีอันถามอย่างรวดเร็ว “เพียงแต่อะไรรึ?”

ไต้ซือเสินซูเงียบลงครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “อย่างน้อยก็มีชีวิตนับแสนที่ต้องถูกสังเวย”

สวี่ชีอันหยุดนิ่งราวกับรูปปั้นก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักแน่น กล้ามเนื้อแก้มกระตุกเล็กน้อย เส้นเลือดสีน้ำเงินบนหน้าผากปูดโปน

‘ฟู่…’

เขาหายใจออกเฮือกใหญ่เพื่อสงบอารมณ์ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “แทนที่จะสังหารประชาชนตาดำๆ ทำไมไม่เปิดฉากทำสงครามโต้งๆ ไปเลยเล่า”

ไต้ซือเสินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “มันไม่ง่ายดายเช่นนั้น ยอดฝีมือขั้นสามเป็นบุคคลพิเศษ หากต้องการเติมเต็มตนเองให้สมบูรณ์ผ่านการยึดเอาแก่นแท้ชีวิตของคนธรรมดา ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแก่นโลหิตของคนธรรมดาเหล่านั้นด้วย

“ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องการเวลาในการกลั่น และชำระแก่นโลหิตให้บริสุทธิ์ เพื่อบรรลุผลตามที่คาดหวังถึงจะฉกฉวยมาได้อย่างสมบูรณ์”

พูดตามตรงก็คือ ยิ่งมีปริมาณมากก็ยิ่งมีอานุภาพมากขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้แก่นโลหิตของชีวิตคนนับแสน…

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว กล่าวพึมพำ “เช่นนั้นสงครามจึงไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ควรจะเป็น เพราะศัตรูไม่ได้ให้เวลาเขาในการกลั่นแก่นโลหิต และแน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ย่อมต้องดำเนินการอย่างลับๆ”

นี่สามารถอธิบายได้แล้วว่า เหตุใดอ๋องสยบแดนเหนือจึงไม่กลั่นแก่นโลหิตผ่านการทำสงคราม เพราะในช่วงสงคราม สายลับของทั้งสองฝ่ายต่างทำงานอย่างแข็งขันในการเคลื่อนย้ายศพจำนวนมากในการกลั่นแก่นโลหิต ซึ่งการทำเช่นนี้ยากต่อการปิดบังจากศัตรู

ดังนั้นอ๋องสยบแดนเหนือจึงสังหารประชาชนคนธรรมดาอย่างลับๆ เพื่อสกัดแก่นโลหิตให้บริสุทธิ์ แต่ไม่รู้ทำไมถึงถูกกลุ่มโหรลึกลับมองทะลุปรุโปร่งและขายข้อมูลให้กับเผ่าคนเถื่อน ดังนั้นถึงมีสงครามสายลับในตอนนี้ใช่หรือไม่?

ไต้ซือเสินซูกล่าวต่อไปว่า “ข้าลองเข้าร่วมได้ แต่เกรงว่าคงไม่มีทางตัดหัวอ๋องสยบแดนเหนือได้”

สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น “แม้แต่ท่านก็ไม่มีโอกาสชนะรึ”

ไต้ซือเสินซูแค่นหัวเราะ ‘หึ’ ในลำคอ “ในเมื่อเขามีความมั่นใจว่าจะเลื่อนไปถึงขั้นสอง นั่นชัดเจนว่าตัวเองไม่ใช่ขั้นสามทั่วไป และห่างจากความสมบูรณ์แบบเพียงแค่หนึ่งก้าวเท่านั้น สถานการณ์ปัจจุบัน อย่างมากก็ทำได้เพียงต่อสู้และเป็นการยากที่จะเอาชนะเขา นับประสาอะไรกับตัดหัว? ยอดฝีมือขั้นสามนั้นยากที่จะฆ่าให้ตาย”

“แต่ท่านยังเคยเอาชนะซากศพที่อยู่ขั้นสองในสุสานโบราณได้เลย”

“นั่นเป็นเพียงซากศพที่ตายไปแล้ว นอกจากนี้ สิ่งที่ทรงพลังที่สุดในลัทธิเต๋าก็คือวรยุทธ์ และพวกมันไม่สามารถใช้ได้”

เช่นนั้นท่านและซากศพโบราณต่างก็เป็นเสือที่ออกจากถ้ำและถูกสุนัขรังแก ตัวหนึ่งไม่มีตา ตัวหนึ่งไม่มีหาง ขึ้นอยู่กับว่าใครพิการรุนแรงกว่ากัน…

สวี่ชีอันแทบจะปิดหน้า

ในตอนท้ายของการสนทนา สวีชีอันกำลังครุ่นคิดว่าตนเองจะทำอย่างไรต่อไป

เมื่อรู้ว่าไต้ซือเสินซูช่วยไม่ได้เช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงเปลี่ยนกลยุทธ์และเปลี่ยนเป้าหมายจาก ‘ตัดหัวอ๋องสยบแดนเหนือ’ ไปเป็น ‘ทำลายการเลื่อนขั้นของอ๋องสยบแดนเหนือ’ แทน

หนึ่ง หาที่เกิดเหตุให้พบ สถานที่ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะใช้ในการกลั่นแก่นโลหิตที่นั่น หาที่นั่นให้พบ หยุดยั้งเขาและทำลายคุณงามความดีของเขาเสีย

สอง เขาจำเป็นต้องปกปิดสถานะของตนเอง ไม่สามารถให้อ๋องสยบแดนเหนือค้นพบว่าชายผู้มีพลังอันยิ่งใหญ่เมื่อคืนนี้คือสวี่อวิ๋นหลัวแห่งต้าฟ่ง

สาม ควรจะจัดการกับพระมเหสีอย่างไร?

เบาะแสแรกคือเขตซีโข่ว ไปดูที่นั่นก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว เพราะไม่รู้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะทำสำเร็จเมื่อใด ไม่สามารถดึงเวลาได้อีกต่อไป

ดังนั้นระหว่างทางจึงต้องแบกพระมเหสีต่อไป พระมเหสีนาง…คิดไม่ถึงว่าจะใจกว้างเช่นนี้ เอ้อร์ซูไม่ได้หลอกข้าจริงๆ

สำหรับประการที่สอง แล้วจะปกปิดสถานะได้อย่างไร? แน่นอนว่าไม่สามารถแสดงร่างทองได้ ถึงแม้นี่จะเป็นเคล็ดวิชาของสำนักพุทธ แต่ก็เกรงว่าจะมีจอมยุทธ์ภิกษุที่มีเคล็ดวิชานี้อยู่น้อยนัก เช่นนั้นจึงยังปลอดภัยไม่พอ

สวี่อวิ๋นหลัวอยู่ในระดับเพชรไร้พ่าย สวี่อวิ๋นหลัวลักลอบเข้าไปแดนเหนืออย่างแนบเนียนและไม่อยู่ในเขตที่ต้องถูกตรวจสอบอีกต่อไป

ตราบใดที่มีข้อสงสัยเพียงเล็กน้อย อ๋องสยบแดนเหนือก็จะทำการตรวจสอบทันที ห้ามสบประมาทสติปัญญาของผู้อื่นโดยเด็ดขาด และอย่าดำเนินการด้วยความเสี่ยง

“โชคดีที่ไต้ซือเสินซูยังมีชุดสกิน นั่นก็คือร่างที่เป็นอมตะ นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยแสดงให้ผู้อื่นเห็นมาก่อน ดังนั้นจึงไม่มีใครสงสัยในตัวข้า อืม…ท่านโหราจารย์รู้ เผ่าปีศาจที่นำไต้ซือเสินซูมาสถิตไว้ในตัวข้าก็รู้ กลุ่มโหรลึกลับก็รู้ดี แต่พวกเขาล้วนคิดกบฏต่อข้า ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่สุกงอมจึงไม่สามารถรีบเปิดตาของข้าได้ แต่ก็ไม่ถูก กลุ่มโหรลึกลับน่าจะพยายามเปิดตาข้า แต่ก่อนหน้านั้น พวกเขาต้องคิดหาทางชำระล้างไต้ซือเสินซูก่อน อืม…ข้าจึงปลอดภัยอยู่”

อย่างไรข้าก็ไม่สามารถใช้ใบหน้านี้ได้แล้ว ใบหน้านี้ไม่ใช่สิ่งที่เอ้อร์หลางสามารถยอมรับได้ในวัยนี้ แต่หน้ากากผิวมนุษย์ใช้การไม่ได้อย่างแน่นอน ถูกตีเพียงครั้งเดียวก็หลุดออกมาแล้ว เทคนิคปลอมตัว ‘ปิดบังสวรรค์ข้ามทะเล’ ของข้าก็ยังไม่สมบูรณ์ ข้าทำได้เพียงเลียนแบบคนที่คุ้นเคยที่สุดเท่านั้น อย่างเช่น เอ้อร์หลาง อารอง อาสะใภ้ หลิงเยวี่ย เว่ยเยวียนและสวี่หลิงอิน

สู้เปลี่ยนร่างไปเป็นเสี่ยวโต้วติงดีกว่า ให้อ๋องสยบแดนเหนือได้เปิดหูเปิดตาเห็นความเก่งกาจของระดับเพชรที่แข็งแกร่ง ฮ่าๆๆ…

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง