บทที่ 380 เปิดฉาก 1
เวลานี้พระราชวังได้กลายเป็นสถานที่ที่ยุ่งยาก ขุนนางท้องถิ่นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวัง พระราชโอรส พระราชธิดา รวมถึงบรรดานางสนมในวัง ย่อมไม่สามารถเรียกขุนนางท้องถิ่นให้มาเข้าเฝ้าได้
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งทรงมีอะไรจะรับสั่งกับเรา สวี่ชีอันรีบขี่แม่ม้าน้อยตัวโปรด ตามหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ไปที่ตำหนักของฮว๋ายชิ่งทันที
ตำหนักฮว๋ายชิ่งอยู่ในเขตพื้นที่ที่สูงที่สุดและได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนาที่สุดในเขตพระราชฐาน
ในบริเวณนี้ มีตำหนักของสมาชิกราชวงศ์ มีตำหนักของพระราชโอรสและพระราชธิดาเช่นหลินอัน เป็นสถานที่สำคัญที่เป็นรองแต่เพียงพระราชวังเท่านั้น
ถึงอย่างไรข้าก็เป็นขุนนางผู้รับผิดชอบคดีฉู่โจว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้อยู่ท่ามกลางมรสุมแล้ว แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวข้อง ทำไมฮว๋ายชิ่งจึงอยากพบข้าในเวลานี้ คงไม่ใช่เพราะไม่ได้พบข้าเป็นเวลานานจึงคิดถึงมากอย่างแน่นอน…
พูดตามตรง สวี่ชีอันมาที่ตำหนักของฮว๋ายชิ่งเป็นครั้งแรก แต่ตำหนักขององค์หญิงรองนั้น เขาเคยไปหลายครั้งแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนสอดแนมเยอะและเกรงว่าจะไม่เหมาะสม สวี่ชีอันคงจะขอห้องพักส่วนตัวในตำหนักของหลินอันสักห้อง
รูปแบบตำหนักของฮว๋ายชิ่งเหมือนตำหนักหลินอัน แต่โดยรวมแล้วค่อนข้างเงียบเหงา งดงาม ตั้งแต่ต้นไม้ในตำหนักไปจนถึงการตกแต่ง ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเรียบง่าย
ในห้องรับแขกที่กว้างขวางและสว่าง สวี่ชีอันเห็นฮว๋ายชิ่งที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน ผู้หญิงที่งดงามราวกับดอกบัวหิมะ
นางสวมชุดชาววังสีขาว ด้านนอกคลุมด้วยโปร่งสีเหลืองอ่อน เรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา ผมสีดำสนิทครึ่งหนึ่งปล่อยสยาย อีกครึ่งหนึ่งเกล้ามวยปักปิ่นหยกหนึ่งชิ้น ปิ่นทองหนึ่งชิ้น
ใบหน้าของนางงดงามเป็นที่หนึ่ง เป็นสามมิติ คิ้วเรียวยาวตรง ดวงตาโตเป็นประกายและลึกซึ้ง ราวกับสระน้ำใสหลังฤดูใบไม้ร่วง
“องค์หญิง!”
สวี่ชีอันกุมหมัดทักทาย เดิมทีคิดจะถามนางเล่นๆ ว่า ชอบตราประทับที่เขามอบให้หรือไม่ แต่เมื่อคำพูดนั้นมาถึงริมฝีปาก กลับหมดอารมณ์ที่จะหยอกล้อ จึงนั่งลงตามท่าทางการเชิญของฮว๋ายชิ่ง
“เล่ารายละเอียดของชายแดนทางภาคเหนือภาคเหนือให้ข้าฟังหน่อย” สีหน้าของฮว๋ายชิ่งเรียบเฉย แววตาจริงจังและหดหู่เล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์คุยเล่นเช่นกัน
สวี่ชีอันได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฉู่โจวอย่างละเอียด
เมื่อฟังจบแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็เงียบไปนาน ใบหน้าที่งดงามเรียบเฉย ตรัสเสียงเบาว่า “ไปเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”
สวนด้านหลังในตำหนักขององค์หญิงกว้างใหญ่มาก ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน ไม่พูดอะไร แต่บรรยากาศไม่อึดอัด มีความรู้สึกปรองดอง สุขสงบ เหมือนเพื่อนเก่าได้มาพบปะกัน
“เสด็จพ่อพลาดไปแล้ว อันดับแรกไหวอ๋องเป็นชินอ๋อง อันดับต่อไปจึงเป็นทหาร การมีชีวิตในโลกนี้ สถานะยิ่งสูง สิ่งที่ยิ่งต้องพิจารณาก่อนสิ่งอื่นใดก็คือตำแหน่งที่ครองอยู่ นี่คือพื้นฐานของชีวิต”
เวลาผ่านไปนาน ฮว๋ายชิ่งจึงทรงทอดถอนพระทัยแล้วตรัสว่า “ดังนั้น แม้ไหวอ๋องต้องโทษประหารชีวิตก็ยังไม่สาสมกับความผิด แม้ว่าต้าฟ่งจะต้องสูญเสียทหารชั้นยอดไปเพราะเหตุนี้ก็ตาม”
แล้วเสด็จพ่อของพระองค์เล่า? แม้พระองค์ต้องโทษประหารชีวิตก็ยังไม่สาสมกับความผิดเช่นกันใช่หรือไม่
สวี่ชีอันพูดเสียงเบา “หลักศีลธรรมของพระองค์”
ฮว๋ายชิ่งส่ายพระพักตร์ พระพักตร์งามปรากฏแววไม่สบอารมณ์ ทรงตรัสอย่างเบาๆ ว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหลักศีลธรรม เพียงแค่ยังไม่ยอมแพ้เท่านั้น ข้า…ผิดหวังกับเสด็จพ่อมาก”
ขณะที่สวี่ชีอันกำลังจะพูด จู่ๆ ก็ได้รับกระแสจิตจากฮว๋ายชิ่งว่า “เสด็จพ่อทรงปิดพระราชวังไม่ออกมา ไม่ใช่เพราะทรงขี้ขลาด แต่เป็นกลยุทธ์ของพระองค์”
การบำเพ็ญขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว จะต้องบรรลุถึงระดับระดับหลอมวิญญาณจึงทำได้ พระองค์ทรงซ่อนคมมาโดยตลอด…สวี่ชีอันตกตะลึง และส่งกระแสจิตถามกลับว่า
“กลยุทธ์?”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าช้าๆ ส่งกระแสจิตอธิบายว่า “เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ ว่าสามวันที่ผ่านมา ในบรรดาขุนนางบุ๋นที่ขวางทางประตูวังไว้ มีใครที่หายไป มีใครเข้ามา และมีใครที่แค่คอยดูความวุ่นวายเท่านั้น”
สวี่ชีอันพูดไม่ออก
เหลือบมองเขาแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็ทรงส่งกระแสจิตต่อ
“เมื่อเรื่องการสังหารคนทั้งเมืองของไหวอ๋องแพร่สะพัดมาถึงเมืองหลวง ไม่ว่าขุนนางกังฉินหรือตงฉิน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความแค้นเคืองหรือเพื่อชื่อเสียง แต่ปัญญาชนทุกคนต่างไม่สามารถทนนิ่งเฉยได้ ในเวลานี้ จิตใจของผู้คนกำลังเร่าร้อน เป็นช่วงเวลาที่กระแสคลื่นซัดสาดรุนแรงที่สุด ดังนั้นเสด็จพ่อจึงทรงหลีกเลี่ยงพลังการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม ปิดวังไม่ออกมา
“ตามนี้ ประโคมกลองครั้งแรกเพื่อกระตุ้นความกล้าของทหาร ประโคมกลองครั้งที่สองความกล้าของทหารถดถอยลง ประโคมกลองครั้งที่สาม ความกล้าหาญก็ถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว รอจนเหล่าขุนนางใจเย็นลง รอจนคนบางคนเผยจุดประสงค์ออกมา รอจนแวดวงขุนนางแตกคอกัน จึงถึงเวลาที่เสด็จพ่อออกมาต่อสู้กับเหล่าขุนนางจริงๆ และวันนั้นก็อีกไม่ไกล ข้ารับรองว่า ภายในสามวันนี้”
ตรัสจบแล้ว พระองค์ก็ส่งพระสุรเสียง “หึ” ราวกับเป็นการเย้ยหยันดูแคลน “เวลานี้มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ผู้คนทั้งตกใจทั้งขุ่นเคือง ทุกชนชั้นต่างกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์ ดูก็รู้ทันทีว่ารุนแรงขึ้นทุกขณะ แต่ว่า คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเสด็จพ่ออยู่ในราชสำนักเท่านั้น ไม่ใช่ชาวบ้านพวกนั้น”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “แต่ถึงอย่างไรไหวอ๋องก็ได้สังหารคนทั้งเมืองแล้ว เขาจะต้องให้คำอธิบายแก่เหล่าขุนนางและผู้คนในใต้หล้า”
ฮว๋ายชิ่งกลับทอดถอนหายใจอย่างคนมองโลกในแง่ร้าย “มาดูกันว่าสมุหราชเลขาธิการหวางและเว่ยกงจะใช้วิธีการอะไร”
ท่ามกลางบรรยากาศที่เคร่งเครียด สวี่ชีอันก็ได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พระองค์ทรงเคยศึกษาที่สำนักอวิ๋นลู่ เคยได้ยินหนังสือชื่อ ‘เก็บตกราชวงศ์โจว’ หรือไม่”
ฮว๋ายชิ่งคิดทบทวนอย่างละเอียด ทรงส่ายพระพักตร์แล้วตรัสว่า “ไม่เคยได้ยิน”
…
ในวันนี้ ขุนนางบุ๋นซึ่งเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ยังคงไม่สามารถบุกเข้ามาในพระราชวังได้ และไม่สามารถเข้าเฝ้าจักรพรรดิหยวนจิ่งได้ หลังพลบค่ำ จึงต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
แต่ขุนนางบุ๋นไม่ได้ยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้ พวกเขานัดหมายกันว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่ หากจักรพรรดิหยวนจิ่งยังไม่ให้ให้คำอธิบาย ก็จะปล่อยให้ราชสำนักทุกส่วนเป็นอัมพาต
และในวันนี้เช่นกัน ในแวดวงขุนนางเกิดแตกคอกันจริงๆ
มีคนถามคำถามด้วยความทุกข์ใจว่า “เรื่องการสังหารคนทั้งเมืองของอ๋องสยบแดนเหนือ เป็นเรื่องใหญ่โตที่ทุกคนต่างรู้กัน ความน่าเกรงขามของราชสำนักอยู่ที่ไหน ประชาชนในใต้หล้าคงจะผิดหวังอย่างยิ่งกับราชวงศ์และราชสำนัก”
อ๋องสยบแดนเหนือเป็นพระอนุชาของฝ่าบาท เป็นชินอ๋องผู้สง่างาม ไม่ใช่ท่านอ๋องธรรมดาทั่วไป
ในขณะเดียวกัน พระองค์ยังทรงเป็นเทพแห่งกองทัพ เป็นผู้พิทักษ์ชายแดนภาคเหนือในดวงใจของประชาชน
คนเช่นนี้ เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ถึงกับสังหารคนทั้งเมือง!
ผลที่ตามมาจากเหตุการณ์นี้ คือประชาชนทั่วไปสูญเสียความไว้วางใจในราชสำนัก ทำให้ราชวงศ์ได้รับความอับอาย ประชาชนถอดใจ
แค่ประโยคที่ว่า ‘อ๋องสยบแดนเหนือถูกประหารชีวิตแล้ว’ มันสามารถรักษาบาดแผลในใจประชาชนได้จริงหรือ
มันคนละเรื่องกับการสังหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง
ในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของอ๋องสยบแดนเหนือคือความเข้มแข็ง เป็นเทพแห่งกองทัพ เป็นผู้พิทักษ์ชายแดนภาคเหนือ เป็นชินอ๋องของราชวงศ์
ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงเทียบได้หรือ การสังหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงแสดงให้เห็นความน่าเกรงขามของราชสำนัก แสดงให้เห็นความน่าเกรงขามของราชวงศ์ได้เท่านั้น
แต่ว่า หากราชวงศ์กระทำการอันโหดเหี้ยมเช่นนี้ ประชาชนจะปรบมือแสดงความดีใจเหมือนการสังหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือไม่ ไม่หรอก ความศรัทธาของพวกเขาจะต้องล่มสลาย จะต้องสูญเสียความไว้วางใจในราชวงศ์และราชสำนัก
เดิมทีอ๋องสยบแดนเหนือที่พวกเรารักและสรรเสริญเป็นคนเช่นนี้
และอาจจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงอย่างมาก
และในวันนี้เช่นกัน องค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา ถูกลอบปลงพระชนม์ในห้องบรรทมหลังพลบค่ำ
ในคืนนั้น ประตูพระราชวังถูกปิด ทหารรักษาวังมากันเต็มวังเพื่อค้นหาจับกุมผู้ลอบปลงพระชนม์ แต่ไม่เป็นผล
วันรุ่งขึ้น ประตูทั้งสี่บานของเมืองหลวงถูกปิด สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินและเว่ยเยวียนได้ระดมทหารรักษาพระองค์ของเมืองหลวง มือปราบของที่ว่าการเมือง และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เพื่อค้นหาจับกุมผู้ลอบปลงพระชนม์
ทุกหลังคาเรือนพากันตื่นตระหนกตกใจไปทั้งเมืองหลวง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง