บทที่ 379 กระแสน้ำที่ปั่นป่วน (2)
เรือนตะวันออก
อารองสวี่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ดื่มชาหนึ่งอึก กล่าวพลางทอดหายใจ “เจ้าเด็กสารเลวสองคนนั้น ไม่เคารพข้าเสียแล้ว”
อาสะใภ้ที่สวมเสื้อคลุมสีขาวบางๆ นั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง เล่นสร้อยข้อมือหยกของตนเองอยู่ ถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ขาทั้งสองข้างของนางที่มีสัดส่วนได้รูปเรียงซ้อนกัน ช่างงดงามยิ่งนัก
“เฮ้อ ฉู่โจวเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ตอนนี้เอ้อร์หลางก่อเรื่องในเขตพระราชฐาน อึกทึกไปทั่ว” อารองสวี่ขมวดคิ้วแน่น
“เรื่องอะไรหรือ” อาสะใภ้ถามด้วยความสงสัย
“เป็นสตรี จะยุ่งเรื่องมากมายขนาดนั้นไปทำไมกัน” อารองสวี่จ้องนางครู่หนึ่ง
ก็เหมือนสองพี่น้องที่ไม่อยากให้อารองสวี่เป็นกังวลมากนัก ขณะเดียวกันอารองสวี่ก็ไม่อยากให้ภรรยากังวลโดยเปล่าประโยชน์ เช่นนางที่อายุปูนนี้แล้วยังคิดว่าตนเองเป็นสตรีที่อยู่ในช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ บางทีนางเป็นคนหนึ่งที่สงบสุขก็เพียงพอแล้ว
…
“พี่ใหญ่ ท่านยังไม่เคยเล่ารายละเอียดของเมืองฉู่โจวให้ข้าฟังเลย”
ในห้องตำรา สวี่เอ้อร์หลางวางถ้วยชาเข้มข้นไว้ และนั่งอยู่ที่โต๊ะ
สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองไปทางสนามหญ้าที่มืดมิดและเงียบสงัด พลางกล่าวอย่างช้าๆ “คดีฉู่โจวซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด…”
เขาเล่าอย่างใจเย็น และนำประสบการณ์ในการเดินทางของตนเองค่อยๆ บอกสวี่ฉือจิ้วทีละนิด รวมไปถึงความเข้าอกเข้าใจของสมุหเทศาภิบาลเจิ้ง และพบเห็นฉากของการสังหารหมู่เมืองฉู่โจว
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมาก นิ่งจนไม่กล้ามีอารมณ์ที่ผันผวนแม้แต่น้อย
ความโศกเศร้าไร้ซึ่งน้ำตา
“ที่แท้ ที่แท้เขาก็มีส่วนร่วม…”
สวี่ซินเหนียนกล่าวอย่างตกตะลึง จิตใจของเขา รวมถึงความรู้สึกจงรักภักดีต่อกษัตริย์ที่นับไม่ถ้วนพังทลายลงเสียงดังสนั่น ไม่หลงเหลือร่องรอยอยู่อีก
“เป้าหมายการกลับเมืองหลวงของคณะทูตในครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการประกาศให้ใต้หล้าได้ทราบถึงความผิดของอ๋องสยบแดนเหนือ เหอะ ใต้เท้าเจิ้งไม่ยินยอมให้สัตว์ร้ายอย่างอ๋องสยบแดนเหนือใช้ฐานันดรศักดิ์องค์ชายประกอบพิธีฝัง ไม่ยอมให้ชื่อเสียงของวีรบุรุษปกป้องชาติส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง” สวี่ชีอันกล่าวเยาะเย้ย
ปัญญาชนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงหลังจากถึงแก่ความตายที่สุด หากไม่สามารถลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือได้ ในความคิดของเจิ้งซิ่งไหว นี่ถือเป็นความแค้นที่ไม่สำเร็จ และไม่ถือว่าเป็นการทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ราษฎรเมืองฉู่โจว
“ฉือจิ้ว การ ‘ต่อสู้’ สนามนี้ควรสู้อย่างไรดีเล่า” สวี่ชีอันกล่าวทดสอบ
“พวกท่านกำลังทำอยู่ในตอนนี้แล้ว” สวี่ซินเหนียนกล่าว “มีแนวโน้มของสถานการณ์เพื่อข่มขู่จักรพรรดิหยวนจิ่ง แม้ว่าจะเป็นกษัตริย์ แต่ก็ไม่อาจต้านทานกระแสความโกรธเคืองของฝูงชนได้ ไม่ใช่ว่าเขาตกลงพบกับสมุหราชเลขาธิการหวางแล้วหรือ มาดูกันว่าวันพรุ่งนี้จะมีผลลัพธ์เช่นไร”
“น่าเสียดายเรื่องท้องพระโรง ข้าช่วยอะไรไม่ได้มาก ความรู้สึกที่ฝากความหวังไว้ให้คนอื่นไม่ใช่เรื่องดีนัก” สวี่ชีอันถอนหายใจ
“พี่ใหญ่ ท่านทำเกินพอแล้ว…”
สวี่ซินเหนียนกำลังรอการปลอบโยนไม่กี่ประโยค หว่างคิ้วก็ขมวดขึ้นอย่างฉับพลัน นิ่งครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหนักแน่นจริงจัง “พี่ใหญ่ สถานการณ์ดูเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ”
สวี่ชีอันหันกลับมา พลางจ้องมองเขา
สวี่ซินเหนียนกล่าวเสียงต่ำ “ตามที่ท่านกล่าวมาทั้งหมด หากคดีนี้เป็นแผนร้ายของจักรพรรดิหยวนจิ่งกับไหวอ๋อง เช่นนั้นการที่คณะทูตต้องการต่อสู้กับเขาโดยการใช้แผนการที่คาดไม่ถึง ก็คงล้มเหลวตั้งแต่แรก
“ท่านอย่าลืมว่าเชวียหย่งซิวเผ่นหนี สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือก็หนีไปแล้ว คนพวกนี้จะไม่นำข่าวคราวที่อ๋องสยบแดนเหนือตกลงมาจากที่สูงจนสิ้นพระชนม์ส่งกลับมายังเมืองหลวงเลยหรือ? บางทีช่วงที่พวกท่านกำลังลำพองตนเองอยู่นั้น เขาก็อาจได้รับข่าวคราวล่วงหน้าแล้วเป็นได้
“เช่นนั้น จักรพรรดิหยวนจิ่งคงคิดดีแล้วว่าจะจัดการอย่างไร ไม่ต้องสงสัย ฝ่าบาทพระองค์นี้ของพวกเราใช้กลยุทธ์มานานหลายปีแล้ว หากเขาจริงจังขึ้นมา เกรงว่าเว่ยกงและสมุหราชเลขาธิการหวางต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“เจ้าเตือนสติข้าแล้ว ความจริงเป็นเช่นนี้นี่เอง” สวี่ชีอันหันกลับ มองไปทางลานบ้านที่มืดมิด และไม่กล่าวอะไรอีก
สวี่ชีอันทราบดีว่าท้องพระโรงไม่ใช่สนามหลักของเขา อย่างแรก การต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่การคลี่คลายคดี ยิ่งไม่ใช่อาศัยความฉลาดทางสมองก็สามารถผ่านมาได้ ผู้ที่สามารถห้ำหั่นออกมาจากการสอบจอหงวนสำเร็จ ใครบ้างที่ไม่ใช่คนฉลาด
แต่ก็มีคนขึ้นๆ ลงๆ จำนวนมากในทุกปี
สวี่ชีอันจะไม่หยิ่งผยองจนคิดว่าตนเองสามารถต่อสู้กับจักรพรรดิหยวนจิ่งสามร้อยรอบในท้องพระโรงได้
อย่างที่สอง ตำแหน่งทางการของเขาต่ำกว่า แม้แต่โอกาสขึ้นท้องพระโรงยังไม่มี นี่ก็หมายความว่าเขาไม่มีคุณสมบัติขึ้นสู่ ‘แนวหน้า’
“ดังนั้นในครั้งนี้ ตำแหน่งของกองกำลังหลักต้องมอบให้เว่ยกง สมุหเทศาภิบาลเจิ้ง และเหล่าขุนนางที่หวังทำเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ หรือมีความยุติธรรมอยู่ในใจเสียแล้ว…ทว่า ข้ายังคงสามารถออกแรงจากภายนอกได้”
…
หอดูดาว แท่นแปดทิศ
ท่านโหราจารย์ที่สวมชุดขาวราวหิมะ ผมและเคราเป็นสีขาว ยืนอยู่ตรงขอบแท่นแปดทิศ ไพล่มือไขว้หลัง มองลงไปยังเมืองหลวงทั้งเมือง
ลมยามราตรีพัดชายเสื้อของเขา เคราสีขาวปลิวสยาย ช่างเป็นความงดงามซึ่งเป็นอมตะ ราวกับเทพเซียนถูกเนรเทศมายังโลกมนุษย์ก็มิปาน
“ได้ยินว่า อ๋องสยบแดนเหนือสิ้นพระชนม์ที่แดนเหนือแล้ว”
เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและราบเรียบ เหมือนกับการสนทนาระหว่างเพื่อนเก่า ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจหยั่งถึงได้
ข้างหลังท่านโหราจารย์ ปรากฏเงาคนผู้หนึ่ง ชายสวมชุดสีขาวท่านหนึ่งเดินขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง