บทที่ 376 จักรพรรดิหยวนจิ่งโกรธจัด
ตามกฎแล้วขุนนางที่ลงพื้นที่ตรวจสอบและสืบสวนคดี หลังจากกลับมายังเมืองหลวง สิ่งแรกที่ต้องทำคือเข้าวังไปพบเจ้าหน้าที่และรายงานผล
แต่ก่อนหน้านั้น ต้องส่งเอกสารด่วนหรือไม่ด่วนมายังเมืองหลวงล่วงหน้า
ไม่ว่าจะเป็นการถวายรายงานตอนขึ้นศาลหรือเรื่องใหญ่เช่นนี้ก็จำเป็นต้องส่งเอกสารมายังเมืองหลวงก่อน เรื่องเร่งด่วนก็เป็นเอกสารด่วนหกร้อยลี้ถึงแปดร้อยลี้ตามระดับ
เรื่องที่ไม่เร่งด่วนก็ต้องส่งเอกสารกลับมายังเมืองหลวงล่วงหน้าหนึ่งก้าว
นี่ก็เพื่อศักดิ์ศรีของจักรพรรดิ เมื่อเผชิญกับเรื่องราวใหญ่โตจะได้มีจิตใจสงบนิ่ง และเพื่อให้จักรพรรดิมีเวลาไปครุ่นคิดและหารือกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่สนิทมากขึ้น
แต่ยกเว้นสถานการณ์หนึ่ง นั่นก็คือการก่อกบฏ
เมืองฉู่โจวถูกสังหารหมู่จนหมดสิ้น เมืองล่มสลายผู้คนต่างล้มตาย อ๋องสยบแดนเหนือถูกประหารชีวิตในเมือง ต้าฟ่งจึงไม่มีแม่ทัพสวรรค์ผู้ปกป้องประเทศอีกต่อไป เรื่องใหญ่เช่นนี้ควรจะเป็นเอกสารด่วนแปดร้อยลี้ หากม้าสามารถงอกปีกได้ เอกสารด่วนหนึ่งพันลี้ก็ไม่เกินจริง
แต่คณะทูตกลับไม่ส่งเอกสารล่วงหน้าและไม่แจ้งราชสำนัก แน่นอนว่าคณะทูตไม่ได้ต้องการก่อกบฏ
“พวกเราต้องโจมตีราชสำนักกับฝ่าบาทไม่ให้ทันตั้งตัว!”
นี่คือสิ่งที่สมุหเทศาภิบาลเจิ้งซิ่งไหวกล่าว
เมื่อราชสำนักวุ่นวายเพราะเรื่องนี้ เขาถึงจะสามารถไกล่เกลี่ยและทำงานจากจุดนั้นได้ ไปเยี่ยมเพื่อนเก่าในสมัยนั้น ไปเยี่ยมสมุหราชเลขาธิการหวางและรวมกลุ่มขุนนางบุ๋นทั้งหมดเข้าด้วยกัน
เมื่อคณะทูตออกจากเรือหลวง โลงศพก็ถูกแบกโดยทหารรักษาวัง ศพของอ๋องสยบแดนเหนือถูกจัดแสดงในโลงศพ ซึ่งศพที่ประกอบขึ้นมาก็ค่อนข้างสมบูรณ์
บนท่าเรือ หัวหน้าคนงานผู้มากประสบการณ์ตำหนิพวกแรงงานให้ถอยไปทันทีและไม่อนุญาตให้กีดขวางเจ้าหน้าที่เหล่านี้หรือแม้แต่มุงดู
เนื่องจากสถานการณ์เช่นนี้มักจะหมายความว่า ในบรรดาเจ้าหน้าที่มีผู้เสียสละ หากเจ้าแสดงสายตากับท่าทางราวกับกำลังชมการแสดงที่ยอดเยี่ยม เป็นไปได้อย่างมากว่าจะดึงดูดความโกรธของสหายของผู้ตาย
หัวหน้าคนงานหลายคนเคยเจอเรื่องที่คล้ายกันปีก่อน เมื่อช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในคลองยังมีน้ำแข็งลอยอยู่และเรือหลวงที่ว่ากันว่ามาจากอวิ๋นโจวก็มาถึงท่าเรือ
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มหนึ่งแบกโลงศพหลายโลงลงมา มีหัวหน้าคนงานสองสามคนคิดว่าอยู่ไกล จึงกระซิบกระซาบ ชี้นิ้วและใช้เป็นหัวข้อสนทนาคุยฆ่าเวลา
สุดท้ายถูกฆ้องเงินที่เป็นหัวหน้าหักขา ต่อยฟันร่วงหมดปาก โยนลงคลองและเสียชีวิตไป
ทุกคนแบกโลงศพจากท่าเรือเข้าไปที่เมือง เข้าไปที่เมืองชั้นใน เข้าไปที่เขตพระราชฐานและถูกขวางไว้ด้านนอกกำแพงพระราชวัง
สวี่ชีอันยืนอยู่ด้านหน้า ด้านซ้ายเป็นผู้ตรวจการสองนาย ด้านขวาเป็นเลขาธิการศาลต้าหลี่กับหัวหน้ามือปราบเฉิน
“เจ้าจงไปรายงานฝ่าบาทว่า คณะทูตที่เดินทางไปสืบสวนคดีที่ฉู่โจวกลับมาเมืองหลวงเพื่อรายงานผล” สวี่ชีอันออกคำสั่ง
“ใต้เท้าทุกท่าน โปรดรอสักครู่”
หน่วยองครักษ์ราชวัลลภที่ป้องกันเมืองโค้งคำนับและพูด จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในวัง
…
ภายในตำหนักบรรทม จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งขัดสมาธิ หลับตาและฝึกลมหายใจ
ขันทีคนหนึ่งรีบเดินมาที่ธรณีประตู ก้มศีรษะและไม่ส่งเสียงใดๆ
ขันทีชราในชุดคลุมงูเหลือมที่ยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิหยวนจิ่งเหลือบมองประตู มองจักรพรรดิเฒ่า ก้าวเล็กๆ เข้าไปและกระซิบ “มีเรื่องอันใด”
ขันทีน้อยกระซิบข้างหูสองสามประโยค
ขันทีชราในชุดคลุมงูเหลือมได้ยินก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็โบกมือไล่ขันทีออกไป
เขากลับมาข้างกายจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างเงียบๆ และเอ่ยเสียงเบาอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท…”
ตอนจักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งสมาธิบำเพ็ญตบะ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้รบกวน เว้นเสียแต่ว่าจะมีเรื่องสำคัญ
ขันทีชราติดตามจักรพรรดิหยวนจิ่งมานานหลายปีและยังคงมีความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
จักรพรรดิหยวนจิ่งลืมตาและเอ่ยช้าๆ “มีอะไร”
ขันทีชราโค้งคำนับ “คณะทูตที่เดินทางไปสืบสวนคดีที่ฉู่โจวกลับมาแล้ว ขณะนี้รอฝ่าบาทเรียกพบอยู่ด้านนอกวังพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว มองไปทางขันทีชราและถามว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นเอกสารที่ส่งมาจากฉู่โจวจากสำนักราชเลขาธิการ”
คณะทูตกลับมาเมืองหลวงแล้ว เขาเพิ่งจะรู้เรื่องนี้
จักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ตา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยช้าๆ “เรียกพวกเขามาที่ห้องทรงพระอักษร”
ขันทีชราหันกายจากไป
ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งไร้อารมณ์ ราวกับรูปปั้นที่ลึกลับและน่าสะพรึงกลัว
…
เมื่อคณะทูตทุกคนได้รับรายงานก็ตามขันทีชุดดำเข้าไปในวัง คนที่เหลือรวมถึงโลงศพโลงนั้น แน่นอนว่าไม่สามารถเข้าไปในวังได้
แม้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะนอนอยู่ข้างในก็ต้องถูกจักรพรรดิเรียกพบถึงจะสามารถเข้าไปในวังได้ ยิ่งไปกว่านั้นจนถึงตอนนี้ นอกจากคณะทูต ไม่มีใครในพระราชวังรู้ว่าศพในโลงนั้นเป็นทหารอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง น้องชายของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
เมื่อเข้าไปในห้องทรงพระอักษรอันกว้างขวางและหรูหรา ทุกคนต่างก็รออย่างเงียบๆ หนึ่งเค่อต่อมา จักรพรรดิหยวนจิ่งก็นำขันทีสองสามคนเข้ามา
จักรพรรดิเฒ่าที่สวมชุดคลุมเต๋าและมีผมสีดำสยายแขนเสื้อปลิวไสว เขาไม่ได้นั่งหลังโต๊ะตัวใหญ่ แต่หยุดอยู่เบื้องหน้าคณะทูตทุกคน ดวงตาอันน่าเกรงขามกวาดมองใบหน้าของพวกเขาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ข้าส่งคนไปถามสำนักราชเลขาธิการ แต่กลับไม่ได้รับเอกสารของพวกเจ้าก่อนล่วงหน้า”
จักรพรรดิเฒ่าเหลือบมองสวี่ชีอัน ดูเหมือนจะคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นทหารต่ำช้า คร้านจะตอบ จึงหันไปมองผู้ตรวจการสองนายกับเลขาธิการศาลต้าหลี่
“พวกเจ้าก็ไม่รู้กฎเช่นกันหรือ”
ผู้ตรวจการสองนายกับเลขาธิการศาลต้าหลี่ก้มศีรษะลง โดยไม่รอให้พวกเขาตอบ เจิ้งซิ่งไหวก้าวมาข้างหน้าและคำนับ
“ฝ่าบาท เมืองฉู่โจวถูกทำลายไปแล้ว จะส่งเอกสารอย่างไร”
จักรพรรดิหยวนจิ่งเพิ่งสังเกตเห็นเขาและมองพินิจอยู่ครู่หนึ่ง “เจิ้งซิ่งไหว ในฐานะสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจว เจ้ากล้ากลับมาเมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนักได้อย่างไร”
นี่เป็นความผิดฐานละทิ้งหน้าที่โดยพลการ
เจิ้งซิ่งไหวหัวเราะอย่างขมขื่นและสบตากับจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างไม่ยอมแพ้ “เมืองฉู่โจวไม่มีแล้ว สมุหเทศาภิบาลเช่นข้าก็เหลือเพียงแต่ชื่อเท่านั้น”
แทนตัวเองว่า ‘ข้า’ ไม่ใช่ ‘กระหม่อม’ ความคิดของใต้เท้าเจิ้งมีบางอย่างผิดปกติ…ท่าทีเมินเฉย ไม่เกรงกลัวเลยหรือ สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“เหตุใดถึงพูดเช่นนี้” คิ้วของจักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดเข้าหากัน
เจิ้งซิ่งไหวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยเสียงดัง “เพื่อจะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสอง หัวหน้าทหารของฉู่โจว อ๋องสยบแดนเหนือสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดและผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพี สังหารสามแสนแปดหมื่นชีวิตในเมืองฉู่โจว กระหม่อม ขอยื่นหนังสือฟ้องร้องอ๋องสยบแดนเหนือ ขอฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิต และลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือด้วย”
เมื่อพูดจบ เขาก็หยิบพระราชสาส์นออกมาจากในแขนเสื้อและมอบให้ด้วยสองมือ
“กระหม่อม ขอยื่นหนังสือฟ้องร้องอ๋องสยบแดนเหนือ ขอฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตและลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือด้วย”
คณะทูตทุกคนหยิบพระราชสาส์นออกมาตามๆ กันและมอบให้ด้วยสองมือ ในบรรดานั้น หนังสือของสวี่ชีอันเป็นหนังสือที่หลิวยวี่สื่อเขียนแทน
แม้สวี่ชีอันจะไม่ยอมรับว่าตัวเองต่ำช้าและมั่นใจว่าตัวเองได้รับการศึกษาภาคบังคับถึงเก้าปี มีวิชาความรู้กว้างไกล แต่ของอย่างเรียงความโบราณ เขากลับทำได้เพียงยอมจำนน ซึ่งบ่งบอกว่าเขาทำอะไรไม่ได้
สาเหตุหลักเป็นเพราะการเขียนพู่กันเลอะเทอะจริงๆ
เมื่อทราบข่าว ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งกลับไร้ความรู้สึก เขามองคณะทูตทุกคนอย่างนิ่งงัน ครู่หนึ่ง เขาก็ยกมือขึ้นและยื่นไปรับพระราชสาส์นด้วยอาการสั่นเล็กน้อย
ผ่านไปพักใหญ่ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็อ่านพระราชสาส์นจบและถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อ๋องสยบแดนเหนือ ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
ทักษะการแสดงของจักรพรรดิชั่วยอดเยี่ยมจริงๆ เขากับเว่ยกงสามารถแสดงบนเวทีเดียวกันได้ และแย่งชิงตำแหน่งนักแสดงนำยอดเยี่ยม…สวี่ชีอันเยาะเย้ยจักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยการบ่นพึมพำ
เรื่องการสังหารหมู่ จักรพรรดิหยวนจิ่งจะไม่รู้ได้อย่างไร หรือว่าเขาก็เป็นหนึ่งในผู้วางแผนอยู่เบื้องหลัง
เขาจงใจถามเช่นนี้ เขาคงคิดว่าอ๋องสยบแดนเหนือยังคงมีความสุขสำราญใจอยู่ที่ชายแดนทางเหนือ
“ฝ่าบาท!”
สวี่ชีอันที่เป็นผู้รับผิดชอบก้าวออกมา เขารู้สึกว่าดาบนี้ควรจะแทงออกไปด้วยตัวเขาเอง
เขากล่าวด้วยอารมณ์ “ฝ่าบาทวางใจเถิด อ๋องสยบแดนเหนือไม่ใช่คน สวรรค์จึงโค่นล้ม ตอนนี้ถูกประหารชีวิตแล้ว คณะทูตเคลื่อนศพของเขากลับมายังเมืองหลวง ตอนนี้อยู่ด้านนอกพระราชวัง จะจัดการศพของคนชั่วช้าผู้นี้อย่างไร ขอฝ่าบาทโปรดตัดสินด้วย”
‘เปรี้ยง!’
ข้างหูราวกับมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งซีดเผือดทันที สีเลือดจางไปทั้งหมด
เขามองสวี่ชีอันอย่างเลื่อนลอย ดวงตาแดงก่ำขึ้นทีละนิด ราวกับถูกโจมตีอย่างหนัก ครานี้เสียงของเขาแหบจริงๆ แล้ว
“เจ้า เจ้า พูดอะไร…เจ้าพูดอะไรออกมา”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงดัง “ฝ่าบาท ศพของอ๋องสยบแดนเหนืออยู่ด้านนอกพระราชวัง ม้าห้าตัวแยกศพ ฝ่าบาทวางใจเถิด สิ้นพระชนม์โดยสมบูรณ์”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง