บทที่ 372 ผู้ล้างแค้น (2)
พ่อมดยกมือขึ้น ก่อนจะเล็งไปที่สวี่ชีอัน และตะโกนเสียงดังสนั่น “ตาย!”
เสินซูแสดงวรยุทธ์ของสำนักพุทธโดยจิตใต้สำนึก เพื่อขัดขวางวิชาสาปสังหารของพ่อมด แต่เวลานี้อ๋องสยบแดนเหนือมาถึงพร้อมกับเจตนาฆ่า ยอดฝีมือหมายเลขหนึ่งแห่งต้าฟ่ง ผู้มีจิตใจแน่วแน่และหมัดเผด็จการที่ไม่มีใครเทียบได้
‘สวี่ชีอัน’ ถูกขัดจังหวะการร่ายมนตร์ จึงยกดาบขึ้นมาและตวัดออกไป
‘ตูม!’
จู่ๆ หน้าอกของเขาก็เว้าลงเป็นแอ่ง วิชาสาปสังหารสร้างความบาดเจ็บอันใหญ่หลวง และยังขัดขวางวิถีการใช้ดาบของเขา อ๋องสยบแดนเหนือจึงฉวยโอกาสทุบหมัดลงที่หน้าอกของสวี่ชีอัน
หมัดนั้นเผยให้เห็นด้านหลังของเขา ที่พลังปราณกำลังปะทุขึ้นราวกับน้ำพุ
เวลานี้ เหล็กหลอมบนท้องฟ้าหล่อตัวเป็นระฆังยักษ์สีแดงสด และเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นระฆังสีดำสนิท
ระฆังยักษ์พุ่งเข้าไปครอบร่างของสวี่ชีอันเสียงดังโครมคราม ในระหว่างกระบวนการนั้น ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็กลายร่างเป็นของเหลวสีดำไหลรอบระฆังยักษ์ ผิวของระฆังเต็มไปด้วยอักขระที่ปรากฏขึ้นทีละตัวอย่างบิดเบี้ยว เต็มเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้ายและเลวทราม
ทันใดนั้น ระฆังยักษ์ที่ถูกกลั่นในสถานที่นี้ก็หลอมรวมเข้ากับผู้นำเต๋านิกายปฐพี กลายเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่ปล่อยควันดำแห่งความชั่วร้าย
มันเป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมที่กัดกร่อนทุกสิ่งในโลก
หน้าผากของจู๋จิ่วสว่างขึ้น ลำแสงสีดำพุ่งตรงไปยังสวี่ชีอันอย่างฉับพลัน เขาเกิดความสับสน ร่างกายเฉื่อยชาและแข็งทื่อ
เกิดเสียงดังสนั่นภายใต้ฝาครอบระฆังยักษ์
ฝุ่นผงร่วงหล่นราวกับเรื่องราวสิ้นสุดลงแล้ว…
เมื่อเห็นเช่นนั้น อ๋องสยบแดนเหนือและคนอื่นๆ ก็เผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะผ่านสายตา ทันทีที่ระฆังหล่นก็เหมือนเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับชัยชนะของพวกเขาแล้ว
‘ปัง…’
ทันใดนั้น รอยฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของระฆังยักษ์ เป็นรอยฝ่ามือที่นูนออกมาด้านนอก
‘ปัง ปัง ปัง…’
ยิ่งรอยฝ่ามือนูนออกมามากเท่าใด รูปร่างของอาวุธเวทมนตร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะแตกสลาย
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว อ๋องสยบแดนเหนือไม่ลังเลอีกต่อไป เขาทะยานขึ้นไปบนฟ้าแล้วตะโกนว่า “ตามข้ามา!”
เขายืนอยู่บนท้องฟ้าสูง เมื่อกล้ามเนื้อขยายตัวออก อักขระสีขาวก็เรืองแสงออกมาอย่างชัดเจน และปกคลุมทุกส่วนของร่างกายเขา
คัมภีร์รวมร่างอยู่ในตัวเขา
ยักษ์ร่างสีน้ำเงิน จู๋จิ่วและพ่อมด ต่างก็ทะยานขึ้นไปบนฟ้า และพุ่งชนอ๋องสยบแดนเหนือ
คาถาที่เรืองแสงเป็นประกายแผ่กระจายอย่างกว้างขวาง และเข้าปกคลุมร่างของพวกเขาในเวลาเดียวกัน จากนั้นแสงสว่างเกือบทั้งเมืองฉู่โจวก็ก่อตัวขึ้นเป็นกลุ่มไฟ ราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็ก
ไม่กี่วินาทีต่อมา ดวงอาทิตย์ขนาดเล็กนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป เกิดเป็นกลิ่นอายอันทรงพลังจนยากที่จะหยั่งถึง
กลิ่นอายนี้เป็นเหมือนการมาถึงของทวยเทพ ซึ่งนำพาสิ่งมีชีวิตระดับสูงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอานุภาพและคุณธรรมอันสูงส่ง
ยักษ์สูงกว่าสิบเมตรยืนสูงตระหง่านขึ้นไปบนฟากฟ้า ผิวหนังมีสีเขียวปนแดง จุดสำคัญอย่างหน้าอกและข้อต่อต่างๆ ถูกปกปิดด้วยเกราะหนามป้องกันภายนอก มือและเท้าอยู่ในสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ กล้ามเนื้อแข็งแรงและทรงพลัง
ช่างเป็นร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ร่างกายที่พร้อมสำหรับการต่อสู้
ใบหน้าของเขาคืออ๋องสยบแดนเหนือ เงาดำซึ่งเป็นภาพมายาล่องลอยอยู่ด้านหลังเขา นั่นคือวิญญาณแห่งสงคราม ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังการต่อสู้ที่พ่อมดอัญเชิญมา
พลทหารของต้าฟ่ง อนารยชนฝ่ายชิงเหยียนและกองกำลังเผ่าปีศาจที่อยู่บนกำแพงเมืองต่างก็ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว พวกเขาก้มหน้างุดพร้อมกับความรู้สึกอ่อนระทวยที่ท่อนขาทั้งสองข้าง และไม่กล้ามองตรงไปยัง ‘เทพเจ้า’ ที่น่าสะพรึงกลัวแม้แต่นิดเดียว
อีกด้านหนึ่งบนแนวหลังคาใกล้กับกำแพงเมือง เลขาธิการศาลต้าหลี่และฝ่ายตรวจการทั้งสองต่างก็ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยใบหน้าซีดขาวและสั่นเทาเช่นกัน
หยางเยี่ยนมองพวกเขา และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เตรียมตัวออกจากเมือง รีบออกจากที่นี่ มิฉะนั้นพวกเราจะถูกฆ่า”
คณะทูตทุกคนรู้สึกช็อกจนหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความหมายของหยางเยี่ยนชัดเจนมาก ยอดฝีมือท่านนั้นที่ประกาศศักดาว่าจะลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือกำลังจะพ่ายแพ้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความงุนงงอย่างมาก
หยางเยี่ยนส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีการอะไร แต่พลังนี้ทั้งแข็งแกร่งและทรงพลังกว่ายอดฝีมือปริศนาท่านนี้มาก เขาคงไม่มีโอกาสชนะ”
“ไป รีบไปเร็วเข้า”
เขากระโดดลงจากหลังคาพร้อมกับขุนนางบุ๋นสามคน หัวหน้ามือปราบเฉินและผู้บังคับบัญชาการเฉินเซียวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อไปเปิดทางข้างหน้า
เมื่อเห็นความประหม่าบนใบหน้าของเหล่าพลทหาร และท่าทีกระสับกระส่ายในการหนีเอาชีวิตรอด ในหัวใจของหลิวยวี่สื่อและคนอื่นๆ ก็ไร้ซึ่งความหวังอีกต่อไป พวกเขารู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้ากำลังดิ่งลงสู่ความเลวร้าย เมืองฉู่โจวคงอยู่ได้อีกไม่นาน
…
‘ตูม!’
ระฆังยักษ์ถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยพลังมหาศาล ร่างอวตารของผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็ถูกทำลายล้างเช่นกัน สวี่ชีอันที่ล้อมรอบไปด้วยเพลิงปีศาจหลบหนีไปอย่างราบรื่น ดาบทองแดงในมือของเขาถูกย้อมเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก
จิตวิญญาณอีกครึ่งหายไปอีกแล้ว
“ใช้การไม่ได้ชั่วคราวซะแล้ว”
‘สวี่ชีอัน’ โยนดาบทองสัมฤทธิ์ทิ้งไปอย่างไม่สนใจไยดี จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองยักษ์สูงขนาดสิบเมตรบนท้องฟ้า แล้วเบ้ปากกล่าวว่า “กลายร่างใหญ่โตเช่นนั้นทำไมกัน”
ยักษ์ก้มศีรษะลงไปจ้องสวี่ชีอันแล้วกล่าวด้วยความกระหาย “ข้ารอที่จะกลืนกินแก่นโลหิตของเจ้าไม่ไหวแล้ว มันต้องอร่อยมากแน่ๆ”
“อ๋องสยบแดนเหนือ เจ้าสังหารหมู่คนทั้งเมือง เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าสวรรค์จะลงโทษเจ้าสักวัน?”
คราวนี้เป็นเสียงของสวี่ชีอัน
อ๋องสยบแดนเหนือยิ้มเยาะและไม่ตอบคำถาม แต่ไม่กี่อึดใจ ในขณะที่เขากำลังเปิดปากพูด เสียงของจี๋ลี่จือกู่ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“อ๋องสยบแดนเหนือ เจ้าเป็นยอดฝีมือระดับสามผู้สง่างาม กล้าทำก็ต้องกล้ารับ ทำไม คิดจะโยนความผิดเรื่องสังหารหมู่คนทั้งเมืองให้พวกเราเผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจรึ”
จากนั้นก็ตามด้วยเสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดของจู๋จิ่ว “สังหารหมู่คนทั้งเมืองแล้วอย่างไร มีอะไรไม่กล้ารับงั้นรึ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสักหน่อย ก็แค่พวกตุ่นพวกมดที่ต่ำต้อย ยุคที่บรรพบุรุษของพวกเราปกครองจิ่วโจว สถานะของเผ่ามนุษย์ก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าสัตว์มากนัก อยากฆ่าก็ฆ่า อยากกินก็กิน หากมันเป็นอาหารสังเวยให้แก่พวกเรา สร้างเสริมแก่นชีวิตให้แก่พวกเรา ก็นับว่าเป็นบุญของพวกตุ่นพวกมดเหล่านี้แล้ว อ๋องสยบแดนเหนือก็คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่ มิฉะนั้นเจ้าจะสังหารหมู่คนทั้งเมืองทำไม?”
จี๋ลี่จือกู่หัวเราะฮ่าๆ “ที่จริงอ๋องสยบแดนเหนือก็เหมือนกับพวกเรา เพียงแต่พวกเราเปลือยเนื้อหนังมากกว่า แต่เผ่ามนุษย์ผู้แข็งแกร่งอย่างพวกเจ้า เคยชินกับการปกปิดตัวเองด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเสแสร้ง’”
“หลังสงครามวันนี้ ข่าวความผิดฐานสังหารหมู่คนทั้งเมืองของเจ้าจะแพร่กระจายไปทั่วใต้หล้า ลองคิดดูเถอะว่าจะจัดการปัญหาอย่างไร” จี๋ลี่จือกู่พูดอีกครั้ง
จากนั้นน้ำเสียงไม่แยแสของอ๋องสยบแดนเหนือก็ดังขึ้น “ฆ่าพลทหารทั้งหมดก็พอ”
เขาเป็นคนหยิ่งยโสและดื้อรั้น เผด็จการและโหดเหี้ยม อีกทั้งยังเป็นวีรบุรุษของเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหาร คนเช่นนี้ไม่ควรค่าพอที่จะโต้แย้งด้วย
จู๋จิ่วพูดถูก สังหารหมู่คนทั้งเมืองแล้วยังไง เขาไม่สนใจชีวิตและความตายของคนธรรมดาอยู่แล้ว
เดิมทีเรื่องในวันนี้เกิดขึ้นเพื่อล่าจี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่ว แต่เนื่องจากการปรากฏตัวยอดฝีมือปริศนาของสำนักพุทธในตอนนี้ ทำให้ความชั่วร้ายของเขาถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ
เนื่องจากความเอือมระอาอ๋องสยบแดนเหนือ เหล่าพลทหารแดนเหนือจึงเกิดข้อสงสัยในตัวเขา การแสดงตัวของคนฉลาดบวกกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน การปรากฏตัวของพ่อมดระดับสูงในสำนักพ่อมด และรายละเอียดอื่นๆ เป็นที่แน่ชัดมานานแล้วว่าเขาสังหารคนทั้งเมืองเพื่อกลั่นยาอายุวัฒนะ
ดังนั้น ในสายตาของอ๋องสยบแดนเหนือ เหล่าพลทหารในเมืองฉู่โจวจึงถูกตัดสินประหารชีวิตไว้ล่วงหน้าแล้ว
“อ๋องสยบแดนเหนือ สังหารหมู่คนทั้งเมืองจริงๆ…”
ผู้บังคับบัญชาการคนหนึ่งที่อยู่บนกำแพงเมืองกล่าวพึมพำด้วยความเจ็บปวด
“ฮ่าฮ่าฮ่า เผ่ามนุษย์ล้วนโง่เขลา”
อนารยชนคนหนึ่งระเบิดหัวเราะจนตัวโยก “เมื่อเดือนที่แล้ว เผ่าอนารยชนของข้าแทรกซึมเข้าไปในฉู่โจวเพื่อหาสถานตั้งของเหตุสังหารหมู่ พวกเจ้าก็ไม่เคยคิดใช่หรือไม่ เหตุใดวันนี้พวกเราเผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจถึงได้ล้อมเมืองโจมตี?
“เมืองฉู่โจวมีปืนใหญ่หน้าไม้ มีค่ายกลปกป้องเมือง แต่คนเผ่าอนารยชนของข้าถูกจำกัดมาโดยตลอด หวงแหนกันนัก ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุปัจจัย พวกเราจะล้อมตีเมืองไปทำไม?
“เพราะเรารู้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารหมู่คนจำนวนมากที่ฉู่โจว เพื่อกลั่นโลหิตบริสุทธิ์ผลักดันตนเองไปสู่ขั้นสอง เฮ้อ นี่เป็นภัยพิบัติสำหรับพวกเราเผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจ”
การเยาะเย้ยอย่างกำเริบเสิบสานของเผ่าอนารยชน ช่างสวนทางกับใบหน้าอันซีดเซียวของเหล่าพลทหาร
อันที่จริงพลทหารที่ปกป้องเมืองเหล่านี้ก็เหมือนกับคนในยุทธภพที่รอดชีวิตมาได้ พวกเขาสามารถหนีไปได้แต่กลับไม่ทำ เพราะเหตุใด?
ก็เพราะอยากรอดูผลลัพธ์
ไม่ใช่รอความพ่ายแพ้ของอ๋องสยบแดนเหนือ แต่รอความจริงต่างหาก
ในหัวใจของเหล่าทหารรักษาชายแดน อ๋องสยบแดนเหนือเป็นเหมือนเทพเจ้าที่มีตัวตน เป็นความเชื่อมั่นของกองทัพและเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของเหล่าทหาร
เขาปกป้องชายแดน เขามุ่งมั่นฝึกฝนจนไม่มีใครเทียบได้ เขาคือผู้ปกป้องแดนเหนือให้มั่นคงและปลอดภัย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เมื่อเหล่าพลทหารพูดถึงอ๋องสยบแดนเหนือก็จะยกกำปั้นขึ้นไปคารวะเหนือศีรษะ ราวกับบูชาเทพเจ้า
ดังนั้น เมื่อสวี่ชีอันประณามว่าอ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารหมู่จึงไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งดาบสยบดินแดนปฏิเสธเขา เหล่าพลทหารต่างก็ตกใจ ทั้งตะลึง ทั้งเจ็บปวดและไม่อยากจะเชื่อ…
แต่ตราบใดที่อ๋องสยบแดนเหนือไม่ยอมรับ พวกเขาก็พร้อมที่เก็บความหวังอันริบหรี่ไว้ในใจ
แต่ตอนนี้ ความหวังสุดท้ายถูกทำลายลงแล้ว
…
‘สวี่ชีอัน’ เงยหน้าขึ้นไปสบตากับยักษ์บนท้องฟ้าก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “ยกที่สอง”
ในที่สุดก็ปลุกพลังขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แล้วใช่หรือไม่ ไต้ซือ ท่านใช้เวลาในการสร้างทักษะนานมาก หรือว่ายิ่งนักรบแข็งแกร่งมากเพียงใด กระบวนการฟื้นฟูก็จะยิ่งช้าลงเท่านั้น…
สวี่ชีอันพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก
กลิ่นอายอันร้อนแรงพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
มันไม่ได้มาจากอ๋องสยบแดนเหนือ แต่เป็นสวี่ชีอันที่อบอวลไปด้วยเพลิงมารทั่วทั้งร่าง ไม่นานร่างของเขาก็เริ่มขยายออกจากสองจั้งเป็นห้าจั้ง เจ็ดจั้ง สิบจั้ง…
ระหว่างนั้น บริเวณสะบักของเขาเกิดรอยนูนคล้ายซาลาเปาสองลูก ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งเจาะทะลุผิวหนังและเหยียดกรายออกมา นั่นคือท่อนแขนสีดำสนิทจำนวนสิบสองคู่
ในเวลาเดียวกันก็มีวงแหวนปรากฏขึ้นที่ด้านหลังศีรษะ วงแหวนที่วูบวาบด้วยเพลิงมารแห่งความมืด
ยักษ์ตัวนี้มีสีดำมืดไปทั้งร่าง กล้ามเนื้อเป็นมัดราวกับถูกหลอมด้วยเหล็กดำ ท่อนแขนสิบสองคู่งอกขึ้นที่หลัง และยังมีวงแหวนเปลวเพลิงสีดำอยู่ด้านหลังศีรษะ
เหมือนกับ เหมือนกับ…ร่างธรรมตกสู่ทางมารของสำนักพุทธ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง