ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 371

สรุปบท บทที่ 371-2 มนุษย์ไร้วิถี สวรรค์ลงทัณฑ์ (2): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 371-2 มนุษย์ไร้วิถี สวรรค์ลงทัณฑ์ (2) – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 371-2 มนุษย์ไร้วิถี สวรรค์ลงทัณฑ์ (2) ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 371 มนุษย์ไร้วิถี สวรรค์ลงทัณฑ์ (2)

อ๋องสยบแดนเหนือหน้าไม่เปลี่ยนสี เขาเอ่ยเสียงดังว่า ”เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดต้องใส่ร้ายผู้อื่นและว่าร้ายข้าด้วย”

สีหน้าของเชวียหย่งซิวเปลี่ยนไปทันที เขาพลันกุมดาบแน่น คนผู้นี้เป็นศัตรูมิใช่มิตร เขามาเพื่อสังหารไหวอ๋อง

‘สมควรตาย สมควรตาย น่าตายนัก เจ้าสุนัขนี่โผล่มาจากไหนกัน เหตุใดต้องมาทำลายการใหญ่ของข้ากับไหวอ๋องด้วย’ เชวียหย่งซิวโกรธมาก

เมื่อได้ยินคำพูดของอ๋องสยบแดนเหนือ เชวียหย่งซิวก็พลันเคลื่อนไหว เขาก้าวขึ้นไปบนเชิงเทินแล้วตะโกนบอก “ทหารทุกคน วันนี้ทุกอย่างล้วนเป็นแผนการของชนเผ่าป่าเถื่อนและเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกเขาคิดจะทำร้ายอ๋องสยบแดนเหนือของพวกเรา”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจของทหารแดนเหนือทุกคนก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองทันใด

“เผ่าพันธุ์ปีศาจและชนเผ่าอารยชนไม่เพียงทำร้ายอ๋องสยบแดนเหนือเท่านั้น แต่ยังคิดจะทำให้ชื่อเสียงของพระองค์แปดเปื้อน น่าชังนัก ต้องฆ่าพวกหนูโสโครกกลุ่มนี้ทิ้งให้หมด”

“อ๋องสยบแดนเหนือปกปักรักษาอยู่ที่ชายแดน ไม่ได้กลับเมืองหลวงมานานหลายปี พระองค์ทรงเป็นวีรบุรุษในใจของพวกเรา ทุกคนอย่าให้ถูกคนผู้นั้นหลอกลวงได้”

“อ๋องสยบแดนเหนือจะสิ้นพระชนม์ไม่ได้ พระองค์เป็นเทพสงครามแห่งต้าฟ่ง ต้าฟ่งต้องการเขา ประชาชนต้องการเขา”

“เราสาบานว่าจะปกป้องอ๋องสยบแดนเหนือ”

ทหารแดนเหนือปลุกความเร่าร้อนขึ้นมา ถึงตายก็ต้องใช้ศพของตนปูทางให้อ๋องสยบแดนเหนือมีชีวิตอยู่ต่อไป

ตอนนี้เอง สวี่ชีอันที่ลอยอยู่บนฟ้าก็โยนดาบสยบดินแดนในมือออกมาและปักมันลงไปบนดิน

“อ๋องสยบแดนเหนือ ดาบสยบดินแดนมีจิตวิญญาณ มันแยกแยะผู้ภักดีและผู้ทรยศได้ ทั้งยังรู้ใจคน หากเจ้าไม่มีเจตนาร้าย เช่นนั้นก็ถามมันดูเถิดว่าจะเลือกเจ้าหรือไม่”

สวี่ชีอันคล้ายกลับได้ยินเสียงดาบร้อง ราวกับกำลังบ่นว่าด้วยความน้อยใจที่เขาโยนมันทิ้ง

ชั่วขณะนี้เอง เสียงก่นด่าจากที่ไกลๆ ก็พลันหยุดชะงักลง

ทหารที่ยืนอยู่บนกำแพงต่างพากันมองลงมาจากข้างบน พวกเขาจดจ้องไปยังอ๋องสยบแดนเหนือและดาบสยบดินแดนที่อยู่ห่างไกล ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา

ทหารที่อยู่ใต้กำแพงเมืองมองไม่เห็น ในใจจึงร้อนรนจนเป็นกังวลและอยากจะสวมปีกบินขึ้นไปบนกำแพงเมืองเสียเดี๋ยวนี้

ตอนนี้เอง นอกจากการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่ที่ที่ยังคงดำเนินต่อไปแล้ว คนส่วนใหญ่ต่างก็หยุดการฆ่าฟันกันโดยพลัน ชนเผ่าป่าเถื่อน เผ่าพันธุ์ปีศาจ และทหารของต้าฟ่งทั้งต้องระมัดระวังฝ่ายตรงข้าม เว้นระยะห่าง และก็ต้องแบ่งจิตใจมาดูสถานการณ์ทางนั้นด้วย

ดาบสยบดินแดนรับรู้โชคชะตาของผู้คน มิใช่ยึดถือเพียงใครหนึ่งคน ในฐานะที่เขาเป็นชินอ๋องแห่งต้าฟ่งและมีชื่อเสียงมากมาย โชคชะตาก็ยังมีอยู่ ดังนั้นแล้ว เขาจะใช้ดาบสยบดินแดนไม่ได้ได้อย่างไรกัน…มุมปากของอ๋องสยบแดนเหนือกระตุกแล้วยื่นมือออกไปหาดาบคู่ใจของบรรพชนจักรพรรดิ

พลังปราณเคลื่อนไหวชี้นำไปที่ดาบและพยายามจะดึงมันออก

เมื่อเห็นภาพนี้ จู๋จิ่วและจี๋ลี่จือกู่ รวมไปถึงสตรีในชุดขาวต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เกิดความรู้สึกอยากเข้าไปหยุดไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าก็ได้แต่ถอยหลังกลับ รักษาระยะห่างอยู่ไกลๆ

ตอนนี้สายเกินไปที่จะหยุดแล้ว ไม่ทันแล้ว

‘หวึ่ง หวึ่ง…’

ทันใดนั้น ดาบทองสัมฤทธิ์ก็แผ่ประกายแสงสีทองอ่อนออกมา แล้วผลักพลังปราณของไหวอ๋องออกไป ไม่ยอมให้เขาได้แตะต้อง

ดาบสยบดินแดนปฏิเสธไหวอ๋อง…

จี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่วสบตาแล้วส่งเสียงสื่อสารกัน

“คนผู้นั้นมีตัวตนไม่แน่ชัด แต่มีภูมิหลังเกินกว่าจะจินตนาการได้ ดังนั้นอย่าประมาท แม้ว่าเขาจะมุ่งเป้าไปที่อ๋องสยบแดนเหนือ แต่ก็คงไม่มีทางปล่อยพวกเราไปแน่”

“ไม่ต้องสนว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะอยู่หรือตาย เพราะการแย่งชิงยาโลหิตมาคือเป้าหมายครั้งนี้ของพวกเรา”

ที่ใจกลางดอกบัว ร่างสีดำสนิทจดจ้องสวี่ชีอันด้วยความสงสัย ‘คนผู้นี้ได้รับพรจากโชคอย่างล้ำลึก แต่ไม่ใช่คนที่มีโชคชะตาใหญ่หลวงอะไร แล้วเหตุใดจึงสามารถทำให้ดาบสยบดินแดนทอดทิ้งไหวอ๋องไปได้กันล่ะ’

“อ๋องสยบแดนเหนือ เขาเป็นใครกันแน่ ราชวงศ์ของเจ้ายังมียอดฝีมือเช่นนี้ซ่อนอยู่ด้วยหรือ เป็นบรรพบุรุษคนใดในราชวงศ์ต้าฟ่งของเจ้าหรือเปล่า?” พ่อมดระดับสูงตื่นตะลึง

อาหารหนาวสั่นไปทั่วกระดูกสันหลังเช่นนี้ เขาไม่ได้ประสบมาหลายปีแล้ว

สีหน้าของอ๋องสยบแดนเหนือซีดเผือด เขาเอ่ยเสียงขรึม “ตั้งแต่จักรพรรดิบรรพชนไปจนถึงจักรพรรดิอู่จง มีจอมยุทธ์ระดับสูงคนใดอายุยืนขนาดนี้ด้วยหรือ เขาไม่ใช่คนในราชวงศ์ของข้า”

ขณะที่กล่าว เงาร่างของเขาก็หายวับแล้วไปปรากฏตัวอยู่หน้าดาบสยบดินแดนพร้อมยื่นมือไปดึงมันออกมา

‘หวึ่ง!’

ประกายแสงสีทองจางๆ ระเบิดออกทันที คลื่นพลังปราณกระเพื่อมราวกับกระแสน้ำในมหาสมุทร จากนั้นก็กระแทกอ๋องสยบแดนเหนือกระเด็นออกไป ปราณดาบสายแล้วสายเล่าสาดออกมาจากร่างของจอมยุทธ์ขั้นสามจนเกิดเป็นประกายไฟหนาแน่น

ดาบสยบดินแดน…อาวุธวิเศษที่สยบโชคชะตาแห่งต้าฟ่ง และเคยร่วมรบเข่นฆ่าศัตรูมานักต่อนักกับอ๋องสยบแดนเหนือในศึกที่ด่านซานไห่เล่มนี้

มันกลับเกิดปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ขึ้นตอนที่อ๋องสยบแดนเหนือเข้าใกล้เสียได้

ที่กำแพงเมืองไกลๆ พลันเกิดเสียงโหวกเหวกโกลาหลขึ้น

ขณะนี้บนกำแพงเมืองมีทหารหลายหมื่นนายยืนอยู่ พวกเขาต่างมองเห็นภาพนี้จากที่ไกลๆ และเห็นชัดว่าดาบสยบดินแดนได้ทอดทิ้งอ๋องสยบแดนเหนือ ทั้งยังปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าใกล้เต็มๆ ตา

จิตใจของทหารทั้งหลายราวกับมีบางอย่างพังทลายลงมา

“ข้าเห็นอะไรกันนี่ นั่นต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ ข้าเห็นดาบสยบดินแดนปฏิเสธอ๋องสยบแดนเหนือ”

“อ๋องสยบแดนเหนือ…เขาฆ่าล้างเมืองจริงๆ หรือ”

“ไม่ใช่เรื่องจริง มันไม่ใช่เรื่องจริง”

อาวุธมีดดาบตกลงพื้นดัง ‘เคร้ง’ ทหารมากมายยกมือกุมศีรษะเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง บางคนไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น จึงเอ่ยถามกับเพื่อนร่วมรบข้างๆ อย่างไม่อยากเชื่อ โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะให้คำตอบที่ต่างออกไป

แต่กลับไม่คิดว่าเพื่อนร่วมรบของตนจะพังทลายลงแล้ว

ศรัทธาในใจพังล้วนทลาย

ดาบสยบดินแดนคืออาวุธวิเศษของต้าฟ่ง และเป็นอาวุธของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งดินแดน ในสายตาของทหารทุกนาย สถานะของมันสูงส่งเกินใคร

ในศึกที่ด่านซานไห่เมื่อปีนั้น จักรพรรดิทรงจัดพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษแล้วเป็นผู้มอบดาบสยบดินแดนให้แก่อ๋องสยบแดนเหนือด้วยองค์เอง

ประวัติศาสตร์ของช่วงนี้ยังคงแพร่มาในหมู่ทหารทั้งหลายจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนเอ่ยถึงด้วยความสนใจอย่างมากจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเสียงมากมายของอ๋องสยบแดนเหนือไปแล้ว

เพราะเหตุนี้ ภาพที่ดาบสยบดินแดนปฏิเสธอ๋องสยบแดนเหนือจึงโจมตีเหล่าทหารทั้งหลายจนแทบจะรับไม่ไหว

ทหารที่อยู่ใต้กำแพงเมืองมองได้ไม่ไกล เมื่อได้ยินเสียงสับสนวุ่นวายข้างบน คนมากมายต่างก็พากันเงยหน้ามองขึ้นไป จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องคำรามด้วยความแตกสลายแทนที่จะเป็นเสียงโห่ร้องยินดี

และสิ่งที่เห็นก็มิใช่ใบหน้ายิ้มแย้มของสหายร่วมรบ ทว่าเป็นใบหน้าของจิตใจที่พังทลายเสียอย่างนั้น

นี่…ทีนี้จึงคาดเดาได้แล้วว่าดาบสยบดินแดนเลือกอย่างไร และการเลือกครั้งนี้ก็ได้โจมตีพวกเขาอย่างใหญ่หลวงทีเดียว

นั่นหมายความว่า ยอดฝีมือลึกลับกลางอากาศผู้นั้นกล่าวความจริง ดาบสยบดินแดนชิงชังอ๋องสยบแดนเหนือ เพราะเขาได้ก่อความผิดมหันต์ที่ไม่อาจให้อภัยลงไป

เขาสังหารหมู่ประชาชนของต้าฟ่ง ตัวเขาและดาบสยบดินแดนมีจิตใจและคุณธรรมคนละแบบแล้ว

“มนุษย์ไร้วิถี สวรรค์ลงทัณฑ์ อ๋องสยบแดนเหนือ วันนี้คือวันตายของเจ้า”

สวี่ชีอันโฉบลงมาอย่างรวดเร็วด้วยเพลิงโทสะอันไร้ที่สิ้นสุด พร้อมกับลากเพลิงมารมหึมามาด้วย

‘ฟึ่บ…’

ดาบสยบดินแดนบินขึ้นไปอยู่ในมือของสวี่ชีอันด้วยตัวเอง ทำให้เขาดูทรงอานุภาพ หยิ่งผยอง มีพลังรุนแรงและสง่างาม เหมือนกับกึ่งเทพกึ่งมาร…แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็แค่นักพากษ์เสียงคนหนึ่งเท่านั้น

ดาบสยบดินแดนระเบิดประกายแสงเจิดจ้าบาดตาออกมา แล้วพุ่งเข้าหาอ๋องสยบแดนเหนือ

สีหน้าของจอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งพลันนิ่งขรึมแล้วดึงดาบออกมากันอย่างไม่เกรงกลัวความเฉียบคมของดาบสยบดินแดน

‘ตูม!’

ราวกับปืนใหญ่หลายร้อยชิ้นที่ระเบิดขึ้นมา คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกวาดล้างทุกสิ่ง ทำลายทุกอย่าง และพัดเศษซากปรักหักพังของบ้านเรือนรอบๆ จนเกลี้ยง

ทหารที่มองดูอยู่บนกำแพงเมืองเห็นคลื่นพลังปราณทรงกลมแผ่ออกมาแล้วกลายเป็นระลอกคลื่นได้อย่างชัดเจน เมื่อสัมผัสกับสิ่งใดก็ล้วนแต่กลายเป็นผุยผงทั้งสิ้น

ภาพนี้ใช้คำว่า ‘ภัยธรรมชาติ’ มาอธิบายได้เท่านั้น

ดาบยาวที่อยู่ในมือของอ๋องสยบแดนเหนือกลายเป็นผุยผง มันคืออาวุธเวทมนตร์ระดับสูงสุดที่สำนักโหราจารย์สร้างขึ้นมา มันตัดเหล็กได้ดั่งตัดโคลนทั้งยังทนทานเหนือสิ่งใด แม้แต่ในการต่อสู้กับบุคคลระดับสามก็ยังเปล่งประกายจุดเด่นเรื่องความคมกริบออกมาและสามารถฆ่าฟันศัตรูได้มากมาย

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับดาบสยบดินแดน มันก็เป็นแค่ดาบเปราะบางเล่มหนึ่ง

งูยักษ์สีแดงชาดฉวยโอกาสนี้เงยหน้าตั้งตรงแล้วพ่นลำแสงสีดำออกมาจากดวงตาขีดของมัน ลำแสงนี้รวดเร็วเสียยิ่งกว่าสายฟ้าและว่องไวยิ่งกว่าความคิด มันกระแทกโดนร่างของอ๋องสยบแดนเหนืออย่างจัง

ร่างกายของอ๋องสยบแดนเหนือแข็งทื่ออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ข้อต่อกระตุก ดวงตาได้แต่มองดูดาบสัมฤทธิ์นั้นฟาดฟันลงมา

“ตายซะ!”

พ่อมดที่อยู่ห่างออกไปพลันยื่นมือออกมาแล้วทำท่าคว้าจับโดยเล็งไปที่สวี่ชีอัน

วิชาสาปสังหาร

ร่างกายอมตะที่ล้อมรอบด้วยเพลิงมารราวกับถูกบางอย่างโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ดาบที่ฟันลงมาจึงถูกขัดจังหวะ

“ข้ามีวิชาลับที่สามารถแผดเผาร่างอมตะ และทำให้พลังพุ่งพรวดถึงสูงสุดได้ในเวลาสั้นๆ แต่จำเป็นต้องใช้แก่นโลหิตจำนวนมากมาเป็นเชื้อเพลิง ต้องช่วยเจ้าจบการต่อสู้นี้โดยไว”

สวี่ชีอันใจหล่นตุบ “เป็นระดับสูงสุดในชีวิตก่อนของท่านหรือ”

ไต้ซือเสินซูเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ แต่แค่ใช้ต่อกรกับพวกเขาก็เพียงพอแล้ว…อีกอย่าง ข้าก็ยังไม่ตายด้วย”

สวี่ชีอันจ้องมองยาโลหิตในมือ ในหัวมีประโยคหนึ่งวาบขึ้นมา ‘สุดท้ายเด็กชายผู้สังหารมังกรก็กลายเป็นปีศาจ’

ไต้ซือเสินซูเห็นเขาเงียบไปก็ไม่ลังเลอีก เขากลืนเศษยาโลหิตนั้นลงไป

“พลังแข็งแกร่งมาก สมแล้วที่เป็นยาโลหิตที่หลอมกลั่นจากการสังเวยสามแสนแปดหมื่นชีวิต จิ๊ๆ อ๋องสยบแดนเหนือ เจ้าบอกเคล็ดวิชาหลอมยาโลหิตกับข้าหน่อยสิ บางทีพวกเราอาจจะฆ่าล้างเมืองด้วยกัน แล้วเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสองพร้อมกันได้อย่างไรเล่า”

จี๋ลี่จือกู่เหยียดแข้งเหยียดขา สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่หลอมละลายอยู่ในร่างกาย จิตใจพลันสุขสมถึงขีดสุด

“จริงด้วย!”

จู๋จิ่วเอ่ยภาษามนุษย์ออกมาแล้วกล่าวหยอก “เราสองคนหลอมยาโลหิตนี้ไม่ได้ ถ้าให้กลืนกินชีวิตแบบไม่เลือกหน้าก็เป็นแค่อาหารเสริมเท่านั้น ไม่ได้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้เลย อ๋องสยบแดนเหนืออย่างเจ้าสามารถลอบฆ่าล้างเมืองได้แค่เมืองเดียว ทั้งยังก็มีโอกาสถูกท่านโหราจารย์จบชีวิตได้ด้วย เช่นนั้นทำไมพวกเราสามคนไม่มาร่วมมือกันแล้วสกัดยาโลหิตออกมาสักสองสามเม็ดดูล่ะ”

มันพูดพลางบิดร่างงูไปด้วย ราวกับกำลังคันและใกล้จะลอกคราบ

พ่อมดระดับสูงเอ่ยเยาะ “กวางจะตายด้วยน้ำมือใครก็ยังไม่แน่”

สตรีในชุดขาวเหลือบมองสวี่ชีอันแล้วหัวเราะคิก “ข้าจะไปเล่นกับพวกเจ้าเอง”

ผู้นำเต๋านิกายปฐพีดูแคลนนัก ยาโลหิตมีประโยชน์กับเขาไม่มาก เขาจึงไม่ได้กินลงไปแต่แอบซ่อนเอาไว้ ตัวเขาเป็นเพียงร่างแยก และตอนนี้ก็ได้สิ่งที่ตนต้องการมาแล้ว นั่นก็คือ

‘บาปจากการสังหารล้างเมือง!’

ถึงอย่างไรก็สมอารมณ์หมายแล้ว แต่ให้ต่อสู้ร่วมกับพวกเขาอีกสักยกก็ไม่เสียหายอะไร

หลังจากกลืนยาโลหิตลงไป กลิ่นอายของแต่ละคนก็พุ่งพรวดขึ้นมา พวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจ

เมื่อตนก้าวผ่านขีดสูงสุดแล้ว แม้แต่ความกลัวต่อดาบสยบดินแดนก็ยังลดลงไปมาก

อ๋องสยบแดนเหนือฉีกชุดเกราะออก เผยให้เห็นร่างกายสีทองแดงพร้อมกล่าวเสียงเรียบ

“ข้าทะลวงถึงระดับสูงสุดของชีวิตนี้แล้ว ในเมื่อยาโลหิตถูกแบ่งส่วน เป้าหมายของพวกเจ้าก็สำเร็จแล้วเช่นกัน จู๋จิ่ว จี๋ลี่จือกู่ เรามาร่วมมือกันเถิด จัดการสังหารเจ้าคนผู้นี้เสียก่อน”

จี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่วมองไปทางสวี่ชีอันทันที ดวงตาสามคู่มีความกริ่งเกรงอย่างล้ำลึกอยู่ภายใน

อ๋องสยบแดนเหนือกำลังชักนำภัยให้ผู้อื่น เขากำลังโยนความกดดันมาที่พวกเขา

แต่นี่คือการร่วมมือ

คนผู้นี้มีที่มาลึกลับและยังใช้งานดาบสยบดินแดนได้ ในการต่อสู้เมื่อครู่ก็ยังมีความเป็นอริต่อพวกเขา หากดาบสยบดินแดนสังหารอ๋องสยบแดนเหนือได้ ก็จินตนาการได้เลยว่าเป้าหมายต่อไปของคนผู้นี้จะต้องเป็นพวกเขาแน่นอน

ซึ่งการมีอยู่ของดาบสยบดินแดนก็เป็นทั้งพลังทำลายล้างและภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อพวกเขาจริงๆ

ในทางกลับกัน อ๋องสยบแดนเหนือถูกดาบสยบดินแดนทอดทิ้งแล้ว พลังจึงไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าพวกเขา เขาจึงไม่ใช่ภัยคุกคามใหญ่โตอะไรนัก

จู๋จิ่วและจี๋ลี่จือกู่มองสบตากันแล้วแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา “ได้”

อ๋องสยบแดนเหนือมุมปากกระตุกแล้วยกยิ้มขึ้น “ตั้งพันธมิตรสำเร็จ”

‘รอให้สังหารคนผู้นี้และนำดาบสยบดินแดนกลับมา ข้าก็จะร่วมมือกับอ๋องสยบแดนเหนือสังหารจู๋จิ่ว หากอันตรายแฝงตนนี้ไม่ถูกกำจัด อ๋องสยบแดนเหนืออาจตาย แต่จู๋จิ่วอย่างไรก็ฆ่าเองไม่สำเร็จ…’ หลังจากชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ พ่อมดระดับสูงก็ยอมพบกันครึ่งทาง

เพียงชั่วพริบตา อ๋องสยบแดนเหนือ พ่อมด เฮยเหลียน จู๋จิ่ว และจี๋ลี่จือกู่ก็เบี่ยงสายตาไปจ้องที่สวี่ชีอันโดยพร้อมเพรียงกัน

ยอดฝีมือทั้งห้าก่อเกิดความเข้าใจโดยปริยาย พวกเขาต้องสังหารคนผู้นี้ให้ได้

การเปลี่ยนแปลงของสนามรบทำให้ทหาร สายลับ และยอดฝีมือที่มองอยู่บนกำแพงเมืองต้องประหลาดใจ

สายตาของทหารเหล่านั้นมองไปยังชายลึกลับที่ยืนถือดาบสยบดินแดนเพียงลำพังด้วยสายตาซับซ้อน

สตรีในชุดขาวไม่ได้สอดมือยุ่ง นางยืดตัวตรงแล้วมองดูด้วยท่าทางกอดอก

นางจดจ้องไปยังสวี่ชีอันนิ่ง คล้ายชื่นชมแต่ก็เศร้าใจ

‘เสินซู แสดงให้เห็นปลายยอดภูเขาน้ำแข็งแห่งพลังต่อสู้ที่แท้จริงของเจ้าออกมาสิ’

…………………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง