ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 375

บทที่ 375 กลับเมืองหลวง (2)

สามวันต่อมา หลังจากผ่านไปนานกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดสมุหเทศาภิบาลเจิ้งผู้เดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพักก็กลับมาถึงเมืองฉู่โจวอีกครั้ง

เจิ้งซิ่งไหวผมหงอกทั้งศีรษะก้าวขึ้นไปบนกำแพงเมืองทีละก้าว เขามองเห็นเมืองฉู่โจวที่เคยรุ่งเรืองในอดีตกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง ทุกที่ล้วนมีแต่ซากกำแพงแตกหัก ผืนแผ่นดินเต็มไปด้วยร่องรอยของหายนะ

กำแพงเมืองทางเหนือพังลงมาครึ่งหนึ่ง ประตูเมืองทิศตะวันตกก็แตกหักเสียหาย

ทหารกว่าสองหมื่นนายกระจายอยู่ในเมือง ต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตนเอง บางคนกำลังค้นหาอาหารแห้งหรือแป้งหมี่ แม้ว่าเมืองจะเสียหายอย่างหนัก แต่สิ่งของที่ซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินก็ยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี และในซากปรักหักพังที่เสียหายอย่างหนักนี้ก็ยังหาของต่างๆ ได้มากเลยทีเดียว

ทหารบางคนกำลังซ่อมแซมบ้านเรือนเพื่อใช้เป็นค่ายที่พักชั่วคราวให้กับทหารกว่าสองหมื่นนาย

บางคนก็กำลังซ่อมแซมกำแพงเมือง

ส่วนบางคนกำลังทำพิธีศพให้กับทั้งสหายและชาวบ้านในเมือง รวมถึงศพของชนเผ่าอารยชนกับเผ่าปีศาจด้วย

งานเหล่านี้ดำเนินการได้อย่างเป็นระเบียบมาสามวันแล้ว

“ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกเรื่องนี้เอาไว้เพื่อเตือนคนรุ่นต่อไป ขณะเดียวกันก็จะจารึกความผิดบาปของอ๋องสยบแดนเหนือ ให้เขาถูกประณามไปเป็นหมื่นๆ ปี”

ผู้ตรวจการหลิวปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา คณะทูตรู้เรื่องการรอดพ้นความตายของเจิ้งซิ่งไหวมาจากหลี่เมี่ยวเจินแล้ว และเข้าใจว่าเจิ้งซิ่งไหวที่พวกเขาเห็นในเมืองนั้นเป็นตัวปลอม

ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของพ่อมดระดับสามคนนั้นนั่นเอง ไม่อย่างนั้นจะตบตาหยางเยี่ยนที่อยู่ระดับสี่ได้อย่างไร

“ราชสำนักจะตัดสินโทษอ๋องสยบแดนเหนือจริงหรือ” สมุหเทศาภิบาลเจิ้งเอ่ยเสียงต่ำ

“ชัยชนะมาจากการช่วงชิง” หลิวยวี่สื่อเอ่ยเน้นทีละคำ

ตอนนี้เอง พวกสวี่ชีอัน หยางเยี่ยน และหัวหน้ามือปราบเฉินก็พากันขึ้นมาบนกำแพงเมือง ฆ้องเงินสวี่ผู้รับผิดชอบคดีเอ่ยเสียงขรึม “ต่อไปพวกเราก็ต้องกลับเมืองหลวงแล้ว กลับเมืองหลวงครั้งนี้ก็เพื่อตัดสินความผิดของอ๋องสยบแดนเหนือและสรุปคดี แต่ก่อนหน้านั้น สมุหเทศาภิบาลเจิ้งควรใช้สุราเซ่นสังเวยดวงวิญญาณในเมืองเสียก่อน”

ผู้บังคับการเฉินเซียวถือไหสุราเข้ามาแล้วเข้าไปหา

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งรับไหสุรามาแล้วมองลงไปด้านล่างอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะได้เคารพสุรา เขาก็ใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อหวนรำลึกถึงครึ่งชีวิตแรกของตน

เจิ้งซิ่งไหวเกิดที่เมืองจางโจว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในสองเมืองยุ้งฉางแห่งต้าฟ่ง แต่สมัยเด็กๆ ครอบครัวของเขายากจนมาก มารดาทำหน้าที่คอยซักผ้าและปักผ้าให้กับบ้านของคนมีอันจะกิน เขามีชีวิตที่ยากลำบากยิ่ง

เจิ้งซิ่งไหวในสมัยหนุ่มจะรอคอยฤดูเก็บเกี่ยวในช่วงใบไม้ผลิมากที่สุด เพราะเขาจะสามารถไปเกี่ยวข้าวที่ทุ่งนาของคนอื่นได้

ข้าวสาลีหนึ่งตะกร้าทำให้เขากับมารดากินโจ๊กไปได้สามวัน แต่จะเก็บมาเยอะกว่านี้ก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกทุบตี

หลังจากฤดูเก็บเกี่ยวผ่านไป ความยากลำบากที่สุดนั้นอยู่ในฤดูหนาว ทุกครั้งที่มาถึงฤดูหนาว มือเท้าของเขาจะแห้งแตกเสมอ ส่วนมารดาก็ต้องไปซักเสื้อผ้าให้คนอื่นริมแม่น้ำที่เย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาวก็ตาม เพื่อแลกมาซึ่งเหรียญทองแดงสักสองสามเหรียญ

มารดาทำเช่นนี้จนสามารถเก็บเงินส่งเขาร่ำเรียนและพอให้เขาสามารถเข้าไปอยู่ในราชวิทยาลัยหลวงได้

เจิ้งซิ่งไหวในวัยสิบหกปีเข้าสู่ราชวิทยาลัยหลวง ศึกษาเล่าเรียนอย่างยากเย็นอยู่สิบปี และในปีหยวนจิ่งที่สิบเก้า เขาก็มีชื่อเสียงและยศศักดิ์ ได้เลื่อนขั้นเป็นบัณฑิตขั้นสูง

เขารีบกลับมาโดยไม่หยุดพักเพราะอยากบอกข่าวดีนี้ให้มารดาได้รับรู้ พร้อมตั้งใจจะรับมารดาไปอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ร่วมเสวยสุขกับช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ด้วยกัน ทำให้คนที่เคยพูดชาเย็นชาไม่ไยดีก่อนหน้านั้นต้องหันมามองใหม่

แต่เขากลับได้พบกับหลุมฝังศพของมารดาผู้อายุสั้นแทน

มารดาเขาจากไปหลายปีแล้วและไม่เคยมีใครบอกเขาเลย ส่วนจดหมายจากบ้านนั้น ญาติๆ ช่วยกันเขียนให้แทน เพราะสตรีธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากคนนี้ไม่ปรารถนาที่จะให้ตนส่งผลกระทบใดๆ ต่อการเล่าเรียนของลูกชายที่สุด

เจิ้งซิ่งไหวคุกเข่าตรงหน้าหลุมศพของมารดาหนึ่งวันหนึ่งคืน

อาชีพของเจิ้งซิ่งไหวไม่ราบรื่นเท่าใดนัก เพราะเขานั้นแข็งทื่อเกินไป และไม่คิดร่วมมือทำเรื่องเลวร้ายกับใคร ตอนนั้นเขาได้ทำให้สมุหราชเลขาธิการสมัยนั้นโกรธเคือง จึงถูกโยกย้ายมายังฉู่โจวที่อยู่ชายแดนตอนเหนือ แล้วทำงานเป็นนายอำเภอระดับแปด

ตอนแรกเขาไม่ชอบฉู่โจวเลยสักนิด เพราะที่ชายแดนทั้งยากลำบากและผู้คนก็ป่าเถื่อน ในที่สุดชายผู้ที่ตึงแน่นอย่างเขาก็เริ่มโอนอ่อน เขาเริ่มสั่งสมและสร้างความสัมพันธ์กับคนรู้จัก โดยหวังว่าตนจะถูกย้ายกลับไปยังเมืองหลวงได้

จนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไป ชนเผ่าอารยชนก็ยกทัพมาทางทุ่งหญ้าและปล้นสะดมไปหลายสิบลี้

หลังจากนั้น เจิ้งซิ่งไหวก็ถูกส่งไปปลอบโยนชาวบ้านและสังเกตสถานการณ์ เขาเดินอยู่บนคันนาและมองดูพืชผลที่ถูกทหารม้าเหล็กเหยียบย่ำ เขาเดินอยู่บนถนนหลวง มองดูศพที่ถูกชนเผ่าอารยชนกลืนกินจนเหลือแต่ซาก เขาเดินเข้าไปในภูเขา และมองเห็นชาวบ้านที่โชคดีพอจะรอดชีวิตมาได้ พร้อมทั้งมองเห็นใบหน้าอ่อนล้าน่าเวทนาของพวกเขา

เจิ้งซิ่งไหวจึงคิดถึงมารดาที่จากไปหลายปีของตน

ต่อมาสมุหราชเลขาธิการคนนั้นก็ตอบรับเขาโดยการพูดคุยกับสหายสนิทในวงราชการ และวางแผนจะส่งตัวเขากลับเมืองหลวง

แต่ในตอนนั้น เจิ้งซิ่งไหวไม่อยากไปจากเมืองฉู่โจวแล้ว เพราะเขาได้มอบจิตวิญญาณและกายใจทั้งหมดของตนให้กับดินแดนแห่งนี้ไปแล้ว

เขาทำงานอย่างหนัก บางคราก็คอยจัดการงานราชการจนดึกดื่นไม่หลับนอน ราวกับหากทำเช่นนี้จะสามารถชดใช้หนี้ให้กับมารดาได้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ช่วงชีวิตสิบแปดปีผ่านไปแล้ว ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาล้วนมอบให้กับฉู่โจว จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้ชีวิตหนุ่มโสดอยู่เพียงลำพัง

“ลาภยศและศักดินาคือกระดาษหนึ่งแผ่น สุดท้ายก็สลายกลายเป็นขี้เถ้า…” สมุหเทศาภิบาลเจิ้งหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเสียใจ

จากนั้นก็รินสุราลงมา สาดลงบนฝุ่นธุลี

เนิ่นนานก็ยังไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งอารมณ์ของเจิ้งซิ่งไหวกลับมาเป็นปกติแล้ว เจ้ากรมศาลต้าหลี่จึงกระแอมไอขึ้นว่า

“เชวียหย่งซิวหนีไปได้ อ๋องสยบแดนเหนือถูกสังหาร แต่ความผิดของพวกเขายังไม่ได้นำไปเปิดเผยต่อสาธารณะ สมุหเทศาภิบาลเจิ้งคือพยานคนสำคัญ ท่านจะต้องตามพวกเรากลับเมืองหลวงด้วย แต่สภาพเช่นนี้ของเมืองฉู่โจวและชายแดนเหนือในตอนนี้ก็จำเป็นต้องมีคนรักษาการ….”

หลิวยวี่สื่อขมวดคิ้วแล้วเอ่ยวิเคราะห์ “ชาวเมืองเมืองฉู่โจวสามแสนแปดหมื่นคนเสียชีวิต เรื่องต่อจากนี้ง่ายดายมาก เราจำเป็นต้องจัดวางทหารสองหมื่นนายเพื่อคุ้มกันเมืองไว้ ส่วนอำเภออื่นๆ ก็ให้รักษาสภาพเดิม ไม่จำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ ชนเผ่าอารยชนและชนเผ่าปีศาจเพิ่งจะเจอกับศึกหนักไป ตอนนี้คงหวาดกลัวจนไม่กล้าหืออือ พวกเขาเกรงกลัวยอดฝีมือลึกลับผู้นั้น ภายในเวลาสั้นๆ จึงไม่มีทางเข้ามารุกรานชายแดนได้ ถึงขั้นอาจนานหลายปีเลยทีเดียว”

เจิ้งซิ่งไหวครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วมองไปที่หยางเยี่ยน “บัณฑิตไม่เชี่ยวชาญการศึก ข้าจัดการเรื่องราชการได้ แต่เรื่องดูแลกองทัพนั้นควรอยู่ในมือผู้เชี่ยวชาญ ฆ้องทองคำหยาง ในที่นี้เจ้ามีพลังฝึกตนสูงที่สุด ทั้งยังมีประสบการณ์ดูแลกองทัพด้วย คงจะสามารถดูแลและปรามทหารที่ยังตื่นตระหนกได้”

หยางเยี่ยนพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “ได้”

ความจริงแล้วหัวหน้าก็เหมือนเป็นจูกว่างเสี้ยวที่เลื่อนขั้นแล้วสินะ เขาเงียบขรึมนิ่งงัน แต่ฝีเท้ามั่นคงน่าเชื่อถืออย่างมาก…สวี่ชีอันไม่ได้เอ่ยขัดจังหวะตั้งแต่ต้นจนจบ

เพราะสิ่งที่เขาจะพูดล้วนถูกขุนนางบุ๋นผู้นี้พูดไปหมดแล้ว

“จริงสิ” เขาพลันนึกได้ “ศพของอ๋องสยบแดนเหนือต้องนำกลับไปเมืองหลวงด้วย เขาเป็นตัวหลักในคดีนี้ แม้จะตายก็ต้องนำกลับเมืองหลวงไป”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น” สมุหเทศาภิบาลเจิ้งพยักหน้า

ศพของอ๋องสยบแดนเหนือไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนำกลับเมืองหลวง

ในคดีนี้ การสังหารอ๋องสยบแดนเหนือเป็นเพียงข้อสรุปขั้นแรกและเป็นการอธิบายคดีที่สมบูรณ์แบบแล้ว

เมื่อเห็นว่าพูดคุยทุกอย่างเสร็จสิ้น หยางเยี่ยนก็มองไปที่สวี่ชีอันแล้วเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าตามข้ามา”

หัวหน้า ท่าทางเคร่งเครียดของท่านกับน้ำเสียงเย่อหยิ่งแบบนั้น เหมือนกับครูประจำชั้นสมัยมัธยมต้นของข้าเลย…แต่สวี่ชีอันก็ยังเดินตามเข้าไปอย่างเชื่อฟัง

ทั้งสองเดินไปตามกำแพงเมือง หลังจากเดินมาไปพักหนึ่ง หยางเยี่ยนก็หยุดแล้วหันกลับมาเอ่ย

“ตอนที่อ๋องสยบแดนเหนือสังเวยชีวิตประชาชน ข้าเห็นดวงวิญญาณของชาวเมืองจมลงสู่พื้นดิน ราวกับว่าใต้ดินมีค่ายกลแฝงอยู่ แต่เมื่อข้าลองไปหาดูหลังจากจบเรื่อง ถึงจะขุดลึกไปถึงสามฉื่อก็ยังไม่เจออะไร”

วิญญาณจมลงไปใต้ดิน? นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย อ๋องสยบแดนเหนือฆ่าล้างเมืองก็เพื่อหลอมยาโลหิตไม่ใช่เหรอ…หลังจากสวี่ชีอันได้ยินเรื่องนี้ ปฏิกิริยาแรกก็คือ

เมี่ยวเจิน ข้าต้องการเจ้า!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง