ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 372

บทที่ 372 ผู้ล้างแค้น (1)

ดังคำกล่าวที่ว่า ‘สมรภูมิรบเปลี่ยนแปลงสุดจะหยั่งคาดในชั่วเสี้ยวอึดใจ’

ประโยคนี้ควรนำมาใช้ในสถานที่นี้

ไม่มีใครคาดคิด ว่าเผ่าอนารยชนและอ๋องสยบแดนเหนือที่ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครู่ จู่ๆ จะกลายเป็นพันธมิตรกัน และเล็งหัวหอกไปยังผู้แข็งแกร่งปริศนาที่ถือดาบสยบดินแดนอยู่ในมือ

ในเวลาเดียวกับที่ยอดฝีมือระดับสูงทั้งห้าจ้องมาที่เขา สวี่ชีอันเลียริมฝีปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัวและกระหายเลือด

“ดูเหมือนเจ้าจะตื่นเต้น? คิดจริงๆ หรือว่ามีดาบสยบดินแดนเพียงหนึ่งจะล้มห้าได้” อ๋องสยบแดนเหนือหรี่ตาลงและกล่าวยิ้มเยาะ

“ดูจากกลิ่นอายของเจ้าแล้ว เจ้าก็เป็นขั้นสามเหมือนกัน โลหิตไม่พออยู่พอดี ใช้แก่นแท้ชีวิตเจ้ามาเติมเต็มก็ไม่เลว”

แก่นแท้ชีวิตของยอดฝีมือขั้นสามไม่ได้แย่ไปกว่าโลหิต หากจะพูดให้ถูก อ๋องสยบแดนเหนือกลั่นโลหิตบริสุทธิ์ ก็เพื่อให้ได้พลังชีวิตมหาศาลที่สามารถผลักดันให้เขาไปสู่ขั้นสองได้

สาระสำคัญคือ ‘พลังชีวิตมหาศาล’ ยาโลหิตที่ถูกกลั่นออกมาจากผู้คนกว่าสามแสนคนคือพลังชีวิต แก่นโลหิตของยอดฝีมือขั้นสามก็เป็นพลังชีวิตเช่นกัน

เพียงแต่ปกติแล้วเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะฆ่ายอดฝีมือขั้นสาม การสังหารหมู่คนธรรมดาจึงง่ายกว่ามาก

เมื่อได้ยินคำพูดอ๋องสยบแดนเหนือ จู๋จิ่วและจี๋ลี่จือกู่ก็เลียริมฝีปากแผล็บๆ เผยให้เห็นความโลภ

โอกาสดีๆ อย่างการรุมฆ่ายอดฝีมือขั้นสามเช่นนี้คงไม่ได้มีมาบ่อยๆ

เผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจเป็นพันธมิตรกัน โดยมียอดฝีมือขั้นสามสองท่าน ถึงแม้ทางเหนือจะมีเพียงอ๋องสยบแดนเหนือที่เป็นยอดฝีมือขั้นสามอยู่ท่านเดียว แต่เขาได้เปรียบในฐานะที่เป็นเจ้าถิ่น มีค่ายกลป้องกันเมืองและอาวุธเวทมนตร์ระดับทำลายล้างมากมาย

โดยปกติอ๋องสยบแดนเหนือเป็นคนแน่วแน่และไม่ยอมแพ้ แต่เขาไม่มีทางทุ่มเทปกป้องเมืองฉู่โจวอย่างสุดชีวิตแน่นอน ซึ่งเขาและจู๋จิ่วก็ไม่สามารถขัดขวางยอดฝีมือขั้นสามที่คิดจะหลบหนีได้

แต่หากฆ่าอ๋องสยบแดนเหนือไม่ได้ ก็มีแต่จะเกิดข้อครหากับต้าฟ่ง พวกเขากลัวว่าเว่ยเยวียนจะระดมพลไปทางเหนืออีกครั้ง ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงขัดแย้งกันเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เคยต่อสู้กันยิ่งใหญ่เช่นนี้

ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้ยอดฝีมือระดับสูงทั้งห้ากำลังล้อมฆ่ายอดฝีมือขั้นสามท่านหนึ่ง แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีดาบสยบดินแดน อย่างมากที่สุดก็กลายเป็นเนื้อย่างที่เสียบอยู่บนไม้ จะกินก็ยาก และมีเพียงความยากเท่านั้น

ภายใต้การเฝ้าดูของทุกคน สวี่ชีอันวางดาบสยบดินแดนลงบนพื้น ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้า จากนั้นก็ปล่อยเสียงหัวเราะอันแหบแห้งและแปลกประหลาดออกมา

“ถูกกดขี่มานาน ในที่สุดก็ได้ปล่อยพลังออกมาเต็มที่ เด็กอ่อนขั้นสามทั้งห้าอย่างพวกเจ้า ข้าก็ยังกินไม่อิ่ม”

จากนั้นเขาก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว และประกาศก้องว่า “ยกที่หนึ่ง”

อ๋องสยบแดนเหนือและคนอื่นๆ เลิกคิ้วขึ้น พวกเขารู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้กำลังวางมาดใหญ่โตเพื่อข่มขู่ผู้คน เนื่องจากพลังของยาโลหิตทำให้เขาสูญเสียทักษะการประเมินตนเองไปเล็กน้อย

นี่ๆ ไต้ซือ ท่านเลินเล่อเกินไปแล้ว แม้ว่าตอนมีชีวิตอยู่ท่านอาจจะแข็งแกร่งมาก แต่ตอนนี้ท่านเป็นเพียงวิญญาณที่แขนหักซ้ำยังพิการ…

สวี่ชีอันยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสถานะของไต้ซือเสินซู

ทุกครั้งที่ร่างอมตะปรากฏขึ้น ไต้ซือเสินซูจะทำตัวแปลกไป รวมทั้งอารมณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ราวกับว่ากลายเป็นอีกคนหนึ่ง

“เขียนเสือให้วัวกลัว!”

พ่อมดพ่นลมหายใจ พลางกางฝ่ามือออกและเล็งไปที่สวี่ชีอัน “ตะ…”

สิ่งที่เขาอยากจะพูดคือ ‘ตาย’ เขากำลังใช้วิชาสาปสังหารจัดการกับผู้แข็งแกร่งที่จู่ๆ ก็สติฟั่นเฟือนคนนี้ เพื่อให้เขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก

แต่กล่าวคำว่า ‘ตาย’ ได้เพียงครึ่งเดียว จู่ๆ ‘สวี่ชีอัน’ ก็กดนิ้วชี้ลงที่ริมฝีปากของเขาอย่างกะทันหัน และกล่าวด้วยโทนเสียงทุ้มต่ำเกินจริงว่า “หึ หุบปากเจ้าไปซะ”

ชั่วขณะนั้น พ่อมดรู้สึกว่าปากของเขาถูกปิดผนึกด้วยพลังที่มองไม่เห็น ต่อให้พยายามออกแรงอ้าปากเพียงใดก็ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้

จากนั้นสวี่ชีอันก็หายตัวไป และออกไปต่อสู้ในระยะประชิด

กลุ่มไฟปะทุขึ้นและส่องแสงแวววับบาดตา คนนอกย่อมมองไม่เห็นรายละเอียดการต่อสู้อย่างแน่นอน ทำได้เพียงสัมผัสความดุเดือดของการต่อสู้ผ่านเสียงฟ้าร้อง และเสียงระเบิดที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากนั้นก็มีร่างหนึ่งกระเด็นออกมา หลังจากกระตุ้นพลังปราณ ร่างของพ่อมดในสำนักพ่อมดก็ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จนสูงและใหญ่กว่ายักษ์ร่างน้ำเงินจี๋ลี่จือกู่

แต่ตอนนี้เขาถูกตีกลับสู่ร่างเดิม หน้าอกเว้าลงเป็นแอ่ง เกิดรูดาบล่องหนบริเวณช่องท้อง มือซ้ายและสะบักไหล่ขาดออกจากกันเนื่องจากถูกตัดขาดด้วยดาบ

พ่อมดระดับสูงล่าถอยอย่างรวดเร็ว เขาใช้ทักษะจิตวิญญาณแห่งโลหิตขั้นเก้าในกระบวนการกระตุ้นพลังปราณ เพื่อซ่อมแซมบาดแผลและก่อรูปแขนที่หักของตนเองอีกครั้ง

“ระวัง เขาไม่มีจุดอ่อน ข้าหาจุดอ่อนของเขาไม่เจอ” พ่อมดกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

พ่อมดขั้นสามเรียกว่า ‘หลิงฮุ่ย’ มันสามารถมองเห็นจุดอ่อนและข้อบกพร่องในการเคลื่อนที่ของศัตรู เพื่อวางแผนการโจมตีและโต้กลับที่มีประสิทธิภาพ

คุณลักษณะใหญ่ที่สุดที่หลิงฮุ่ยมอบให้ คือการกระทำอย่างชำนาญโดยไม่ต้องออกแรง เช่นเดียวกับผู้แข็งแกร่งซึ่งอยู่เหนือมวลชน ไม่ว่าเจ้าจะโจมตีอย่างบ้าคลั่งเพียงใด เขาก็จะแก้ไขด้วยความสงบนิ่งโดยตลอด

“เจ้าเป็นคนในสำนักพุทธใช่หรือไม่”

จู๋จิ่วกรีดร้องด้วยสัญชาตญาณความหวาดกลัว และดวงตาแนวตั้งของมันก็ฉายรังสีแห่งความเกลียดชังออกมาทันที

เมื่อห้าร้อยปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นปีศาจทางใต้ซึ่งถูกกำจัดในหกสิบปีก็ดี หรือปีศาจทางเหนือในตอนนี้ที่ดำรงอยู่ด้วยความยากลำบากก็ดี ทั้งหมดล้วนได้รับความทุกข์ยากเพราะสำนักพุทธ ทั้งหมดล้วนเคยถูกสำนักพุทธสั่งสอน

จิ่วโจวเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว มีเพียงลัทธิขงจื๊อแห่งต้าฟ่งเท่านั้น ที่สามารถแข่งขันกับสำนักพุทธได้

ตอนนี้ลัทธิขงจื๊อเสื่อมถอย จึงพูดได้ว่าสำนักพุทธเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจิ่วโจว

“สำนักพุทธแล้วอย่างไร เมื่อเนื้อหนังข้ากลับมารวมกัน ก็ถึงเวลาที่สำนักพุทธจะล่มสลาย”

สวี่ชีอันส่งเสียงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน ราวกับคนวิกลจริตที่ไม่เห็นกฎหมาย หรือกฎของสวรรค์อยู่ในสายตา

ทันใดนั้น แสงสีทองก็ส่องสว่างสูงตระหง่าน มันยิงตรงมาที่เสินซู แต่แท้จริงกลับยิงไปที่ภาพติดตา

วินาทีต่อมา จู๋จิ่วที่กำลังแอบซุ่มโจมตีก็ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ มันหันศีรษะไปอย่างห้าวหาญ แสงสีทองฉายอยู่ในดวงตาแนวตั้ง

ทันทีที่ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ก็ถูกแสงสีทองฉีกออกเป็นชิ้นๆ ที่แท้ก็เป็นเพียงภาพลวงตา

‘ตุบ!’

ร่างของ ‘สวี่ชีอัน’ ที่ปกคลุมไปด้วยเพลิงมารตกลงบนหลังงูยักษ์สีแดงก่ำ เขาแทงดาบทองสัมฤทธิ์เข้าที่บริเวณหลังงูยักษ์ ก่อนจะลากมันไปบนถนนสีแดงฉานอย่างบ้าระห่ำ

ดาบสยบดินแดนเฉือนเข้าที่เนื้อของงูยักษ์ ตัดกระดูกสันหลังส่วนคอออกเป็นชิ้นๆ

กองดอกไม้สีเลือดเบ่งบานอยู่ข้างหลังเขา

จู๋จิ่วคำรามเสียงแหลมด้วยความโศกเศร้า ร่างของงูยักษ์พลิกตัวไปมาอยู่กลางเมืองและพุ่งชนอาละวาดไปทั่ว ในสายตาของเหล่าทหารที่อยู่บนกำแพงเมือง มันเป็นเหมือนงูบ้าตัวหนึ่งที่เลื้อยเข้าไปในกล่องทราย

เวลานี้ ยักษ์ร่างน้ำเงินจี๋ลี่จือกู่ก็ปรากฏตัวที่ด้านหลังสวี่ชีอันอย่างเงียบๆ และฟาดดาบยักษ์ลงมาอย่างรวดเร็ว

สวี่ชีอันราวกับมีตาอยู่ข้างหลัง เขาหันตัวกลับไปพร้อมกับตวัดดาบสยบดินแดน

‘ปัง ปัง ปัง…’

ดาบเหล็กขนาดเท่าฝาประตูบ้านที่อยู่ในมือของยักษ์ร่างน้ำเงินเป็นเหมือนของเล่น ช่วงเวลาที่ทั้งสองต่อสู้กัน ดาบเหล็กนั้นสั้นลงทีละนิ้ว ก่อนจะกลายเป็นเศษเหล็กที่แตกออกจากกันเป็นแผ่นๆ ในพริบตา

สวี่ชีอันยืนขึ้นและจับศีรษะของยักษ์ร่างน้ำเงิน วิ่งไปด้านหลังเขาอย่างรวดเร็วราวกับปลาว่ายน้ำ ทันทีที่มีเสียงดังคลิก ใบหน้าของยักษ์ร่างน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเขา

ดาบทองสัมฤทธิ์ส่องประกาย ตัดผ่านเกราะที่ปกป้องอยู่ภายนอก ตัดผ่านหลอดลม ตัดผ่านหลอดเลือดแดง เลือดสีแดงอมเขียวหลั่งไหลราวกับน้ำพุและพุ่งสูงหลายเมตรภายใต้แรงกดดันมหาศาล

จู่ๆ อ๋องสยบแดนเหนือก็ขนลุกชันด้วยความหวาดกลัว ด้วยสัญชาตญาณที่มีในตัวนักรบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตราย เขากระโจนเข้าไปอย่างดุเดือด และฟันดาบที่กำลังพุ่งมายังศีรษะอย่างรวดเร็ว

ชั่วพริบตาที่เขายืนหยัดอย่างมั่นคง เสินซูติดตามเขาเป็นเงาตามตัว ดาบสยบดินแดนระเบิดแสงสีทองอันรุ่งโรจน์ราวกับจะทลายความว่างเปล่าบนท้องฟ้า

นัยน์ตาของอ๋องสยบแดนเหนือมีเพียงแสงสว่างจ้า ขนอ่อนตามตัวลุกชัน ทุกเส้นประสาทในร่างกายของเขากำลังส่งสัญญาณอันตรายให้เขารับรู้ และบอกเขาว่า อันตราย อันตราย หากไม่หลบไปจะตาย!

ตั้งแต่สงครามที่ด่านซานไห่ก็ไม่เคยประสบกับภัยอันตรายจนถึงชีวิตมาหลายปีแล้ว

วินาทีนี้ หัวใจของเขากลับสงบลงมาก รู้สึกสมองโล่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บางคนยิ่งเสี่ยงอันตรายมากเพียงใด ก็ยิ่งระเบิดพลังแฝงออกมาได้เพียงนั้น

อ๋องสยบแดนเหนือผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ สมควรแล้วที่เขาจะหัวเราะทีหลังแล้วดังกว่า

การแสดงออกของเขาเป็นเหมือนคลื่นยักษ์ที่สงบนิ่ง ดวงตาของเขาไม่ไหวติงราวกับกระจกเงา เขากำหมัดแน่นและค่อยๆ เงื้อมมือทุบ แต่มันกลับเร็วอย่างขีดสุด

ทันทีที่กำปั้นจอมเผด็จการพุ่งออกไป ก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทั้งสวรรค์และโลก เมฆที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าสูงหมุนเป็นกระแสน้ำวน แผ่นดินสั่นสะเทือนดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับไม่สามารถทนต่อจิตใจที่เผด็จการได้อีกต่อไป

อย่างที่ทราบกันดีว่าความหยาบคาบของนักรบเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่มีวิธีการพิเศษที่ตระการตา ไม่มีทักษะที่น่าดึงดูด

ด้วยเหตุนี้ หมัดของอ๋องสยบแดนเหนือหมัดนี้จึงใช้พลังปราณของตนเองทั้งหมด เพื่อกระตุ้นการมองเห็นของฟ้าดิน ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

‘ปัง!’

หมัดและดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น ราวกับเสียงระฆังยักษ์ที่ก้องไปทั่วฟ้าดิน ส่งผลให้กองทัพทหารและทหารม้าเผ่าอนารยชนที่อยู่ในระยะไกลต่างตื่นตระหนก

พลังงานอันดุเดือดกลายเป็นระลอกคลื่นอันทรงพลังโดยมีพวกเขาทั้งสองอยู่ตรงกลาง พื้นดินบริเวณรอบๆ ทรุดตัวลงอย่างกะทันหันและส่งเสียงดังโครมครามไปทั่วบริเวณ

จี๋ลี่จือกู่ พ่อมดระดับสูงและคนอื่นๆ ยังต้องเว้นระยะห่างเพื่อหลบหลีกระลอกคลื่นอันน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งเข้ามา

อ๋องสยบแดนเหนือทุ่มหมัดด้วยแรงสูงสุดในชีวิตภายใต้แรงกดดันมหาศาล

แต่หมัดของเขากลับกลายเป็นโคลนเลือด เลือดสดๆ ไหลออกมาจากข้อมือที่หักอย่างต่อเนื่อง

เผด็จการเป็นวิธีการต่อสู้ที่เขายืนกรานที่จะทำและยังเป็นคำอธิบายที่กระชับที่สุดของเขาเช่นกัน

“น่าสนใจ น่าสนใจ มีโอกาสไม่มากที่จะได้เห็นคนที่มีความคิดเผด็จการเช่นนี้”

‘สวี่ชีอัน’ ถือดาบด้วยมือข้างหนึ่งและปิดหน้าด้วยมืออีกข้าง เขาระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะของเขาทำให้อ๋องสยบแดนเหนือถึงกับรู้สึกเย็นวาบที่กระดูกสันหลัง

‘แฮ่ก แฮ่ก…’

อ๋องสยบแดนเหนือค่อยๆ ก้าวถอยหลัง ได้ยินเสียงหายใจหอบดังมาจากข้างๆ เขากวาดสายตามองทั้งซ้ายและขวาก่อนจะพบว่าจี๋ลี่จือกู่และพ่อมดระดับสูงกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ตนเอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง