ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 362

บทที่ 362 กองทัพปีศาจข้ามพรมแดน

หญิงงามในชุดขาวเผยรอยยิ้มจูงใจ “เจ้าลองหาดูก่อนก็ได้ ว่าสถานที่ซึ่งอ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารเลือดหมู่สามพันลี้อยู่ที่ใด”

ชายที่มีใบหน้าพร่ามัวส่ายศีรษะ กล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ข้าเดินทางไปทั่วฉู่โจวเพื่อประเมินชะตากรรม แต่ข้ากลับไม่พบสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารหมู่ แต่ความลับสวรรค์บอกข้าว่ามันอยู่ที่ฉู่โจว”

ผู้หญิงในชุดขาวยับยั้งท่าทีอันทรงเสน่ห์ เรียวคิ้วที่ทั้งตรงและยาวย่นเข้าหากันเล็กน้อย กล่าวอย่างไตร่ตรองว่า

“สิ่งที่เขากำลังแข่งกับเราคือเวลา เมื่อกลั่นแก่นโลหิตสำเร็จ ต่อให้พวกเราคิดจะหยุดเขาก็ไม่สามารถทำได้แล้ว ถึงเวลานั้น มีเพียงการสังหารมู่หนานจือเท่านั้นถึงจะสามารถหยุดการเลื่อนขั้นระดับสองของอ๋องสยบแดนเหนือได้ แต่มู่หนานจืออยู่กับเด็กหนุ่มคนนั้น หากต้องการฆ่า โหรอย่างพวกเจ้าก็ลงมือเองเถอะ”

เหอะๆ การถูกคนที่มีโชคชะตาเหนือกว่าแค้นเคือง ช่างเป็นชะตากรรมที่โหดร้ายเสียจริง

“จริงสิ เจ้าบอกว่าท่านโหราจารย์รู้แผนการของอ๋องสยบแดนเหนือใช่หรือไม่? ถ้ารู้ เหตุใดเขาจึงไม่คิดแยแส? จู่ๆ ข้าก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าที่มู่หนานจืออยู่กับสวี่ชีอัน เป็นเพราะท่านโหราจารย์แอบจุดไฟเติมเชื้อเพลิง”

ชายชุดขาวแค่นหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าเดาต่อไปได้ รอให้เจ้าเดาแผนการของเขาออกและความลับสวรรค์รู้สึกซาบซึ้ง ท่านโหราจารย์ก็จะมา ข้ามีวิธีที่จะหนีพ้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับเจ้า คงไม่ต้องการหางจิ้งจอกนี้แล้วกระมัง”

ผู้หญิงในชุดขาวมีท่าทีหวาดกลัวตามคาด ทั้งที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านโหราจารย์มากมายนัก

“สามวัน ภายในสามวันต้องหาสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารหมู่ให้เจอ มิเช่นนั้นทั้งหมดจะกลายเป็นข้อสรุปที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้” ผู้หญิงในชุดขาวกล่าวพึมพำ

“ข้ามีความคิดหนึ่ง”

โหรผู้ไม่เปิดเผยรูปลักษณ์ทอดสายตามองภูเขาและแม่น้ำที่อยู่ไกลออกไป กล่าวต่อจากคำพูดของนาง “สวี่ชีอันรึ?”

“ทั้งใช่และไม่ใช่” นางกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยพลางลูบขนนุ่มของจิ้งจอกขาวหกหาง แล้วกล่าวว่า

“เจ้าคิดว่าโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ของสวี่ชีอันจะสามารถนำทางพวกเราได้ นี่คือลู่ทางของความคิดที่แท้จริง แต่ความคิดของข้า คือดูเหมือนทุกคนล้วนละเลยเว่ยเยวียน เขาเป็นนักวางแผนคนเดียวที่สามารถแข่งขันและเสมอกับท่านโหราจารย์บนกระดานหมากรุกได้ เหตุใดพวกเราถึงไม่จับตามองคณะทูตล่ะ”

ชายชุดขาวทอดถอนใจ “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเขาสามารถแข่งขันและเสมอกับท่านโหราจารย์ ก็ควรรู้ว่าคณะทูตเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ข้าไม่เคยดูถูกเว่ยเยวียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าแค่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับทัศนคติของเขาในเรื่องนี้

“เว่ยเยวียนเป็นบุคคลที่มีความสามารถของอาณาจักร ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก เขามองปัญหาโดยไม่พิจารณาในแง่ของความดีและความชั่วธรรมดาๆ หากอ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนขั้นระดับสอง แดนเหนือของต้าฟ่งก็จะไม่มีเรื่องให้กังวลใจอีกต่อไป เพราะแม้แต่เผ่าคนเถื่อนที่โหดเหี้ยมก็ยังหายใจไม่ทัน

“หลายปีที่ผ่านมาเว่ยเยวียนทั้งต่อสู้ในท้องพระโรง ทั้งบำรุงซ่อมแซมอาณาจักรที่อ่อนแอขึ้นทุกวัน เขาน่าจะคาดหวังที่จะได้เห็นอ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนระดับขึ้น

“แต่ทุกสิ่งที่อ๋องสยบแดนเหนือทำกระทบไปถึงหนอนบ่อนไส้ ไม่รู่ว่าเว่ยชิงอียินยอมพร้อมใจ หรือกำลังแอบแทงข้างหลังอ๋องสยบแดนเหนือกันแน่ หึ เกรงว่ากระทั่งอ๋องสยบแดนเหนือเองก็ยังไม่แน่ใจ”

เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว โหรในชุดขาวก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความระอา “ตอนนี้ไอ้โง่นั่นก็ยังมุ่งหน้าไปทางตะวันตก”

ผู้หญิงในชุดขาวโยนจิ้งจอกขาวหกหางออกจากอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล กล่าวกระซิบว่า “ไปแจ้งกลุ่มปีศาจให้แทรกซึมเข้าฉู่โจวด่วนที่สุด ซ่อนตัวอยู่ในป่าบนภูเขาแล้วรอคำสั่งจากข้า”

จิ้งจอกขาวตัวเล็กน่ารักตกลงมาจากหน้าผา ระหว่างนั้น ร่างที่กลมนุ่มของมันก็พองตัวและเหยียดออกกลายเป็นจิ้งจอกยักษ์ที่มีความสูงหนึ่งฟุตพร้อมร่างกายที่คล่องแคล่วและขาทั้งสี่อันทรงพลัง ส่วนหางจิ้งจอกที่อยู่ด้านหลังก็พองสยายราวกับนกยูงรำแพนหางไม่มีผิด

มันวิ่งบนอากาศด้วยขาอันทรงพลังทั้งสี่ข้างและจากไปไกลด้วยความรวดเร็ว

สวี่ชีอันหลับใหลอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้บนถนนสายตะวันตก ในความฝันเขากำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงกับหญิงงามหยาดเยิ้ม ทันใดนั้นนายพลในชุดขาวก็นำกองกำลังทหารและม้านับพันบุกทะลวงเข้ามา

‘ฟู่…’

สวี่ชีอันลืมตาขึ้น เงาของต้นไม้สั่นไหว แสงสว่างแตกดับ หญิงงามในความฝันก็ค่อยๆ ทับซ้อนกับพระมเหสีที่เป็นดั่งดอกถานฮวาชั่วค่ำคืนในคืนนั้น

สิ่งนี้ทำให้เขาแยกไม่ออกว่าตนเองไม่ได้ไปที่สำนักสังคีตนานเกินไป หรือว่าพระมเหสีมีเสน่ห์มากเกินไปกันแน่

ผู้หญิงคนนี้เป็นเหมือนยาพิษ เพียงแค่ได้มองก็ติดอยู่ในสมองตลอดไป จะลืมก็ลืมไม่ได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็หันไปมองพระมเหสีที่กำลังพิงต้นไม้หลับใหล และใบหน้าที่งดงามปานกลางของนาง ทันใดนั้นจิตใจของสวี่ชีอันก็สงบลงมาก

เป็นช่วงเวลาที่คุณธรรมของนักปราชญ์ผุดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจ

“เฮ้ๆ ตื่นได้แล้ว”

สวี่ชีอันสะกิดปลุกพระมเหสีให้ตื่น เมื่อเห็นนางลืมตาขึ้นด้วยความสะลึมสะลือก็กล่าวเร่งรัดว่า

“เราจะไปให้ถึงเมืองต่อไปก่อนมื้ออาหารกลางวัน พวกเราจะเปลี่ยนที่กินกันสักหน่อย จะได้ถือโอกาสดูด้วยว่าจะฆ่าเผ่าคนเถื่อนหรือสายลับของสามีเจ้าได้อีกกี่คน”

พระมเหสีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า ‘สามีเจ้า’ สามพยางค์นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีใจสักนิด นางจึงกลอกตาแล้วยิ้มเยาะด้วยความไม่ชอบใจ

แต่เมื่อสวี่ชีอันย่อตัวลง นางก็ปีนขึ้นไปบนแผ่นหลังของเขาอย่างเชื่อฟัง

พระมเหสีแสดงท่าทีเย่อหยิ่งอยู่สักพักหนึ่ง แขนเรียวโอบรอบคอของเขา มองทิวทัศน์ที่เปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยพลางกระซิบถามว่า

“นี่ เจ้าเคยต่อสู้กับไหวอ๋องหรือไม่ เจ้าเตรียมตัวรับมือกับเขาอย่างไร”

แม้ว่าตอนนี้จะถูกดึงดูดด้วยอารมณ์ที่เขาแสดงให้เห็นในชั่วขณะหนึ่ง แต่พระมเหสียังประจักษ์ชัดในความเป็นจริงและเกิดความสงสัยอย่างมากว่าสวี่ชีอันจะจัดการกับอ๋องสยบแดนเหนืออย่างไร

ถ้าสวี่อันกล่าวว่าข้าวางแผนจะฆ่าอ๋องสยบแดนเหนือด้วยดาบเล่มเดียว

งั้นนางก็จะตัดสินใจเกลี้ยกล่อมเขาไม่ให้ทำเรื่องโง่ๆ ด้วยการส่งตัวเองไปตายเช่นนี้

สวี่ชีอันกลับกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าจะแทงภรรยาเขาด้วยดาบขาวสะอาด และดึงดาบที่อาบเลือดออกมา”

“?”

พระมเหสีชะงักไปชั่วขณะก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว เรียวคิ้วทั้งสองข้างเหยียดตรงและกำหมัดแน่นก่อนจะเขกศีรษะเขาอย่างแรง

‘ตุบ ตุบ ตุบ’

เสียงทุบตีดังตลอดทั้งทาง

เขตป้องกันฉู่โจว

หยางเยี่ยนพาหลิวยวี่สื่อมาหยุดอยู่นอกค่ายทหาร เรียกกันว่าค่ายทหาร แต่ไม่นับว่าเป็นกระโจมตามความหมายปกติ

นอกจากกระโจมซึ่งเป็นที่อยู่ของทหารแล้ว กองทัพทหารที่ประจำการตามสถานที่ต่างๆ ล้วนมีค่ายทหารของตัวเองซึ่งไม่ต่างจากบ้านพักอาศัยทั่วไป

โดยปกติจำนวนทหารยามในโจวเฉิงจะมีห้าถึงหกพันนาย ส่วนจำนวนทหารยามที่ชายแดนของโจวเฉิงจะมีตั้งแต่หนึ่งถึงสองหมื่นนาย

และโจวเฉิงซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนเหมือนฉู่โจวเช่นนี้ ประกอบกับมีอ๋องสยบแดนเหนืออีกปัจจัยหนึ่ง จำนวนทหารยามจึงเพิ่มขึ้นถึงสามหมื่นหกพันนาย

ทหารยามสามหมื่นหกพันนายนี้ เป็นทหารที่อ๋องสยบแดนเหนือสามารถควบคุมสั่งการได้โดยตรงโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ส่วนกองกำลังเว่ยและกองกำลังสั่วในสถานที่ต่างๆ ของฉู่โจว ในฐานะอ๋องสยบแดนเหนือซึ่งเป็นแม่ทัพแห่งฉู่โจวก็สามารถควบคุมพวกเขาได้เช่นกัน แต่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ

ฉู่โจวล้วนต้องมีประทับตราของผู้บัญชาการ!

หยางเยี่ยนและหลิวยวี่สื่อนั่งอยู่บนหลังม้าและอาบแดดเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ม้าที่อยู่ข้างใต้ต่างก็ร้อนจนส่งเสียงร้องออกมาทางจมูก

หลิวยวี่สื่อเอนกายอยู่บนหลังม้าด้วยริมฝีปากแห้งแตกและกระสับกระส่ายก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่า “ฆ้องทองคำหยาง พวก…พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ข้าตากแดดจนจะกลายเป็นคนแดดเดียวอยู่แล้ว”

ขณะนั้นเอง ทหารยามนายหนึ่งที่ถือดาบอยู่ในมือเดินออกมาและกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “ท่านผู้บัญชาการเชิญท่านทั้งสองเข้าไปขอรับ”

หลิวยวี่สื่อโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก เขาพ่นลมหายใจออกมาราวกับใกล้จะหมดแรงและแทบจะกลิ้งลงจากหลังม้า

ทั้งสองตามทหารยามเข้าไปในค่ายทหาร เดินผ่านที่อยู่อาศัยของทหารทีละหลัง จนมาถึงบริเวณจวนหลังใหญ่ที่มีทางเข้าสองทาง

เมื่อเข้าไปในห้องโถงก็เห็นผู้บัญชาการเขตฉู่โจว หรือเจ้าอารักขาเชวียหย่งซิว

เชวียหย่งซิวมีผิวพรรณที่ดีมาก หน้าตาหล่อเหลาและไว้เคราสั้น เพียงแต่เขาตาบอดข้างหนึ่ง เหลือเพียงตาอีกข้างที่เฉียบแหลมและเต็มไปด้วยความดื้อรั้น

เขานั่งตัวตรงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ถือถ้วยชาอยู่ในมือพลางจ้องหยางเยี่ยนด้วยดวงตาข้างเดียวที่คมกริบ “นี่ไม่ใช่บุตรกาฝากของเว่ยเยวียนหรอกรึ เจ้ามาทำอะไรที่ค่ายทหารของข้า?”

บุตรกาฝากก็คือบุตรบุญธรรม เพียงแต่บุคคลที่อยู่เบื้องหน้าทำให้เขารู้สึกราวกับถูกยั่วเย้าและเหน็บแนมเล็กน้อย

หยางเยี่ยนผู้มีใบหน้าเรียบนิ่งย่อมไม่เกิดความโกรธด้วยเหตุนี้อย่างแน่นอน เขากล่าวอย่างสงบโดยไม่กะพริบตาสักนิด “สืบสวนคดี”

เชวียหย่งซิวแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า “สืบสวนคดีอะไรรึ?”

หยางเยี่ยนกล่าวอย่างไม่แยแส “สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ข้าต้องการดูบันทึกการเข้าออกของทหารฉู่โจว”

ที่เขาเริ่มตรวจสอบจากทหารยามของฉู่โจวก่อน ก็เพราะการเดินทางไปถึงแดนเหนือของกลุ่มภารกิจย่อมต้องมาที่เขตฉู่โจวก่อนถึงจะใกล้เคียงกับหลักการที่สุด และกองทัพทหารและม้าสามหมื่นหกพันนายล้วนเป็นคนสนิทของอ๋องสยบแดนเหนือ

นอกจากนี้ยังเป็นกำลังหลักของฉู่โจวด้วย

เผ่าคนเถื่อนสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ อ๋องสยบแดนเหนือต้องส่งทหารออกไปทำสงครามอย่างแน่นอน เช่นนั้นบันทึกการเข้าออกก็คือหลักฐาน การระดมกองทัพเป็นงานที่ยุ่งยากและน่าเอือมระอา

ไม่ใช่พูดว่าออกจากค่ายก็จะออกจากค่ายได้เลย ทั้งสัมภาระที่เกี่ยวข้อง อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ล้วนสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ทั้งหมด

แต่เนื่องจากเขตฉู่โจวที่ถูกควบคุมดูแลโดยอ๋องสยบแดนเหนือก็อาจจะไม่หลงเหลือเบาะแสใดๆ แล้ว แต่อย่างไรก็ยังต้องตรวจสอบ มิเช่นนั้นกลุ่มภารกิจก็จะทำได้เพียงดื่มชาและนอนหลับอยู่ที่จุดพักเปลี่ยนม้าเท่านั้น

“สังหารเลือดหมู่สามพันลี้อะไรกัน!”

เชวียหย่งซิวตบโต๊ะเสียงดังและยืนขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หลิวยวี่สื่อสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

เจ้าอารักขาท่านนี้เดินดุ่มๆ ไปที่เบื้องหน้าหยางเยี่ยนด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะชี้ไปที่จมูกของเขา พลางก่นด่าอย่างสาดเสียเทเสีย “ข้าติดตามอ๋องสยบแดนเหนือและปกป้องฉู่โจวมานานกว่าสิบปี เพียงแค่เจ้าที่เป็นลูกกาฝากของสุนัขรับใช้เว่ยพูดว่าจะตรวจสอบก็ตรวจสอบได้เลยงั้นรึ?”

หยางเยี่ยนไม่ตอบและมองเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“ในขณะที่ข้าสังหารศัตรูอยู่แนวหน้าในสนามรบและปกป้องชายแดน พวกเจ้ากำลังนอนอยู่บนเตียงของหญิงงามในเมืองหลวงอยู่เลย ตอนนี้วิ่งมาพูดกับข้าว่าสังหารเลือดหมู่สามพันลี้อะไรกัน ถุย! ไสหัวกลับไปบอกเว่ยเยวียนเถอะ บอกพวกขงจื๊ออวดดีที่จับได้แต่ด้ามพู่กันด้วยว่า หากคิดจะใส่ร้ายข้าหรือไหวอ๋อง ก็ฝันไปเถอะ”

เจ้าอารักขาเชวียหย่งซิวกล่าวยิ้มเยาะ “ตอนนี้มาทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้น”

หลิวยวี่สื่อที่กำลังบึ้งตึงด้วยความโกรธชี้เชวียหย่งซิวและกล่าวตำหนิว่า “เจ้าอารักขา พวกเราได้รับราชโองการให้สอบสวนคดี เจ้ากล้าขัดพระบัญชารึ?”

เชวียหย่งซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มมุ่งร้าย “หลังหลิวยวี่สื่อกลับไปเมืองหลวงแล้ว ก็สามารถฟ้องร้องให้ข้าออกจากตำแหน่งได้”

บ้าบิ่นอะไรเช่นนี้

กล้ามเนื้อแก้มของหลิวยวี่สื่อกระตุกด้วยความโกรธ แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้ เขาไม่ใช่หัวหน้าผู้รับผิดชอบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ตรวจการ อย่างไรเขาก็ไม่มีสิทธิ์จัดการกับเจ้าอารักขาท่านนี้ได้

ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมีเรื่องกับฝ่ายตรงข้ามในเขตฉู่โจวได้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีกองกำลังหนุน สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ มีเพียงฟ้องร้องเจ้าอารักขาท่านนี้อย่างห้ำหั่นหลังจากที่กลับเมืองหลวงไปแล้ว

“ไปกันเถอะ!”

หยางเยี่ยนหมุนตัวกลับและเดินออกไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง