บทที่ 371 มนุษย์ไร้วิถี สวรรค์ลงทัณฑ์ (2)
อ๋องสยบแดนเหนือหน้าไม่เปลี่ยนสี เขาเอ่ยเสียงดังว่า ”เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดต้องใส่ร้ายผู้อื่นและว่าร้ายข้าด้วย”
สีหน้าของเชวียหย่งซิวเปลี่ยนไปทันที เขาพลันกุมดาบแน่น คนผู้นี้เป็นศัตรูมิใช่มิตร เขามาเพื่อสังหารไหวอ๋อง
‘สมควรตาย สมควรตาย น่าตายนัก เจ้าสุนัขนี่โผล่มาจากไหนกัน เหตุใดต้องมาทำลายการใหญ่ของข้ากับไหวอ๋องด้วย’ เชวียหย่งซิวโกรธมาก
เมื่อได้ยินคำพูดของอ๋องสยบแดนเหนือ เชวียหย่งซิวก็พลันเคลื่อนไหว เขาก้าวขึ้นไปบนเชิงเทินแล้วตะโกนบอก “ทหารทุกคน วันนี้ทุกอย่างล้วนเป็นแผนการของชนเผ่าป่าเถื่อนและเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกเขาคิดจะทำร้ายอ๋องสยบแดนเหนือของพวกเรา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจของทหารแดนเหนือทุกคนก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองทันใด
“เผ่าพันธุ์ปีศาจและชนเผ่าอารยชนไม่เพียงทำร้ายอ๋องสยบแดนเหนือเท่านั้น แต่ยังคิดจะทำให้ชื่อเสียงของพระองค์แปดเปื้อน น่าชังนัก ต้องฆ่าพวกหนูโสโครกกลุ่มนี้ทิ้งให้หมด”
“อ๋องสยบแดนเหนือปกปักรักษาอยู่ที่ชายแดน ไม่ได้กลับเมืองหลวงมานานหลายปี พระองค์ทรงเป็นวีรบุรุษในใจของพวกเรา ทุกคนอย่าให้ถูกคนผู้นั้นหลอกลวงได้”
“อ๋องสยบแดนเหนือจะสิ้นพระชนม์ไม่ได้ พระองค์เป็นเทพสงครามแห่งต้าฟ่ง ต้าฟ่งต้องการเขา ประชาชนต้องการเขา”
“เราสาบานว่าจะปกป้องอ๋องสยบแดนเหนือ”
ทหารแดนเหนือปลุกความเร่าร้อนขึ้นมา ถึงตายก็ต้องใช้ศพของตนปูทางให้อ๋องสยบแดนเหนือมีชีวิตอยู่ต่อไป
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันที่ลอยอยู่บนฟ้าก็โยนดาบสยบดินแดนในมือออกมาและปักมันลงไปบนดิน
“อ๋องสยบแดนเหนือ ดาบสยบดินแดนมีจิตวิญญาณ มันแยกแยะผู้ภักดีและผู้ทรยศได้ ทั้งยังรู้ใจคน หากเจ้าไม่มีเจตนาร้าย เช่นนั้นก็ถามมันดูเถิดว่าจะเลือกเจ้าหรือไม่”
สวี่ชีอันคล้ายกลับได้ยินเสียงดาบร้อง ราวกับกำลังบ่นว่าด้วยความน้อยใจที่เขาโยนมันทิ้ง
ชั่วขณะนี้เอง เสียงก่นด่าจากที่ไกลๆ ก็พลันหยุดชะงักลง
ทหารที่ยืนอยู่บนกำแพงต่างพากันมองลงมาจากข้างบน พวกเขาจดจ้องไปยังอ๋องสยบแดนเหนือและดาบสยบดินแดนที่อยู่ห่างไกล ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา
ทหารที่อยู่ใต้กำแพงเมืองมองไม่เห็น ในใจจึงร้อนรนจนเป็นกังวลและอยากจะสวมปีกบินขึ้นไปบนกำแพงเมืองเสียเดี๋ยวนี้
ตอนนี้เอง นอกจากการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่ที่ที่ยังคงดำเนินต่อไปแล้ว คนส่วนใหญ่ต่างก็หยุดการฆ่าฟันกันโดยพลัน ชนเผ่าป่าเถื่อน เผ่าพันธุ์ปีศาจ และทหารของต้าฟ่งทั้งต้องระมัดระวังฝ่ายตรงข้าม เว้นระยะห่าง และก็ต้องแบ่งจิตใจมาดูสถานการณ์ทางนั้นด้วย
ดาบสยบดินแดนรับรู้โชคชะตาของผู้คน มิใช่ยึดถือเพียงใครหนึ่งคน ในฐานะที่เขาเป็นชินอ๋องแห่งต้าฟ่งและมีชื่อเสียงมากมาย โชคชะตาก็ยังมีอยู่ ดังนั้นแล้ว เขาจะใช้ดาบสยบดินแดนไม่ได้ได้อย่างไรกัน…มุมปากของอ๋องสยบแดนเหนือกระตุกแล้วยื่นมือออกไปหาดาบคู่ใจของบรรพชนจักรพรรดิ
พลังปราณเคลื่อนไหวชี้นำไปที่ดาบและพยายามจะดึงมันออก
เมื่อเห็นภาพนี้ จู๋จิ่วและจี๋ลี่จือกู่ รวมไปถึงสตรีในชุดขาวต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เกิดความรู้สึกอยากเข้าไปหยุดไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าก็ได้แต่ถอยหลังกลับ รักษาระยะห่างอยู่ไกลๆ
ตอนนี้สายเกินไปที่จะหยุดแล้ว ไม่ทันแล้ว
‘หวึ่ง หวึ่ง…’
ทันใดนั้น ดาบทองสัมฤทธิ์ก็แผ่ประกายแสงสีทองอ่อนออกมา แล้วผลักพลังปราณของไหวอ๋องออกไป ไม่ยอมให้เขาได้แตะต้อง
ดาบสยบดินแดนปฏิเสธไหวอ๋อง…
จี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่วสบตาแล้วส่งเสียงสื่อสารกัน
“คนผู้นั้นมีตัวตนไม่แน่ชัด แต่มีภูมิหลังเกินกว่าจะจินตนาการได้ ดังนั้นอย่าประมาท แม้ว่าเขาจะมุ่งเป้าไปที่อ๋องสยบแดนเหนือ แต่ก็คงไม่มีทางปล่อยพวกเราไปแน่”
“ไม่ต้องสนว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะอยู่หรือตาย เพราะการแย่งชิงยาโลหิตมาคือเป้าหมายครั้งนี้ของพวกเรา”
ที่ใจกลางดอกบัว ร่างสีดำสนิทจดจ้องสวี่ชีอันด้วยความสงสัย ‘คนผู้นี้ได้รับพรจากโชคอย่างล้ำลึก แต่ไม่ใช่คนที่มีโชคชะตาใหญ่หลวงอะไร แล้วเหตุใดจึงสามารถทำให้ดาบสยบดินแดนทอดทิ้งไหวอ๋องไปได้กันล่ะ’
“อ๋องสยบแดนเหนือ เขาเป็นใครกันแน่ ราชวงศ์ของเจ้ายังมียอดฝีมือเช่นนี้ซ่อนอยู่ด้วยหรือ เป็นบรรพบุรุษคนใดในราชวงศ์ต้าฟ่งของเจ้าหรือเปล่า?” พ่อมดระดับสูงตื่นตะลึง
อาหารหนาวสั่นไปทั่วกระดูกสันหลังเช่นนี้ เขาไม่ได้ประสบมาหลายปีแล้ว
สีหน้าของอ๋องสยบแดนเหนือซีดเผือด เขาเอ่ยเสียงขรึม “ตั้งแต่จักรพรรดิบรรพชนไปจนถึงจักรพรรดิอู่จง มีจอมยุทธ์ระดับสูงคนใดอายุยืนขนาดนี้ด้วยหรือ เขาไม่ใช่คนในราชวงศ์ของข้า”
ขณะที่กล่าว เงาร่างของเขาก็หายวับแล้วไปปรากฏตัวอยู่หน้าดาบสยบดินแดนพร้อมยื่นมือไปดึงมันออกมา
‘หวึ่ง!’
ประกายแสงสีทองจางๆ ระเบิดออกทันที คลื่นพลังปราณกระเพื่อมราวกับกระแสน้ำในมหาสมุทร จากนั้นก็กระแทกอ๋องสยบแดนเหนือกระเด็นออกไป ปราณดาบสายแล้วสายเล่าสาดออกมาจากร่างของจอมยุทธ์ขั้นสามจนเกิดเป็นประกายไฟหนาแน่น
ดาบสยบดินแดน…อาวุธวิเศษที่สยบโชคชะตาแห่งต้าฟ่ง และเคยร่วมรบเข่นฆ่าศัตรูมานักต่อนักกับอ๋องสยบแดนเหนือในศึกที่ด่านซานไห่เล่มนี้
มันกลับเกิดปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ขึ้นตอนที่อ๋องสยบแดนเหนือเข้าใกล้เสียได้
ที่กำแพงเมืองไกลๆ พลันเกิดเสียงโหวกเหวกโกลาหลขึ้น
ขณะนี้บนกำแพงเมืองมีทหารหลายหมื่นนายยืนอยู่ พวกเขาต่างมองเห็นภาพนี้จากที่ไกลๆ และเห็นชัดว่าดาบสยบดินแดนได้ทอดทิ้งอ๋องสยบแดนเหนือ ทั้งยังปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าใกล้เต็มๆ ตา
จิตใจของทหารทั้งหลายราวกับมีบางอย่างพังทลายลงมา
“ข้าเห็นอะไรกันนี่ นั่นต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ ข้าเห็นดาบสยบดินแดนปฏิเสธอ๋องสยบแดนเหนือ”
“อ๋องสยบแดนเหนือ…เขาฆ่าล้างเมืองจริงๆ หรือ”
“ไม่ใช่เรื่องจริง มันไม่ใช่เรื่องจริง”
อาวุธมีดดาบตกลงพื้นดัง ‘เคร้ง’ ทหารมากมายยกมือกุมศีรษะเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง บางคนไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น จึงเอ่ยถามกับเพื่อนร่วมรบข้างๆ อย่างไม่อยากเชื่อ โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะให้คำตอบที่ต่างออกไป
แต่กลับไม่คิดว่าเพื่อนร่วมรบของตนจะพังทลายลงแล้ว
ศรัทธาในใจพังล้วนทลาย
ดาบสยบดินแดนคืออาวุธวิเศษของต้าฟ่ง และเป็นอาวุธของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งดินแดน ในสายตาของทหารทุกนาย สถานะของมันสูงส่งเกินใคร
ในศึกที่ด่านซานไห่เมื่อปีนั้น จักรพรรดิทรงจัดพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษแล้วเป็นผู้มอบดาบสยบดินแดนให้แก่อ๋องสยบแดนเหนือด้วยองค์เอง
ประวัติศาสตร์ของช่วงนี้ยังคงแพร่มาในหมู่ทหารทั้งหลายจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนเอ่ยถึงด้วยความสนใจอย่างมากจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเสียงมากมายของอ๋องสยบแดนเหนือไปแล้ว
เพราะเหตุนี้ ภาพที่ดาบสยบดินแดนปฏิเสธอ๋องสยบแดนเหนือจึงโจมตีเหล่าทหารทั้งหลายจนแทบจะรับไม่ไหว
ทหารที่อยู่ใต้กำแพงเมืองมองได้ไม่ไกล เมื่อได้ยินเสียงสับสนวุ่นวายข้างบน คนมากมายต่างก็พากันเงยหน้ามองขึ้นไป จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องคำรามด้วยความแตกสลายแทนที่จะเป็นเสียงโห่ร้องยินดี
และสิ่งที่เห็นก็มิใช่ใบหน้ายิ้มแย้มของสหายร่วมรบ ทว่าเป็นใบหน้าของจิตใจที่พังทลายเสียอย่างนั้น
นี่…ทีนี้จึงคาดเดาได้แล้วว่าดาบสยบดินแดนเลือกอย่างไร และการเลือกครั้งนี้ก็ได้โจมตีพวกเขาอย่างใหญ่หลวงทีเดียว
นั่นหมายความว่า ยอดฝีมือลึกลับกลางอากาศผู้นั้นกล่าวความจริง ดาบสยบดินแดนชิงชังอ๋องสยบแดนเหนือ เพราะเขาได้ก่อความผิดมหันต์ที่ไม่อาจให้อภัยลงไป
เขาสังหารหมู่ประชาชนของต้าฟ่ง ตัวเขาและดาบสยบดินแดนมีจิตใจและคุณธรรมคนละแบบแล้ว
“มนุษย์ไร้วิถี สวรรค์ลงทัณฑ์ อ๋องสยบแดนเหนือ วันนี้คือวันตายของเจ้า”
สวี่ชีอันโฉบลงมาอย่างรวดเร็วด้วยเพลิงโทสะอันไร้ที่สิ้นสุด พร้อมกับลากเพลิงมารมหึมามาด้วย
‘ฟึ่บ…’
ดาบสยบดินแดนบินขึ้นไปอยู่ในมือของสวี่ชีอันด้วยตัวเอง ทำให้เขาดูทรงอานุภาพ หยิ่งผยอง มีพลังรุนแรงและสง่างาม เหมือนกับกึ่งเทพกึ่งมาร…แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็แค่นักพากษ์เสียงคนหนึ่งเท่านั้น
ดาบสยบดินแดนระเบิดประกายแสงเจิดจ้าบาดตาออกมา แล้วพุ่งเข้าหาอ๋องสยบแดนเหนือ
สีหน้าของจอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งพลันนิ่งขรึมแล้วดึงดาบออกมากันอย่างไม่เกรงกลัวความเฉียบคมของดาบสยบดินแดน
‘ตูม!’
ราวกับปืนใหญ่หลายร้อยชิ้นที่ระเบิดขึ้นมา คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกวาดล้างทุกสิ่ง ทำลายทุกอย่าง และพัดเศษซากปรักหักพังของบ้านเรือนรอบๆ จนเกลี้ยง
ทหารที่มองดูอยู่บนกำแพงเมืองเห็นคลื่นพลังปราณทรงกลมแผ่ออกมาแล้วกลายเป็นระลอกคลื่นได้อย่างชัดเจน เมื่อสัมผัสกับสิ่งใดก็ล้วนแต่กลายเป็นผุยผงทั้งสิ้น
ภาพนี้ใช้คำว่า ‘ภัยธรรมชาติ’ มาอธิบายได้เท่านั้น
ดาบยาวที่อยู่ในมือของอ๋องสยบแดนเหนือกลายเป็นผุยผง มันคืออาวุธเวทมนตร์ระดับสูงสุดที่สำนักโหราจารย์สร้างขึ้นมา มันตัดเหล็กได้ดั่งตัดโคลนทั้งยังทนทานเหนือสิ่งใด แม้แต่ในการต่อสู้กับบุคคลระดับสามก็ยังเปล่งประกายจุดเด่นเรื่องความคมกริบออกมาและสามารถฆ่าฟันศัตรูได้มากมาย
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับดาบสยบดินแดน มันก็เป็นแค่ดาบเปราะบางเล่มหนึ่ง
งูยักษ์สีแดงชาดฉวยโอกาสนี้เงยหน้าตั้งตรงแล้วพ่นลำแสงสีดำออกมาจากดวงตาขีดของมัน ลำแสงนี้รวดเร็วเสียยิ่งกว่าสายฟ้าและว่องไวยิ่งกว่าความคิด มันกระแทกโดนร่างของอ๋องสยบแดนเหนืออย่างจัง
ร่างกายของอ๋องสยบแดนเหนือแข็งทื่ออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ข้อต่อกระตุก ดวงตาได้แต่มองดูดาบสัมฤทธิ์นั้นฟาดฟันลงมา
“ตายซะ!”
พ่อมดที่อยู่ห่างออกไปพลันยื่นมือออกมาแล้วทำท่าคว้าจับโดยเล็งไปที่สวี่ชีอัน
วิชาสาปสังหาร
ร่างกายอมตะที่ล้อมรอบด้วยเพลิงมารราวกับถูกบางอย่างโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ดาบที่ฟันลงมาจึงถูกขัดจังหวะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง