ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 379

บทที่ 379 กระแสน้ำที่ปั่นป่วน (1)

สมุหราชเลขาธิการหวางโค้งคำนับไปทางเหล่าเจ้าหน้าที่ และตามขันทีชราเข้าไปในวัง เดินไปจนถึงห้องโถงด้านข้างของห้องทรงพระอักษร

ขันทีชราสั่งให้ขันทียกน้ำชามา พลางกล่าวอย่างเคารพ “ท่านสมุหราชเลขาธิการโปรดรอสักครู่”

พูดเสร็จก็เดินจากไป

สมุหราชเลขาธิการหวางนั่งคนเดียวบนเก้าอี้ รอคอยต่อไป จนกระทั่งผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว

เขาไม่รีบร้อน รอคอยอย่างเงียบๆ สวมชุดข้าราชการสีแดง หมวกทรงสูง และจอนผมสีเทา

สีหน้าของเขาสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ดวงตากลับอยู่ในภวังค์เป็นบางครั้ง ทำให้ผู้คนตระหนักว่าอารมณ์ของชายชราท่านนี้ไม่ได้ดีอย่างที่คิด

ในที่สุด เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมา

ดวงตาที่ขุ่นมัวของสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นประกายเล็กน้อย และมองไปทางประตู

ขันทีชราที่สวมเสื้อคลุมงูเหลือมถือแส้ขนหางจามรีอยู่ในอ้อมแขน เดินเข้ามาเพียงลำพัง และกล่าวอย่างเสียใจ “ท่านสมุหราชเลขาธิการ ฝ่าบาทโศกเศร้าจนทนไม่ได้ เวลานี้ไม่เหมาะสม และจะไม่พบท่านแล้ว”

แสงสว่างในดวงตาของสมุหราชเลขาธิการหวางหรี่ลงทีละนิด

ขันทีชราถอนหายใจ “ฝ่าบาทต้องการเวลาให้ใจเย็นลง ท่านคงทราบดี ไหวอ๋องเป็นน้องชายของพระองค์ พระองค์ทรงมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับไหวอ๋องตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ บัดนี้ได้จากไปอย่างคาดไม่ถึงเสียแล้ว…”

สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้าโดยไม่พูดจา ประสานมือ และออกจากห้องโถงด้านข้างของห้องทรงพระอักษร

ตอนเดินลงบันได สมุหราชเลขาธิการหวางได้สติกลับคืนแล้วก็อดไม่ได้ จึงโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งไปทางห้องทรงพระอักษร

จากนั้นก็เดินจากไป โดยไม่หันกลับมามองอีก

เมื่อมองดูสมุหราชเลขาธิการหวางจากไป ขันทีชราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขากลัวสายตาของหวางเจินเหวินเล็กน้อย ภายในดวงตาคู่นั้นมีความผิดหวังอย่างลึกซึ้งอยู่

เขาเดินผ่านห้องทรงพระอักษร เข้าไปในห้องนอน โค้งคำนับและกล่าว “ฝ่าบาท ท่านสมุหราชเลขาธิการกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งเสียง ‘อืม’ โดยไม่ลืมตา เอ่ยถามทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ “คนที่มาชุมนุมกันที่ประตูวังมีใครบ้างหรือ”

ขันทีชรากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้ที่คิดว่าจะมาก็มาทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพ่นลมอย่างเย็นชา “ข้าทราบดี เหล่าสุนัขเหล่านี้ปกติกัดกัน ครั้งหนึ่งต่างแก่งแย่งกันแสดงละคร น่าเกลียดแค้น น่าชิงชัง สมควรประหารชีวิต!”

เขาโกรธอยู่ครู่หนึ่ง สงบสติอารมณ์ก่อนจะถาม “เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยงมาหรือไม่”

ขันทีเฒ่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “เหมือนจะไม่เห็นพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากเงียบไปนาน ขันทีชราคิดว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว ทันใดนั้นก็ได้ยินจักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าว

“จดบันทึกผู้ที่ไม่มาในวันนี้ วันอื่นก็บันทึกเช่นกัน”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

พลบค่ำ ท่ามกลางแสงระเรื่อสีแดงทอง

สวี่ชีอันจูงแม่ม้าน้อย สวี่ซินเหนียนก็จูงม้าของเขา เดินช้าๆ บนทางเดิน

พร้อมด้วยสมุหเทศาภิบาลเจิ้งซิ่งไหว และทหารระดับห้าเซินถูไป๋หลี่

“ใต้เท้าเจิ้ง ท่านอาศัยอยู่ในจุดพักเปลี่ยนม้าหรือ?” มีความกังวลแฝงอยู่ในน้ำเสียงของสวี่ชีอัน

ด้วยตำแหน่งราชการของเจิ้งซิ่งไหว เขาต้องอาศัยอยู่ในจุดพักเปลี่ยนม้าของเมืองชั้นในอย่างแน่นอน เรื่องความปลอดภัยที่ดีมาก ทั้งยังมีเซินถูไป๋หลี่ และหน่วยอารักขาอีกหนึ่งกลุ่มอยู่ข้างกาย

ทว่าตอนนี้พวกเขาคือศัตรูของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ในบางเรื่องก็ควรมีการป้องกันไว้ ทหารสลายแรงระดับห้าไม่ค่อยมีให้เห็นในเมืองหลวงมากนัก

“พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวลไป เรื่องการสังหารอ๋องสยบแดนเหนือในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ผลักให้ฝ่าบาทถูกกระแสลมปากแหลมคมเท่านั้น แต่ยังผลักใต้เท้าเจิ้งโดนไปด้วยเช่นกัน แม้จะเป็นฝ่าบาท ก็ไม่สามารถกระทำเรื่องที่โง่เขลาในเวลานี้ได้ เพราะมันจะทำให้ราษฎรไม่พอใจ จำเป็นต้องทราบถึงความเป็นจริงของสถานการณ์ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทานได้”

สวี่ซินเหนียนกล่าว

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งเหลือบมองเขาอย่างประหลาดใจ ใบหน้าที่ทนทุกข์อย่างขมขื่นและเก็บความเกลียดชังไว้อย่างลึกซึ้ง มีร่องรอยชมเชยสรรเสริญอยู่อย่างมาก กล่าว

“ฆ้องเงินสวี่ ลูกพี่ลูกน้องของท่านผู้นี้ วิสัยทัศน์ช่างกว้างไกลยิ่งนัก ที่กล่าวมาหมายความว่าเยี่ยงไรหรือ ท่าทางที่เป็นที่รักหรือที่ชังก็มิได้ใส่ใจเยี่ยงนี้ จะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน”

สวี่ซินเหนียนยิ้มเบาๆ

ไม่ใช่ เขาเพียงแค่เคยชินกับการจองหองและเสแสร้งเท่านั้น ความจริงแล้วความอดทนภายในใจของเขาก็งั้นๆ แถมมักจะตายตกทางสังคม และไม่ใช่แบบผู้เล่นระดับชาติที่สงบและไม่ตื่นตระหนกเช่นนั้น…สวี่ชีอันบ่นในใจ

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งไม่ทราบถึงการเล่นตลกภายในจิตใจของสวี่คนไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงกล่าวเตือนความจำ “เขาทำให้ข้านึกถึงพรสวรรค์ของเว่ยกงเมื่อตอนที่ยังเด็ก”

ไม่สิ ใต้เท้าเจิ้ง คำพูดนี้เว่ยกงเขาเห็นด้วยหรือ…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก มุมปากโค้งขึ้นอย่างไม่เต็มใจ สุดท้ายยังคงรักษาความเงียบไว้

เรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว หากไม่ได้รับการจัดการหนึ่งวัน ก็เหมือนก้างปลาที่ติดคอ

“ท่านไม่ต้องกังวล” สมุหเทศาภิบาลเจิ้งกล่าว “มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มหนึ่งเข้ามาพักในจุดพักเปลี่ยนม้า ท่านก็ทราบ”

เว่ยกงเตรียมพร้อมแล้วหรือ มีเขาดูแลความปลอดภัยของใต้เท้าเจิ้ง เช่นนั้นข้าก็วางใจ…สวี่ชีอันรู้สึกโล่งใจ

“ขอตัวลา!”

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งคารวะ และจากไปพร้อมกับเซินถูไป๋หลี่

สวี่ชีอันเฝ้าดูอย่างเงียบๆ ในเวลาสิบวันสั้นๆ จากฉู่โจวไปยังเมืองหลวง แผ่นหลังของเจิ้งซิ่งไหวค่อมเล็กน้อย ราวกับว่ามีบางอย่างกดทับอยู่บนไหล่ของเขา ทำให้เขาไม่สามารถยืดเอวให้ตรงได้

“เฮ้อ…” เขาส่งเสียงถอนหายใจในใจ ลูบไปที่เส้นโค้งหลังของแม่ม้าน้อย และพลิกตัวขึ้นไป

ท่ามกล่างเสียงดัง ‘กับ กับ กับ’ ของกีบม้า สองพี่น้องก็ค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังทางที่กลับบ้าน

“ใต้เท้าเจิ้งเป็นคนน่าสงสาร บัณฑิตขั้นสูงในปีหยวนจิ่งที่สิบเก้า ได้ยินหลิวยวี่สื่อเล่าว่า คนผู้นี้บิดาจากไปเร็ว แม่หม้ายเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ด้วยความลำบาก ไม่ง่ายเลยที่จะส่งเขาไปจนถึงราชวิทยาลัยหลวง และกลายเป็นบัณฑิตขั้นสูง ผลจากการทำงานหนักหลายปีของตนเองทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า ยังไม่ทันรอให้บุตรชายสวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิดก็จากไปเสียแล้ว”

ขณะที่แม่ม้าน้อยเดินช้าๆ สวี่ชีอันก็กล่าว “แล้วเพราะแบบแผนและปฏิบัติตามกฎ ไม่รู้จักปรับตัว ทำให้อดีตสมุหราชเลขาธิการขุ่นเคือง และถูกส่งไปยังฉู่โจว

“เขาดูแลฉู่โจวสิบแปดปีแล้ว อยู่ที่นั่นมาเกือบครึ่งชีวิตคน สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นฝุ่นผงในชั่วข้ามคืน”

สวี่ซินเหนียนเงียบเป็นเวลานาน ข่มความหดหู่ไว้ภายในใจ รู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

เขาระบายความหดหู่ออกมาทั้งหมด และกล่าวด้วยอารมณ์ปลงตก “ลมฝนสิบแปดปี ทำงานมาครึ่งชีวิต พูดให้กระดูกแห้งฟัง”

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” ราวกับเพื่อจะกำจัดอารมณ์ที่มืดมนนั้นทิ้ง สวี่ชีอันจึงยกรอยยิ้มที่ไม่ปกติขึ้นมา

“ฉือจิ้วกับคุณหนูสกุลหวางไปถึงขั้นไหนแล้วหรือ ได้…เอ่อ ได้มอบทุกอย่างให้ไปหรือไม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง