บทที่ 371 มนุษย์ไร้วิถี สวรรค์ลงทัณฑ์ (1)
ชายที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันราวกับซ่อนตัวอยู่ในฉู่โจวมานานแล้ว และกำลังรอเพียงโอกาสแย่งชิงดาบสยบดินแดนในชั่วขณะนี้เท่านั้น
เขาสวมชุดคลุมสีคราม ผมยาวสีดำขลับถูกมัดรวบด้วยปิ่นหยกเนื้อหยาบ
แม้ว่าเขาจะมีใบหน้าธรรมดา แต่เมื่อได้จับดาบสยบดินแดนและเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งหกคนในที่นี้ ท่าทางที่นิ่งสงบไม่สะทกสะท้านและสายตาอันดุร้ายไม่แยแสของเขา ก็ทำให้ทุกคนที่มองอยู่พลันรับรู้ถึงความแข็งแกร่งในทันที
นี่คือบุคคลที่สามารถต่อกรกับยอดฝีมือระดับสูงทั้งหกคนได้
‘สมควรตาย อ๋องสยบแดนเหนือไม่ใช่แค่ต้องการกลั่นยาโลหิตเท่านั้น แต่ยังมีแผนเตรียมไว้มากมาย โดยการเรียกยอดฝีมือระดับสูงมาเยอะแยะเพื่อซุ่มโจมตีข้ากับจู๋จิ่ว…’ สีหน้าของหัวหน้ากลุ่มชิงเหยียนเปลี่ยนไปทันใด เขาก้าวถอยหลังแล้วยื่นฝ่ามือออกมา
พายุโหมพุ่งออกมาจากฝ่ามือ บนกำแพงเมืองที่อยู่ไกลออกมา ดาบทหารที่บ้างก็แตกหักบ้างก็อยู่ในสภาพดีลอยมาบรรจบกันที่จี๋ลี่จือกู่ ราวกับฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ
‘ชิ้ง ชิ้ง…’ ฝูงปลาเหล็กที่เกิดจากมีดดาบกลายเป็นสายน้ำเหล็กสีแดงชาดอันเจิดจ้าทันทีที่ได้สัมผัสกับพายุหมุน
สายน้ำเหล็กยังคงควบแน่นไม่หยุดพร้อมขจัดสิ่งเจือปนออก แล้วรวมกันเป็นดาบยักษ์ที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจใช้งานได้ มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับบานประตู
“ราชวงศ์ของต้าฟ่งมีจอมยุทธ์ระดับสูงด้วยหรือ เป็นบุคคลระดับสูงที่เลื่อนขั้นหลังจากศึกที่ด่านซานไห่อย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้ บุคคลเช่นนี้ไม่มีอยู่ในต้าฟ่งนี่นา แต่ถ้าหากเขาไม่ใช่คนในราชวงศ์ แล้วเหตุใดจึงสามารถใช้ดาบสยบดินแดนได้กัน?”
งูยักษ์จู๋จิ่วเลื้อยไปมาและทำลายบ้านเรือนหลายต่อหลายหลัง ร่างกายที่ชูคออยู่เหนือกำแพงเมืองจ้องมองชายหนุ่มในชุดครามด้วยความหวาดกลัว
จู๋จิ่วเอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในใจของทุกคนออกมา พวกเขาจึงหันไปมองชายหนุ่มในชุดครามผู้นั้นโดยพร้อมเพรียงกัน
แต่คำตอบสำหรับพวกเขาคือความเงียบ
พ่อมดผู้เต็มไปด้วยจิตโลหิตและมีจิตวิญญาณศึกล่องลอยอยู่เหนือศีรษะเริ่มทำการพยากรณ์ จากนั้นเขาก็พบว่าอ๋องสยบแดนเหนือ จี๋ลี่จือกู่ จู๋จิ่ว และผู้นำเต๋านิกายปฐพีล้วนกำลังมองเขาอยู่
…พ่อมดระดับสูงอ้าปากเอ่ยเนิบนาบ “ทำนายไม่ได้ บนตัวเขามีอาวุธเวทมนตร์ที่ปกปิดความลับของสวรรค์เอาไว้”
‘อาวุธเวทมนตร์ที่ปกปิดความลับของสวรรค์?’
ยอดฝีมือทั้งหลายมองไปยังชายในชุดครามผู้นั้นด้วยความหวาดกลัวเต็มเปี่ยม และยิ่งสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของเขามากเข้าไปใหญ่
บนตัวของเขามีกลิ่นอายเลือนรางของหนังสือปฐพีอยู่ เขาเป็นเจ้าของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…ที่ใจกลางดอกบัวสีดำ เงาร่างสีดำที่มีของเหลวเหนียวข้นพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย ของเหลวที่ราวกับน้ำมันจึงดันตัวเขาขึ้นจากดอกบัว แล้วยืนจ้องสวี่ชีอันด้วยสายตามุ่งร้ายอยู่บนฟ้า พลางส่งเสียงคำราม
“เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นใคร…”
ยอดฝีมือทั้งหลายชะงักงัน ท่าทีของผู้นำเต๋านิกายปฐพีทำให้พวกเขาตกใจ จากคำที่กล่าวออกมา เหมือนกับว่าเขาทั้งรู้จักและไม่รู้จักคนผู้นั้น
พ่อมดระดับสูงขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักเขาหรือ? คนผู้นั้นมาจากที่ใด”
เงาร่างดำมืดไม่สนใจ แต่ยังคงจ้องมองสวี่ชีอันเขม็งด้วยสายตาดุร้ายและไม่เป็นมิตร เขามองลงมาจากข้างบนแล้วตะโกนลั่น “จินเหลียนอยู่ที่ใด จินเหลียนอยู่ที่ใด”
จินเหลียน?!
‘เขาไม่ใช่จินเหลียนหรือ จินเหลียนที่ตกสู่ทางมาร…’ พ่อมดระดับสูงขมวดคิ้วมุ่น
‘คนผู้นี้ไม่เพียงแต่จับดาบสยบดินแดนได้ แต่คล้ายจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับนิกายปฐพีเสียด้วย ดูจากท่าทีของผู้นำเต๋านิกายปฐพีแล้ว เหมือนจะเป็นอริมากกว่ามิตร…’ จี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่วไม่รู้เรื่องความลับภายในของนิกายปฐพี จึงเข้าใจว่าฐานะของแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้ลึกลับยิ่งกว่าเดิม
สตรีในชุดกระโปรงสีขาวจดจ้องไปที่ตัวของเขาและเริ่มรู้สึกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว นางไม่รู้เลยว่าสวี่ชีอันและผู้นำเต๋านิกายปฐพีเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา “จินเหลียนเคยขอร้องข้าให้ช่วยเขาชำระล้างสำนักและสังหารผู้นำเต๋าที่ตกสู่ทางมาร ข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธ กล่าวแค่ว่าหากในอนาคตมีเวลาว่างก็จะช่วยอย่างแน่นอน จินเหลียนยินดีตอบรับเชียวล่ะ”
“!”
เงาร่างมืดมิดถอยหลังหลายสิบจั้งแล้วจ้องเขม็งไปที่เขาอย่างดุร้าย ราวกับเป็นสัตว์ร้ายกินคนแต่กลับกลัวความแข็งแกร่งของนักล่าอย่างไรอย่างนั้น
‘เฮยเหลียนคือผู้นำเต๋านิกายปฐพี เขาเป็นยอดฝีมือระดับสองขั้นสูงสุด แต่คนผู้นี้กลับพูดอย่างง่ายดายว่าจะ ‘ชำระล้างสำนัก…’ จู๋จิ่วและจี๋ลี่จือกู่ใจตกไปที่ตาตุ่ม คนแข็งแกร่งเช่นพวกเขากลับไม่กล้าจะประมาทสักนิด
ไม่ใช่แค่เพราะอีกฝ่ายกำลังถือดาบสยบดินแดนอยู่หรอก แต่ยังเป็นเพราะความลึกลับและความแข็งแกร่งของตัวเขาด้วยที่ทำให้จอมพลังจากแดนเหนือทั้งสองรู้สึกรับมือได้ยาก
‘เขาไม่ได้พูดเลื่อนเปื้อนไปอย่างนั้นจริงๆ หรือ อืม ดูจากท่าทีของเฮยเหลียนแล้ว ราวกับว่าจินเหลียนไม่ได้ตกสู่ทางมารอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่รู้รายละเอียด แต่ในเมื่อจินเหลียนที่เฮยเหลียนกล่าวถึงผู้นั้นได้ไปขอร้องยอดฝีมือลึกลับผู้นี้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาคงเก่งกาจอย่างที่พูดจริงๆ…’ พอคิดถึงตรงนี้ พ่อมดระดับสูงก็รู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา
พ่อมดที่เชี่ยวชาญการทำนายทุกคนจะไม่ปลอดภัยหลังจากพบว่าเรื่องราวต่างๆ อยู่เหนือดวงชะตา
…
การต่อสู้ดุเดือดจบลง ความเงียบงันทางด้านนี้ดึงดูดความสนใจของชาวยุทธ์ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ในเมืองและทหารคุ้มกันเมืองทั้งหลายทันที
ในฐานะที่ฉู่โจวเป็นเมืองหลักเมืองหนึ่ง ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ชาวยุทธ์ที่เข้ามาอยู่ในเมืองแห่งนี้จึงมีจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าผู้ที่สิ้นชีพไปในการต่อสู้เมื่อครู่จะมีจำนวนมาก แต่ก็ยังมีส่วนน้อยที่ยังรอดชีวิตอยู่
เมืองฉู่โจวกว้างใหญ่ไพศาล พวกเขามองไม่เห็นสมรภูมิรบ แต่คลื่นการต่อสู้อันรุนแรงน่าสะพรึงนั้นกลับหยุดลงดื้อๆ และคืนสู่ความสงบเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการคาดเดาจากผู้รอดชีวิตมากมาย
“จะ จบแล้ว? ใครชนะกันน่ะ เป็นพวกชนเผ่าอานารยชนหรือว่าอ๋องสยบแดนเหนือ?”
“ก็ต้องเป็นอ๋องสยบแดนเหนือสิ ต้องเป็นอ๋องสยบแดนเหนืออย่างแน่นอน หากเขาแพ้ พวกเราคงไม่อาจมีชีวิตรอด”
“มาดูสิ”
“เจ้าไม่ห่วงชีวิตแล้วหรือ จริงสิ เกิดอะไรขึ้นกับชาวบ้านในเมืองฉู่โจวกัน?”
กองทหารของชนเผ่าและทหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจล้อมกองทัพต้าฟ่งเอาไว้ แต่สถานการณ์การรบยังไม่ถึงขั้นรุนแรงเพราะตอนนี้กำแพงเมืองได้ถูกทำลายแล้ว อีกทั้งผู้นำและชินอ๋องของแต่ละฝ่ายก็กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในเมือง
พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากันถึงตาย อย่างมากก็แค่ดูเชิงเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นทหารที่ผ่านศึกมามากมายหรือว่าเป็นทหารชนเผ่าที่ดุดันต่างก็รักชีวิตตัวเองและไม่ต้องการเสียสละอย่างกล้าหาญทั้งนั้น
ดังนั้นทหารของแต่ละฝ่ายจึงมีเวลาว่างมาชมดูการเคลื่อนไหวในเมืองได้
เชวียหย่งซิวยืนอยู่บนกำแพงเมืองและมองดูชายชุดครามที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาด้วยความไม่สบายใจ เขาแยกไม่ออกว่าเป็นฝ่ายเว่ยเยวียนหรือไม่ เพราะการแต่งกายของอีกฝ่ายก็คล้ายคลึงกับรูปแบบการแต่งกายของเว่ยเยวียนอย่างยิ่ง ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ
หรือว่าจะเป็นจอมพลังระดับสูงที่เข้ามาแทรกแซงเพราะปัจจัยที่ไม่แน่นอนหลายอย่าง
หรืออาจจะใช่ทั้งสองอย่าง
‘เมืองฉู่โจวจะต้องกลายเป็นซากปรักหักพังแน่ คนที่ยังรอดตายอยู่ในเมืองก็จะต้องตกตายในที่สุด รวมถึงคณะทูตด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะสามารถปกปิดความจริงเรื่องการสังหารล้างเมืองด้วย ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานและมีอ๋องสยบแดนเหนือคอยปกป้องข้าอยู่ ยิ่งรวมกับฐานันดรกงอันยิ่งใหญ่ ทายาทของแม่ทัพผู้ก่อตั้งดินแดน และคุณงามความดีที่คุ้มกันชายแดนทางเหนือมาหลายปีของข้า ไม่ว่าจะเป็นเว่ยเยวียนหรือหวางเจินเหวินก็ทำอะไรข้าไม่ได้’
‘หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้นะ แต่คนผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงหยิบดาบสยบดินแดนขึ้นมาได้ ราชวงศ์มีบุคคลระดับสูงแบบนี้ด้วยหรือ ไม่รู้ว่าท่าทีของเขาเป็นอย่างไร อืม ไหวอ๋องเป็นชินอ๋องของต้าฟ่ง การเลื่อนขั้นสู่อันดับสองของเขาสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ในเมื่อคนผู้นี้สามารถหยิบดาบสยบดินแดนได้ ก็แสดงว่าเขาอยู่ฝ่ายต้าฟ่งสินะ’
‘คาดว่าคงจะชื่นชมความก้าวหน้าของอ๋องสยบแดนเหนือและอาจมาให้การสนับสนุนด้วย’
ความคิดของเชวียหย่งซิวแล่นวาบ เขาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียต่อไป
อีกด้านหนึ่ง หยางเยี่ยนกระโดดขึ้นหลังคาสูงแล้วมองไปยังสมรภูมิที่อยู่ไกลๆ
เพราะมีสายตาที่สามารถมองได้ไกล เขาจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงในที่นั้นได้อย่างชัดเจน และเห็นชายชุดครามนิรนามผู้นั้นกำลังถือดาบสยบดินแดนอยู่
หยางเยี่ยนมองไปที่ร่างนั้น แววตาฉายความงุนงงสับสนอย่างชัดเจน
“ฆ้องทองคำหยาง เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดการต่อสู้จึงหยุดลงเล่า เจ้ามองเห็นสิ่งใดหรือ”
ที่ใต้หลังคา เลขาธิการศาลต้าหลี่ตะโกนถามเสียงดัง
ทหารและผู้คุ้มกันในคณะทูตต่างเฝ้าระวังอยู่ทุกทิศทางเพื่อกันไม่ให้เผ่าพันธุ์ปีศาจ ชนเผ่าป่าเถื่อน หรือแม้แต่ทหารของอ๋องสยบแดนเหนือเข้ามาโจมตี
หยางเยี่ยนถอนสายตากลับมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “มียอดฝีมือลึกลับคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาถือดาบดาบสยบดินแดนเอาไว้”
“อะไรนะ?”
ผู้ตรวจการทั้งสองและเจ้ากรมศาลต้าหลี่ต่างก็ตกตะลึง
ดาบสยบดินแดนปรากฏขึ้นในฉู่โจวตั้งแต่เมื่อใดกัน ไม่ใช่ว่ามันถูกสยบอยู่ในวัดหย่งเจิ้นซานเหอมาตลอดหรอกหรือ
แถมยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นยังถือดาบสยบดินแดนเอาไว้ด้วย
เป็นไปได้อย่างไร
เมื่อครั้งนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นคนมอบดาบสยบดินแดนให้กับอ๋องสยบแดนเหนือด้วยองค์เอง นอกจากเหตุผลที่เขาเป็นยอดฝีมือที่มีพลังต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งในตอนนั้นแล้วก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือ ผู้ที่ไม่ใช่คนในราชวงศ์ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากดาบสยบดินแดน
ดาบสยบดินแดนคือดาบประจำตัวของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่ง มันพิชิตดินแดนไปกับเขาทั่วทุกทิศและมีโชคชะตาแห่งต้าฟ่งสถิตอยู่ในนั้น
กระบี่เทพเล่มนี้มีจิตวิญญาณ
“แล้ว แล้วคนผู้นั้นเป็นใครกัน?” เจ้ากรมศาลต้าหลี่เอ่ยเสียงสั่น
หยางเยี่ยนส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบา “เขา…ทำให้ข้านึกถึงเว่ยกงในตอนนั้น เว่ยกงที่เข้าร่วมศึกในด่านซานไห่”
เมื่อพูดจบเขาก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่ได้เอ่ยอธิบายอะไรอีก
“ยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นเป็นมิตรหรือศัตรู?” หลิวยวี่สื่อเอ่ยถาม
“ไม่รู้เลย” หยางเยี่ยนส่ายหัวแล้วกล่าวเสริม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง