บทที่ 374 ทบทวนความจำ
หลังจากทราบเรื่องสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ทางตอนเหนือ ข้าก็เกิดความคิดขึ้นมา จึงแปลงเป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน เดินทางไปยังฉู่โจวอย่างลับๆ เผชิญความทุกข์ยากต่างๆ นานา จนในที่สุดก็ได้พบกับสมุหเทศาภิบาลเจิ้งซิ่งไหวที่โชคดีหลบหนีออกมาได้
ใครเลยจะรู้ว่าตอนนั้นเอง จู่ๆ สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือก็บุกเข้ามาหมายสังหารอาตมาและสมุหเทศาภิบาลเจิ้งเพื่อปิดปาก ที่แท้ศัตรูก็สะกดรอยตาม รอจังหวะซุ่มโจมตีตั้งแต่แรกแล้ว
ทว่าพวกมันต้องเจอกับกระบวนท่าโต้กลับอันดุเดือดของข้า ข้าคนเดียวสู้พวกมันร้อยคน ไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว เช่นเดียวกับสวี่หนิงเยี่ยนเมื่อครั้งอวิ๋นโจว ในที่สุดก็จัดการสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือจนราบคาบ และยังได้ทราบเรื่องราวการสังหารหมู่ล้างเมืองโดยละเอียด
การโจมตีระลอกนี้ ข้าอยู่บนชั้นสิบ!
คำพูดข้างต้นเป็นบทละครที่หลี่เมี่ยวเจินครุ่งนคิดอยู่ในหัว นางคันปากอยากจะพูดเรื่องราวเหล่านี้ใจจะขาด แต่เพราะมีเหตุการณ์ที่สวี่ชีอันปราบกองทัพกบฏเรือนแสนคนอยู่ อีกทั้งเข็ดขยาดการได้เห็นสีหน้าที่แท้จริงของเหล่าผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่วงหนึ่งที่เคยลำพองใจในความสำเร็จของตน ได้เกิดประวัติศาสตร์อันน่าอับอายขึ้นในตอนที่นางพูดต่อหน้าสวี่ชีอันว่า ‘แม่ทัพคนนี้เชี่ยวชาญเรื่องการไขคดีมากเลยนะ’
หลี่เมี่ยวเจินผู้กระตือรือร้นในการคลี่คลายคดีอย่างไม่อาจหาใดเปรียบจึงกดข่มความอยากโอ้อวดของตนเอาไว้ และตอบไปตามความสัตย์จริง “ทั้งหมดนี้เป็นความดีความชอบของฆ้องเงินสวี่”
ฆ้องเงินสวี่หรือ?!
ทุกคนในคณะทูตต่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสวี่ชีอันตรงไหน
หลี่เมี่ยวเจินกล่าว “เป็นสวี่ชีอันที่เชิญข้าไปสอบสวนคดีที่ฉู่โจว”
‘ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง’ ผู้ช่วยศาลต้าหลี่ลูบเคราของตน พลางพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ
“หลี่เต้าฉางช่างเป็นผู้ประเสริฐโดยแท้ ถึงแม้ว่าลัทธิเต๋านิกายสวรรค์จะฝึกตนเพื่อให้สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง เฉยเมยต่อทุกสิ่งจนเป็นปกติ ต่อให้วิถีของท่านจะไม่สนลาภยศสรรเสริญก็ตาม พวกข้าก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อคุณงามความดีของท่านในครั้งนี้ได้ ท่านไม่จำเป็นต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้ฆ้องเงินสวี่ก็ได้”
ผู้ตรวจการหลิวได้ยินดังนั้น ก็กล่าวสำทับ “คณะทูตจะรายงานสถานการณ์ต่อราชสำนัก และร้องขอความดีความชอบให้กับท่านอย่างแน่นอน”
ฆ้องเงินสวี่เชิญเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์มาสืบคดีที่ฉู่โจว ก็ไม่ได้แปลว่าความพยายามทั้งหมดที่นางกระทำในฉู่โจว จะตกเป็นผลงานของฆ้องเงินสวี่ทั้งหมด
‘พวกปัญญาชนช่างพูดจาเสนาะหูเสียจริง’ หลี่เมี่ยวเจินแอบปลื้มใจนิดๆ นางแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ก็ยังละอายใจหน่อยๆ จึงพูดต่อ
“จากนั้นข้าก็มาถึงฉู่โจว และพยายามเสาะหาเบาะแสจากทุกหนทุกแห่ง แต่ก็คว้าน้ำเหลว…”
ทุกคนในคณะทูตตั้งอกตั้งใจฟัง เพราะรู้ว่าคดีนี้ยากเย็นสาหัส พวกเขาสงสัยอย่างยิ่งว่าหลี่เมี่ยวเจินค้นพบจุดพลิกผันของคดี จนค้นพบความจริงของคดีสังหารหมู่ล้างเมืองได้อย่างไร
“แต่อันที่จริงก็ยังพอมีร่องรอยให้ตามสืบได้ ศพที่เปิดเผยเรื่องราวการสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ เป็นศพที่ข้าพบข้างทางบนภูเขานอกเมืองหลวง เขาเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เหตุใดจึงกล้ามาร้องเรียนถึงเมืองหลวง เบื้องหลังอาจจะมีใครสักคนคอยบงการอยู่ก็เป็นได้ คนผู้นั้นเลือกที่จะไม่ส่งหนังสือรายงานหรือเอกสารใดมา แต่เลือกให้ชาวยุทธ์นำสาส์นมาส่ง ข้าเดาว่าเขาน่าจะทำเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง
“ดังนั้นข้าจึงไปเยือนฉู่โจวในฐานะจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน สังหารเผ่าอนารยชนผู้สูบเลือดสูบเนื้อประชาชน และช่วยเหลือทำทานให้ข้าวแก่ผู้คน ฮ่า ข้าก็พอมีชื่อเสียงในยุทธภพบ้างนะ คนจดจำข้าได้ก็มีไม่น้อย คนที่รู้จักข้าก็เพิ่มมากขึ้น…
“แล้วก็เป็นไปตามคาด อีกไม่กี่วันต่อมา ก็มีคนลอบตามหาข้าอย่างลับๆ โดยหวังให้ข้าออกตัวให้ความช่วยเหลือ”
ช่างอัศจรรย์!
ทุกคนในคณะทูตต่างพากันยกย่องสรรเสริญกึกก้อง “หลี่เต้าฉางช่างปราดเปรื่องเหลือเกิน สามารถหากุญแจคลี่คลายคดีจากจุดนี้ได้ ข้าขอยกย่องอย่างสุดหัวใจ”
หัวหน้ามือปราบเฉินกล่าวด้วยความละอาย “ข้าอยู่ในที่ทำการปกครองมาหลายปี ช่างเสียเวลาเปล่าโดยแท้ น่าละอาย น่าละอาย”
ผู้ตรวจการหลิวกล่าวด้วยความชื่นชม “เดิมทีข้าคิดว่าคดีนี้จะคลี่คลายได้หรือไม่ สุดท้ายก็ต้องรอดูฆ้องเงินสวี่ คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่เต้าฉางจะมีความสามารถเหนือกว่าถึงขั้นนี้”
ขุนนางบุ๋นไม่เคยตระหนี่ในคำยกยอปอปั้นของตน ครึ่งหนึ่งมาจากใจจริง ส่วนอีกครึ่งมาจากความเคยชินในพิธีรีตองในวงข้าราชการ
มุมปากของหลี่เมี่ยวเจินกระตุกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เผยให้เห็นความพึงใจเล็กๆ จากนั้นนางก็กระแอมไอ และกล่าวว่า “ข้ามิได้ถ่อมตัวแต่อย่างใด อันที่จริงก็เป็นเพราะข้าได้คำชี้แนะจากสวี่หนิงเยี่ยนทั้งสิ้น พวกเราติดต่อกันลับๆ มาโดยตลอด”
เสียงหัวเราะและคำชื่นชมหยุดชะงัก ราวกับว่ามีคนกดปุ่มหยุดชั่วคราว สีหน้าของเหล่าคณะทูตนิ่งค้าง มองเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ด้วยสายตามึนงง
เหตุใดหลี่เมี่ยวเจินจึงเอาเรื่องสำคัญที่สุดมาเล่าในตอนท้ายสุดด้วย
นี่เป็นนิสัยเสียของนางหรือ?
นี่มันชวนให้กระอักกระอ่วนใจอยู่นะ…
‘มิน่าเล่าฆ้องเงินสวี่ถึงได้ทิ้งคณะทูตไปกลางคัน และเดินทางขึ้นเหนืออย่างลับๆ ที่แท้ก็มีผู้ช่วยมือดีตั้งแต่แรกนี่เอง ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทมีรับสั่งแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบสวนหลัก เขาก็ได้วางแผนทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว’ หัวหน้ามือปราบเฉินแห่งกรมอาญารู้ซึ้งความน่ากลัวของสวี่ชีอันจนสุดใจ
ความรู้สึกอับอายในความปราชัยครั้งแล้วครั้งเล่าของเจ้ากรมซุน โทสะพวยพุ่งแต่ไม่อาจทำอะไรได้ หาใช่สิ่งที่ไร้เหตุผลรองรับไม่ ‘เป็นเพราะข้าประมาทเกินไป ตั้งแต่คดีเงินภาษี คดีซังผอ คดีอวิ๋นโจว ตลอดจนคดีของพระสนมฝูในภายหลัง ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าฆ้องเงินสวี่เป็นคนที่มีประสบการณ์โชกโชน สุขุมรอบคอบ ไม่อาจปรามาสได้ ข้าอุตส่าห์คิดว่าครั้งนี้จะสามารถฝังเขาให้จมดินได้แล้วแท้ๆ’
ผู้ช่วยศาลต้าหลี่ยิ้มขื่นๆ และส่ายหน้า ‘ที่แท้ทั้งหมดนี้ก็เป็นแผนการของฆ้องเงินสวี่ตั้งแต่ต้น เป็นข้าเองที่ไร้เดียงสาเกินไป’
‘สมแล้วที่เป็นใต้เท้าสวี่’ ผู้บังคับบัญชาการเฉินเซียวรู้สึกตื่นตะลึง ความชื่นชมแสดงผ่านสีหน้า
เหล่าทหารรักษาวังเองก็หัวเราะร่าอย่างมีชัย
หยางเยี่ยนพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด คล้ายจะคิดว่าก็สมเหตุสมผลดี
จากนั้นหลี่เมี่ยวเจินก็รายงานเรื่องที่เจิ้งซิ่งไหวยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ผู้ตรวจการหลิวดีใจอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะว่ายังหลงเหลือพยานอยู่ แต่ยังมาจากสาเหตุที่ว่าเขาและเจิ้งซิ่งไหวมีความสัมพันธ์ฉันมิตรอันแน่นแฟ้น เมื่อได้ทราบว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ จึงดีใจไปโดยปริยาย
“สวี่หนิงเยี่ยนน่าจะอยู่ในระหว่างทางมายังเมืองฉู่โจว กระบี่บินของข้าเดินทางมาเร็วกว่าเขา” หลี่เมี่ยวเจินอธิบายเล็กน้อย ก็ถามขึ้นอีกว่า
“ยอดฝีมือลึกลับคนนั้นหายไปไหนเสียแล้วล่ะ”
หยางเยี่ยนระลึกความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยด้วยความตกใจ “ทิศทางที่เขาจากไป เป็นทางเดียวกับที่เผ่าอนารยชนหลบหนีไป”
ผู้ช่วยศาลต้าหลี่หัวใจสั่นสะท้าน ความคิดอันน่าเหลือเชื่อผุดขึ้นมาในหัว ลมหายใจของเขากระชั้นขึ้นในฉับพลัน “หรือว่า หรือว่า…”
ผู้ตรวจการหลิวตอบสนองโดยไม่มีรีรอ “หรือว่าเขาจะตามไปสังหารจี๋ลี่จือกู่ เขากลัวว่ากองกำลังทางเหนือจะเสียสมดุล เกรงว่าหลังจากสงครามครั้งนี้ ชาวเมืองฉู่โจวจะต้องทุกข์ทนกับการรุกรานของเผ่าอนารยชน ไม่มีใครคานกับอำนาจกับเผ่าอนารยชนอีกต่อไป”
หยางเยี่ยนและหลี่เมี่ยวเจินมองหน้ากันและพูดขึ้นพร้อมกัน “ไปดูกันเลย”
ฝ่ายหลังกล่าวเสริม “ขึ้นมา”
หยางเยี่ยนกระโดดขึ้นไปบนสันดาบเบาๆ และยืนเอามือไพล่หลัง
แม้ว่าทหารขั้นสี่จะเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ความเร็ว ระดับความสูง และพลังของเขาไม่อาจเทียบได้กับวิชากระบี่บินของลัทธิเต๋า ถ้าจะให้อธิบาย ก็คงเหมือนมอเตอร์ไซค์กับรถไฟฟ้าความเร็วสูงอย่างไรอย่างนั้น
แต่เปลี่ยนจากวิ่งบนพื้นดิน เป็นการบินอยู่บนอากาศ
ส่วนทหารจะเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม หากทางข้างหน้าเป็นพื้นที่ราบไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีภูเขาลำธารมาขวางกั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง