ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 375

สรุปบท บทที่ 375 กลับเมืองหลวง (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 375 กลับเมืองหลวง (1) จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 375 กลับเมืองหลวง (1) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 375 กลับเมืองหลวง (1)

‘ก๊อก ก๊อก…’

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ จากในห้อง สวี่ชีอันแนบหูฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงหายใจแผ่ว

อาทิตย์ส่องก้นอยู่แล้วยังไม่ตื่นนอนอีก ผู้หญิงคนนี้ช่างไร้หัวคิดเสียจริง…สวี่ชีอันบ่นในใจแล้วใช้มือแตะบานประตู จากนั้นเขาก็ใส่พลังปราณลงไป ทำให้กลอนประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ

เขาก้าวเข้ามาในห้อง ข้างในสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย บานหน้าต่างปิดอยู่ บนโต๊ะกลมมีถ้วยชาสี่ถ้วย หนึ่งในนั้นวางตั้งอยู่โดยที่ในถ้วยยังมีน้ำชาที่ยังดื่มไม่หมด

บนฉากกั้นที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับประตูห้อง มีชุดกระโปรง เสื้อ และชั้นในปักลายดอกเหมยสีชมพูพาดเอาไว้

นางน่าจะอาบน้ำเมื่อคืน พออาบเสร็จก็คงเผลอหลับอยู่บนเตียง เสื้อผ้ากับของใช้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ยังไม่ทันได้เก็บ

นี่คือชุดชั้นในแท้ๆ ของสาวงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่งเชียวนะ หากอยู่ในยุคของข้า คงจะขายออนไลน์ได้หลายตำลึงแน่นอน ไม่สิ ต้องเป็นขายได้หลายหยวน…สวี่ชีอันค้นหาไปรอบๆ ห้อง แต่ก็ไม่เห็นชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เมื่อตามความรู้สึกที่ของวิเศษชี้นำไป ในที่สุดเขาก็พบว่ามันถูกใช้รองที่ขาโต๊ะ

จู่ๆ ก็รู้สึกอยากให้นางรู้จักการโดนหวดขึ้นมาเสียอย่างนั้น…สวี่ชีอันเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเข้ามาในอ้อมอกอย่างปวดใจ

ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ตระหนักถึงความล้ำค่าของกระจกหยกบานนี้เลยสักนิด ในนี้มันเก็บซ่อนสิ่งที่เขาสะสมไว้ทั้งชีวิตเชียวนะ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปมองหญิงสาวที่กำลังหลับสนิทบนเตียง ท่าทางการนอนของนางสงบมาก และมีกิริยาแบบพระมเหสีอยู่เล็กน้อย

แต่เมื่อตื่นมาก็ยากจะอธิบายได้แล้ว

เวลาผ่านไปทุกชั่วขณะ ที่โต๊ะเครื่องแป้งมีนาฬิกาน้ำตั้งอยู่ บางคราหญิงสาวบนเตียงก็จะละเมองึมงำออกมาและขยับตัวอย่างไม่สบายบ้าง บางทีก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ว่ากำลังฝันอะไรอยู่ ท่าทางเตะขาไปมาเหมือนกำลังต่อต้าน

นางนอนไม่สนิท

เวลาผ่านไปจนถึงต้นยามซื่อ[1]ในที่สุดนางก็บ่นงึมงำแล้วลืมตาขึ้น

จากนั้นสวี่ชีอันก็เห็นร่างของพระมเหสีแข็งทื่อแล้วค่อยๆ ผ่อนคลาย เขารินชาดื่มไปหนึ่งถ้วยแล้วเอ่ยยิ้มต่อหน้านาง “ตื่นแล้วหรือ”

เมื่อเห็นเขา ประกายในแววตาของพระมเหสีก็วาววับด้วยความประหลาดใจ นางผุดลุกขึ้นแล้วทำท่าทีไม่ยี่หระ

“เจ้ากลับมาได้อย่างไร อ้อ คราวนี้คงเข้าใจแล้วกระมังว่าอ๋องสยบแดนเหนือคือยอดฝีมือขั้นสาม ทั่วทั้งต้าฟ่งไม่มีใครเก่งกาจไปกว่าเขา เจ้าแสวงหาผลประโยชน์และหลีกเลี่ยงอันตรายได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว”

หลังหยุดไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงของนางก็อ่อนลง “เรื่องนี้มอบให้ราชสำนักก็พอ เจ้าไม่จำเป็นต้องวางก้ามใหญ่โตหรอก”

เมื่อคืนพระมเหสีคิดมากจนนอนไม่หลับ แน่นอน ไม่ใช่ว่านางกังวลว่าสวี่ชีอันจะถูกอ๋องสยบแดนเหนือสังหารหรอกนะ…

สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ “อ๋องสยบแดนเหนือสิ้นแล้ว”

พระมเหสีชะงักงันอยู่ตรงนั้นราวกับรูปสลัก

“ขะ ข้าไม่เชื่อ…” นางจ้องสวี่ชีอัน

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรนำมาล้อเล่น” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ชินอ๋องที่สูงส่งผู้หนึ่งถูกสังหาร เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม”

พระมเหสีมองเขาอย่างว่างเปล่าแล้วเอ่ยเสียงสั่น “จะ จริงหรือ”

สวี่ชีอันพยักหน้า

เขาเห็นขนตายาวเป็นแพของพระมเหสีสั่นระริก หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาติดๆ กันเป็นสาย…หยดน้ำตาเหล่านั้นเหมือนกับไข่มุกที่หล่นลงมาแล้วแตกสลาย

นางร้องไห้เพราะได้รับอิสระ

สวี่ชีอันคิดอยู่ว่าตนกับนางไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก จึงมองดูหญิงงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่งร้องไห้อยู่เงียบๆ

เมื่อนางร้องไห้เสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็เอ่ยปลอบโยนเป็นการตัดบท “เจ้ามีอิสระแล้ว จิ่วโจวแห่งนี้กว้างใหญ่ อยากจะไปที่ใดก็ได้ทั้งนั้น แบบมุนโด้[2]ไงล่ะ”

นางร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางเจ็ดน้ำตา แต่ก็ยังไม่ลืมถามว่า “มุนโด้คือผู้ใด”

คำถามน่าเบื่ออย่างนี้ สวี่ชีอันคร้านจะตอบ

เมื่อถึงเวลากินอาหารเช้า พระมเหสีที่อารมณ์กลับมาเป็นปกติแล้วก็เอ่ยพูดขึ้นมาในห้องที่มีอยู่เพียงแค่สองคน “เจ้าเป็นคนฆ่าหรือ”

สวี่ชีอันส่ายหน้า “อ๋องสยบแดนเหนือแข็งแกร่งขนาดนั้น ข้าจะเอาชนะเขาได้อย่างไร แต่เป็นเพราะมียอดฝีมือลึกลับปรากฏตัวขึ้นแล้วสังหารเขาในที่นั่นต่างหาก เรื่องนี้ทั้งคณะทูตสามารถเป็นพยานได้ อีกเดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้แล้ว”

พระมเหสีส่งเสียงรับรู้ นางรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเป็นฝีมือของสวี่ชีอัน ตนเป็นสตรีที่ชาญฉลาดคนหนึ่ง ไม่ใช่หญิงไร้ความรู้ในเมืองหลวงที่หลับหูหลับตาเคารพชื่นชมฆ้องเงินหรอกนะ

แม้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะความโหดร้ายไร้เมตตา แต่พลังฝึกตนของเขาก็ไม่ใช่เล่น เขาแข็งแกร่งกว่าสวี่ชีอันในตอนนี้หลายขุม

นางนั่งกินชงโหยวปิ่งจนมือเล็กเปื้อนน้ำมัน แววตาใสกระจ่างจับจ้องอยู่บนศีรษะของสวี่ชีอัน “ผมของเจ้างอกขึ้นมาใหม่ได้อย่างไรกัน”

“ข้ามีผมอยู่แต่แรกแล้ว”

“เจ้าไม่มีนี่”

“ข้ามี”

“เจ้า…”

พระมเหสีถูกสวี่ชีอันใช้ตะเกียบเคาะไปหนึ่งที สุดท้ายก็เปลี่ยนคำพูดอย่างรู้ความ “เจ้ามีก็ได้”

เพราะพลังอันแข็งแกร่งของเสินซู ผมของสวี่ชีอันจึงงอกกลับมาใหม่ในที่สุด จอมยุทธ์ระดับสามสามารถเปลี่ยนร่างกำเนิดใหม่ได้อยู่แล้ว นับประสาอะไรกับเส้นผม

นี่คือเรื่องที่ทำให้สวี่ชีอันยินดีอย่างมาก แต่ที่น่ายินดีกว่านั้นคือเขาคอยปกป้องหัวโล้นๆ ของเขาได้ดีมาตลอดโดยการสวมหมวกขนสัตว์ ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าผมของเขายาวขึ้นมาขนาดไหน

ต่อไปเมื่ออยู่ข้างนอกยังคงต้องสวมหมวก รอให้ผ่านไปอีกสักพักก็สามารถถอดออกได้แล้ว…ข้ายังคงเป็นชายหนุ่มผมยาวสลวยคนนั้น สวี่ชีอันคิดอย่างดีใจ

หลังจากกินอาหารเช้า เขาก็ไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สวี่ชีอันในกระจกที่ฟื้นคืนสู่สภาพดังเดิมมีคิ้วดุจกระบี่ นัยน์ตาดุจดวงดาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง โครงแก้มแข็งกร้าว ทั่วร่างให้ความรู้สึกว่าเป็นบุรุษผู้องอาจกล้าหาญผู้หนึ่ง

เทียบกับสวี่เอ้อร์หลางที่มีริมฝีปากแดงฟันขาว หรือหนานกงเชี่ยนโหรวที่มีใบหน้างดงามราวภาพวาดแล้ว เขาเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามอีกแบบหนึ่งเลยทีเดียว

พระมเหสีนั่งห้อยขาอยู่ที่ขอบเตียง มองดูเขามวยผมแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ต่อไปข้าจะทำอย่างไรต่อ”

สวี่ชีอันม้วนผมแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “บอกแล้วว่าเจ้าอยากไปที่ใดก็ไปได้ทั้งนั้น”

เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชีอันไม่ค่อยสนใจตน นางก็เอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ให้ข้ายืมเงินสักสิบตำลึงเงินสิ ข้าจะกลับบ้านที่เจียงหนานมู่ ต่อไปหากข้ามีเงินก็จะส่งคนนำมาคืนให้เจ้า”

‘ปึง!’

สวี่ชีอันวางเงินบนโต๊ะ

‘ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง…’ พระมเหสีกัดริมฝีปากแล้วก้มหน้าเก็บเงินมา จากนั้นนางก็เก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่วางระเกะระกะอย่างเงียบๆ เมื่อห่อพวกมันเรียบร้อยก็สะพายขึ้นบ่าแล้วเอ่ยบอกว่า

“ข้าไปแล้วนะ”

“ไปเถอะ!” สวี่ชีอันพยักหน้า

พระมเหสีเหลือบมองเขาอย่างล้ำลึกแล้วพลันหันกายแล้ววิ่งออกจากห้องไป

หลังจากวิ่งออกจากโรงเตี๊ยม นางก็เดินไปยังนอกเมืองเพียงลำพัง ข้ามผ่านฝูงชนที่เร่งรีบและพลุกพล่าน ข้ามผ่านย่านตลาดและถนนที่ทอดยาว เมืองแห่งนี้ไม่ใหญ่ ไม่นานนางก็เดินมาถึงประตูเมืองได้

ทว่าเมื่อมองไปที่ประตูเมืองอันกว้างใหญ่ พระมเหสีพลันใจฝ่อขึ้นมา นั่นเหมือนจะไม่ใช่หนทางสู่อิสระเลย โลกภายนอกนั่นอันตราย จิตใจผู้คนก็ซับซ้อน

ตอนที่นางอายุได้สิบสามปีก็ถูกตระกูลส่งเข้าวังเพื่อแลกกับตำแหน่งข้าราชการระดับสูงแล้ว

นางอาศัยอยู่ในวังมาหลายปี จากนั้นก็ถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งส่งตัวไปให้อ๋องสยบแดนเหนือ แล้วอาศัยอยู่ในจวนอ๋องเป็นเวลายี่สิบปี

นางปรารถนาอิสระ ปรารถนาที่จะไม่ถูกผูกมัด แต่เมื่ออิสระมาวางอยู่ตรงหน้า จู่ๆ นางก็เข้าใจแล้วว่าตนไม่อาจเอาชีวิตรอดอยู่ข้างนอกได้เลย

นางเปรียบดั่งนกขมิ้นในกรงทอง เสื้อผ้าของใช้และอาหารการกินตลอดยี่สิบกว่าปี ทำให้นางสูญเสียความสามารถในการบินสู่ท้องฟ้าอย่างอิสรเสรีไปแล้ว

แม้ว่าจะสามารถกลับไปยัง ‘บ้านเดิม’ ได้ แต่เดี๋ยวก็ถูกบิดามารดาจับขายออกไปอีกครั้งอยู่ดี เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าทันทีที่นางกลับจวน วันต่อมาคงถูกคนในตระกูลส่งกลับเข้าวังอีกครั้งแน่ๆ

นางยืนอยู่ที่เดิมอย่างสับสน เนิ่นนานก็ยังคงมึนงงต่อไป มีเพียงแสงสว่างในดวงตาเท่านั้นก็ค่อยๆ ดับลงทีละนิด

พระมเหสีก้มหน้ามองปลายเท้า ไหล่บอบบางและแผ่นหลังบางราวกับเด็กสาวตัวน้อยที่ไม่มีบ้านให้กลับ

ตอนนี้เอง ที่ด้านหลังก็มีเสียงบุรุษคนหนึ่งเอ่ยทอดถอนใจออกมา “ท่านป้า ข้าคิดดูแล้ว รู้สึกว่าควรพาเจ้ากลับไปด้วยจะดีกว่า”

พระมเหสีไม่พอใจและไม่ยอมหันกลับมา

สวี่ชีอันเดินไปอยู่ตรงหน้านางแล้วนั่งยองๆ ลงโดยไม่พูดอะไร

พระมเหสีจ้องเขม็งไปที่แผ่นหลังของเขา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย นางอ้าแขนออกแล้วโถมตัวลงบนหลังของเขา

เมื่อออกจากเมือง สวี่ชีอันก็แบกนางวิ่งไปตามถนนหลวง ตอนนี้เอง เขาก็รู้สึกคิดถึงแม่ม้าน้อยที่รักของเขาขึ้นมาแล้ว

“ข้ามีปัญหามากเลย” พระมเหสีกระซิบข้างหูเขา

ลมหายใจอุ่นพ่นไปที่ติ่งหูของสวี่ชีอันทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว ติ่งหูเป็นบริเวณที่ไวต่อสัมผัสของเจ้าลามกสวี่ เป็นความลับที่มีแต่ฝูเซียงเท่านั้นที่รู้

เจ้ารู้จักตัวเองดีจังนะ…สวี่ชีอันเอ่ยถาม “รูปลักษณ์ตอนปลอมตัวของเจ้า จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้หรือไม่”

พระมเหสีส่ายหน้า “เขาแค่รู้ว่าข้ามีอาวุธเวทมนตร์ที่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ ข้าแอบขโมยไปหลายหนแล้ว เขาจะต้องรู้อย่างแน่นอน แต่เขาไม่เคยเห็นข้าในรูปลักษณ์นี้เท่านั้น”

สวี่ชีอันไม่พูดเรื่องไร้สาระใด เขาตรงเข้าประเด็นทันที “ข้าได้ข่าวมาว่าอ๋องสยบแดนเหนือสิ้นชีพที่เมืองฉู่โจว ข้าจึงมารับพวกเจ้าที่นี่”

สายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ!

สีหน้าของสมุหเทศาภิบาลเจิ้งแข็งทื่อทันใด ดวงตาค่อยๆ เบิกโพลง ริมฝีปากอ้าออกช้าๆ ทำให้สวี่ชีอันเข้าใจถึงปฏิกิริยาที่แท้จริงของชาวขี้ตกใจ

เหล่าทหารต่างมองหน้ากันเงียบๆ และเห็นคำว่า ‘ไม่เชื่อ’ อยู่ในสายตาของกันและกัน

“ดะ ได้รับข่าวมาผิดหรือไม่…”

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน ทางหนึ่งหวังว่าข่าวนี้จะเป็นความจริง อีกทางก็ยังเชื่อว่าสวี่ชีอันได้รับข่าวผิดพลาดมา

พวกเชินถูไป่หลี่ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็คิดว่าใต้เท้าสมุหเทศาภิบาลกล่าวได้มีเหตุผล

เรื่องจริงแท้แน่นอน ข้าสังหารอ๋องสยบแดนเหนือกับมือเลยนะ…สวี่ชีอันยิ้มและพยักหน้า “ไม่ผิดหรอก นี่คือเรื่องจริง”

‘ตึกตัก ตึกตัก…’ สมุหเทศาภิบาลเจิ้งได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งและรุนแรง

“จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินจะมาในไม่ช้า นางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นดี” สวี่ชีอันโยนหม้อร้อนทิ้งไปให้คนอื่น

จากนั้นทุกคนก็กลับไปในถ้ำแล้วรอคอยด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

พระมเหสีนั่งอยู่ข้างกายสวี่ชีอันอย่างเชื่อฟัง ปากน้อยๆ แทะน่องไก่อยู่ หญิงงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่งพยายามเล่นบทเป็นคนผ่านทางที่ไร้ความสำคัญอย่างเต็มที่

ระหว่างทางที่มา นางก็ได้รู้ถึงฐานะของเจิ้งซิ่งไหวจากปากของสวี่ชีอันและเข้าใจว่าคนในครอบครัวของเขาเสียชีวิตไปในการสังหารหมู่แล้ว

แม้ว่านางจะไม่มีความรู้สึกใดๆ กับอ๋องสยบแดนเหนือ แต่ถึงอย่างไรก็มีฐานะเป็นสามีภรรยา พระมเหสีจึงยังรู้สึกผิดต่อใต้เท้าเจิ้งมาก

ครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่เมี่ยวเจินก็มายังหุบเขา นางลงมาจากกระบี่บินแล้วเข้ามาในหุบเขาอย่างแผ่วเบา

นางมองไปยังผู้คนที่รออยู่หน้าปากถ้ำแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนหยุดนิ่งอยู่ที่พระมเหสีในร่างของหญิงชาวบ้านธรรมดา

“จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ฆ้องเงินสวี่บอกว่า บอกว่า…อ๋องสยบแดนเหนือสิ้นชีพที่เมืองฉู่โจวแล้วหรือ?”

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งก้าวไปสองสามก้าวแล้วจ้องตรงมาที่นาง

หลี่เมี่ยวเจินให้คำตอบยืนยัน “ใช่แล้ว ศพของเขายังอยู่ในฉู่โจวอยู่เลย”

จากนั้นก็เล่าถึงการสู้รบในเมืองฉู่โจวออกมาคร่าวๆ รอบหนึ่ง

หลังจากสมุหเทศาภิบาลเจิ้งฟังจบเขาก็พยักหน้าเบาๆ ดวงตาที่แดงก่ำของเขากวาดมองทุกคนแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ข้า ข้าขออยู่คนเดียวสักครู่”

เขาคำนับให้ทุกคนแล้วหันกายเดินกลับเข้าไปในถ้ำช้าๆ

พักหนึ่ง ด้านในก็มีเสียงร้องไห้บาดใจดังออกมา

สวี่ชีอันถอนหายใจและได้ยินเสียงของหลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงทางจิตดังขึ้นมา “นางเป็นใคร”

“คนที่มีชีวิตลำบากคนหนึ่ง ข้ามีเรื่องที่จะไหว้วานเจ้าพอดี คดีเลือดสังหารหมู่สามพันลี้ก็ได้รับการคลี่คลายแล้ว เรื่องต่อจากนี้เจ้าก็ไม่ต้องกังวล เจ้าช่วยข้าพานางกลับเมืองหลวงหน่อยได้หรือไม่ จำไว้ว่าอย่ากระโตกกระตาก ทางที่ดีให้เลือกโรงเตี๊ยมไว้ก่อน แล้วรอข้ากลับเมืองหลวง”

สวี่ชีอันตอบกลับทางจิต

หลี่เมี่ยวเจินไม่ตอบแต่กวาดมองพระมเหสีพักหนึ่ง นางทำปากมุ่ยแล้วส่งกระแสจิตกลับ

“คนที่มีชีวิตลำบาก ก็เลยจะพากลับไปอยู่ด้วยที่เมืองหลวงด้วย? ถึงสตรีผู้นี้จะมีท่าทางเหมือนผู้ที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดี แต่เจ้าหิวโหยไม่เลือกเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

เมี่ยวเจิน ข้าไม่ได้จะดูถูกเจ้านะ แต่หากนางถอดสร้อยข้อมือออกก็พูดได้เลยล่ะว่า ‘ทุกคนในเมืองนี้ล้วนแต่เป็นขยะ!’

สวี่ชีอันสังเกตเห็นหลี่เมี่ยวเจินดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เขาจึงไม่ตอบสนองอะไร เพียงแต่รวบมือคำนับให้เท่านั้น

จากนั้นเขาก็หันกายกลับไปเอ่ยกับพระมเหสีเสียงแผ่ว “นางเป็นคนในครอบครัวของอนุของข้า ไว้ใจได้ เจ้าตามนางกลับไปก่อนแล้วเชื่อฟังนางด้วย”

พระมเหสีได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินว่าสวี่ชีอันมีอนุ แต่เมื่อคิดถึงฐานะและตำแหน่งของเขา รวมถึงการเป็นแขกประจำในสำนักสังคีตของเขาแล้ว การมีอนุก็ถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนหลี่เมี่ยวเจินนั้น นางย่อมรู้จักอยู่แล้ว

“อืม!” นางพยักหน้าอย่างราบเรียบ

…………………………………………………………..

[1] ยามซื่อ ประมาณ 9.00 น.

[2] มุนโด้ (Dr.Mundo) ตัวละครจากในเกม League of Legends ในตอนท้ายของเรื่องราว เขาสามารถก้าวจากโรงพยาบาล เพื่อรักษาคนไข้เพิ่มเติมได้อย่างอิสระ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง