ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 370

บทที่ 370 ดาบสยบดินแดน (1)

“ยาโลหิต!”

ยักษ์ร่างน้ำเงินมองขึ้นไปยังท้องฟ้าในเมือง จดจ้องเม็ดเลือดก้อนกลมใหญ่ ด้วยแววตาวาววับด้วยความโลภ

ยาโลหิตที่กลั่นมาจากแก่นแท้แห่งชีวิตของมนุษย์หลายแสนคน เป็นยาชูกำลังชั้นยอดสำหรับทหารที่ต้องการเพิ่มพละกำลังของตน แม้ว่าจะทะลวงระดับไปไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งต่อไปได้

หากได้ครอบครองยาโลหิตนี้ เขาจะต้องก้าวสู่ขั้นสองภายในหกสิบปีได้อย่างแน่นอน แต่หากยาโลหิตนี้ตกไปอยู่ในมือของอ๋องสยบแดนเหนือ ก็เท่ากับว่าที่ชายแดนมีทหารขั้นสองเพิ่มขึ้นอีกคน ตามคำบอกเล่าของชาวอนารยชน

เช่นนั้นมันจะไม่ใช่แค่เสี้ยนหนามตำตาตำใจอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรง

หลังจากสงครามที่ด่านซานไห่ ยอดฝีมือขั้นสองของเผ่าอนารยชนก็ถึงแก่ความตาย ทั้งยังสูญเสียผู้แข็งแกร่งระดับกลางและสูงไปมากมายเช่นกัน เช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือ เดิมทียังมีนักรบขั้นสามอยู่สองตน แต่บัดนี้เหลือเพียงจู๋จิ่วตัวเดียวเท่านั้น

พันธมิตรเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือและเผ่าอนารยชนต้องการการถือกำเนิดของยอดฝีมือขั้นสองอย่างเร่งด่วน

“มาได้จังหวะพอดี อ๋องสยบแดนเหนือ ยาโลหิตของเจ้าเป็นดั่งชุดวิวาห์ที่ปักขึ้นเพื่อข้าโดยเฉพาะ” จี๋ลี่จือกู่หัวเราะลั่น

“เจ้ามันไร้วาสนา” อ๋องสยบแดนเหนือเย้ยหยัน

ระหว่างที่ทั้งสองตอบโต้กันไปมา คมกระบี่ก็ยังฟาดฟันอีกฝ่าย ทุกครั้งที่ทั้งสองเข้าปะทะ คล้ายว่าสายฟ้าระเบิดขึ้นกลางอากาศ ตามมาด้วยแรงกระแทกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหล่าทหารบนกำแพงเมืองเข้าใจผิด คิดว่าตนเองตกอยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์ก็ไม่ปาน

หากเพลี่ยงพล้ำเพียงเล็กน้อยอาจถึงฆาตจากการปะทะของผู้แข็งแกร่งขั้นสามได้

“ทลายเมือง!”

จี๋ลี่จือกู่แผดเสียงคำราม ร่างสีเขียวสูงสองจั้งดีดตัวขึ้นไป เกิดเสียง ‘ตูม’ พื้นทรุดตัวเป็นหลุมลึกที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบเมตร

ยักษ์ร่างน้ำเงินยกดาบที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าบานประตูขึ้นเหนือหัว “หึ” ดาบยักษ์ยาวหลายสิบจั้งฟาดฟันลงมาในทันใด

แรงดาบอันทรงพลังรุนแรงราวกับจะผ่าพิภพออกเป็นสองซีกได้ วินาทีที่มันตกกระทบเบื้องล่าง บรรดาทหารบนกำแพงเมือง และทหารม้าของเผ่าอนารยชนต่างก็ขาสั่นพั่บๆ สูญเสียพลังในการสู้รบ แค่ยืนหยัดได้ก็ถือว่าเป็นวีรบุรุษแล้ว

นี่คือความหวาดกลัวต่อพลังอำนาจ เป็นความหวาดกลัวอันเป็นดั้งเดิมที่สุด

ผิวกำแพงส่งเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ก้อนอิฐเกิดรอยแตก ไล่จากยอดกำแพงลงมาจนถึงตีนกำแพง

“ถล่มมันเข้าไป!”

จี๋ลี่จือกู่คำราม

กลิ่นอายของปราณดาบแข็งแกร่งขึ้น

‘ตู้ม!’…กำแพงเมืองไม่อาจต้านทานต่อไปได้ จึงเกิดการถล่มลงมาในวงแคบ ทหารเคราะห์ร้ายที่อยู่ในส่วนนั้น กรีดร้องขณะร่วงหล่นและถูกฝังกลบใต้ซากปรักหักพัง

“ฆ่ามันให้หมด ชิงยาโลหิตมาให้ได้!”

กองทัพทหารม้าแห่งเผ่าอนารยชนฮึกเหิมยิ่งขึ้น

ทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองเร่งเคลื่อนย้ายไม้ซุง หินยักษ์ ลูกธนูเตรียมเอาไว้ เพื่อโจมตีจากที่สูง ป้องกันไม่ให้เผ่าอนารยชนบุกทะลวงผ่านช่องว่างนั้น

อีกด้านหนึ่ง งูเหลือมร่างสีแดงเข้มเห็นยาโลหิตควบแน่นอยู่กลางเวหา ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งทันที ดวงตาที่มีเพียงข้างเดียวยิงแสงสีทองออกไปทะลวงค่ายกลของกำแพงเมือง ทำให้กำแพงเมืองแตกร้าวไม่หยุด กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังตกที่นั่งลำบาก พวกมันไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับการโจมตีจากบนกำแพง แต่ยังต้องเผชิญกับสหายร่วมกองทัพที่ล้มตายไปแล้ว แต่จู่ๆ กลับฟื้นขึ้นมาเป็นผีดิบเข้าทำร้ายสหายร่วมรบของตน

“ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน เพื่อยาโลหิตเม็ดนี้ ถึงกับต้องสังหารผู้คนทั้งเมืองฉู่โจว อ๋องสยบแดนเหนือโหดเหี้ยมยิ่งกว่าข้าหลายเท่า ข้าไม่กล้าลงมือถึงขั้นนี้แน่ เผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนืออย่างข้ายังมีขอบเขต รู้จักยับยั้งชั่งใจ”

งูเหลือมยักษ์พ่นคำพูดออกมาราวกับมนุษย์และหัวเราะเยาะ ท่าทางของมันดูไม่รีบร้อน คอยรักษาระดับพลังต่อสู้เอาไว้ และโจมตีค่ายกลกำแพงเมืองไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งรังควานพ่อมดในเงามืดต่อไป

เมื่อเวลาผ่านไป ก้อนโลหิตก็ไม่ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่กลับมีความเข้มข้นมากขึ้น ขนาดหดเล็กลงเรื่อยๆ แสงโลหิตเองก็ขุ่นข้นขึ้นเช่นกัน

พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมาจากแกนกลาง

“เอื้อก…” หยางเยี่ยนกลืนน้ำลายและเงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกเพียงว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าหลงใหลที่สุดในโลก

เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ฝึกทหารทั้งหลาย หัวหน้ามือปราบเฉินก็จ้องมองด้วยสายตาหิวกระหาย

ตรงกันข้าม เลขาธิการศาลต้าหลี่และผู้ตรวจการทั้งสองที่เป็นเพียงคนธรรมดากลับไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น แต่พวกเขาก็ค่อยๆ สาวเท้าถอยหลังอย่างระมัดระวัง เพราะท่าทีของหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ ในเวลานี้ ช่างเหมือนกับหมาป่าหิวโหยท่ามกลางสายลมหนาว ดวงตาฉายแววกระหาย สีหน้าเต็มไปด้วยความดุร้ายและปรารถนา…

หัวใจของหยางเยี่ยนท่วมท้นไปด้วยความปรารถนา ปรารถนาที่จะครอบครองยาโลหิต ความปรารถนานั้นกลืนกินตัวเขา

ขณะที่เขากำลังจะออกตัว ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างหลายร่างทะยานขึ้นไปบนฟ้า กระโจนเข้าใส่ยาโลหิตโดยไม่ยั้งคิด

ทันทีที่เข้าใกล้ ร่างของพวกเขาก็กลายเป็นซากศพหนังติดกระดูก แก่นโลหิตของพวกเขาถูกยาโลหิตดูดกลืนจนสิ้น

หยางเยี่ยนฟื้นคืนสติราวกับตื่นจากภวังค์ ร่างกายสั่นสะท้าน เขาตระหนักได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาฉกฉวยเอามาได้ หากเข้าใกล้โดยไม่ระวังตัว มีแต่จะต้องพบจุดจบที่ไม่อาจหวนคืนได้

“อย่ามอง ก้มหน้าลง” หยางเยี่ยนแผดเสียงคำราม

เสียงนั้นทะลุเข้าไปในโสตประสาทของทหารทุกนายในขบวน ราวกับอสนีบาตที่ฟาดผ่า

หัวหน้ามือปราบเฉินและคนอื่นๆ ตื่นจากภวังค์ ก้มหน้าลง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก

ในตอนนี้เอง เสียงหัวเราะใสกังวานดั่งระฆังเงินก็ดังก้องไปทั่วมุมเมืองฉู่โจว เสียงนั้นเปี่ยมเสน่ห์เหลือล้น จนทำให้อดหลงรักไม่ได้ ต้องกุลีกุจอมองหาต้นตอของเสียงนั้น

ไม่ว่าจะเป็นทหารผู้ปกปักรักษาเมือง เผ่าอนารยชนผู้รุกราน หรือชาวยุทธ์ที่อาศัยอยู่ในเมือง บุรุษทุกคนล้วนแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้า

ร่างอันเลือนรางเยื้องย่างลงมาจากสวรรค์สู่โลกมนุษย์ หน้าตาของนางจะว่างามก็งาม แต่กล่าวว่าทรงเสน่ห์ดูจะเหมาะสมกว่า สายลมไล้ผ่านผมเงาสลวย พัดชายกระโปรงของนางให้พลิ้วไสวราวกับนางสวรรค์

นางยุรยาตรสู่พื้นโลกทีละก้าวๆ ด้วยท่วงท่าดุจนางสวรรค์ชั้นเก้า

โลกนี้มีหญิงที่งดงามถึงเพียงนี้ด้วยหรือ…ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวของเหล่าชายชาตรีทั้งหลายอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย

นางสวรรค์ในชุดสีขาวพลิ้วไหวลงมาจากฟากฟ้า น้ำเสียงนุ่มนวลเปี่ยมเสน่ห์ของนาง ราวกับคนรักกระซิบข้างหู แต่ก็ส่งผ่านเข้าไปในโสตประสาทของทุกผู้ทุกคน “ขอบใจอ๋องสยบแดนเหนือมากที่ใจดีอุตส่าห์ตัดชุดวิวาห์ให้ข้าขนาดนี้”

“ยอดเยี่ยมไปเลย ฮ่าๆๆ อ๋องสยบแดนเหนือ เจ้าทำลายเมืองเพื่อข้าเชียวหรือ ข้าเพียงหยอกเล่นเท่านั้นเอง”

จี๋ลี่จือกู่กวัดแกว่งดาบยักษ์และโจมตีอ๋องสยบแดนเหนือราวกับตีแมลงวัน คนหลังเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้เพียงเสี้ยว กลับระเบิดพลังประหลาดอันน่าสะพรึงกลัว เข้าปะทะซึ่งหน้า ไม่ด้อยไปกว่ายักษ์ร่างน้ำเงินแม้แต่น้อย

“ช่างเป็นหญิงที่งดงามเสียจริง ถ้าพาตัวกลับไปเป็นเมียที่เผ่าได้คงจะดีไม่น้อย” จี๋ลี่จือกู่ต่อสู้กับอ๋องสยบแดนเหนืออย่างดุเดือดไปด้วย ตาก็จ้องมองหญิงสาวที่อยู่ใจกลางเมืองผู้งดงามดั่งนางสวรรค์ ที่นั่งเป็นตาอยู่รอฉกพุงปลา แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ทหารอย่างเจ้าจะปิดบังข้าได้อย่างไร ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมีตัวช่วย เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด พวกข้าก็เลยอัญเชิญจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจมา นี่ กำแพงเมืองของเจ้าต้านทานจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ได้หรอก เมื่อชิงยาโลหิตของเจ้าได้แล้ว ข้า นาง และจู๋จิ่ว จะแบ่งยาโลหิตอย่างเท่าเทียม”

“งั้นหรือ”

อ๋องสยบแดนเหนือยิ้มเยาะ “ถ้าอย่างนั้น เหตุใดเจ้าไม่ลองตรองดูว่าใครเป็นคนเสกสรรกองทัพมหึมากลางเมืองขึ้นมา”

ทางฝั่งตอนเหนือของเมือง ทหารต้าฟ่งและทหารปีศาจที่ถูกพ่อมดควบคุม ดวงตาแดงก่ำ จู่ๆ ก็หยุดนิ่ง ราวกับหุ่นไร้คนเชิด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง