บทที่ 382 เปิดฉาก 3
เหล่าขุนนางบุ๋นต่างหันขวับ ใช้สายตาพินิจพิเคราะห์และเป็นปรปักษ์จ้องมองเฉากั๋วกง
ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมแก่ ‘ดวงวิญญาณพยาบาทสามหมื่นแปดพันดวง’ นี้ โครงสร้างสมาชิกของฝ่ายต่อต้านขุนนางบุ๋นนั้นค่อนข้างซับซ้อน บางคนอยู่เพื่อชอบธรรม บางคนอยู่เพื่อดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งปราชญ์ บางคนอยู่เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภหรือในขณะที่บางคนอยู่เพราะตามสมควร
ซึ่งฝ่ายต่อต้านนำโดยเว่ยเยวียนและหวางเจินเหวิน
ทั้งนี้โครงสร้างสมาชิกของฝ่ายค้านก็ซับซ้อนพอๆ กัน อย่างแรกคือสมาชิกราชวงศ์ แน่นอนว่าในหมู่พวกเขาย่อมมีคนดีอยู่บ้าง แต่บางครั้งสถานะก็เป็นตัวกำหนดตำแหน่ง
เมื่อไหวอ๋องถูกตัดสินว่ามีความผิด มันจึงกลายเป็นระเบิดเวลาต่อชื่อเสียงของทั่วราชวงศ์ หากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ต่อจากนี้คงไม่กล้าสู้หน้าใครได้อีก
คนธรรมดายังต้องการรักษาใบหน้านับประสาอะไรกับราชวงศ์?
อ๋องสยบแดนเหนือสามารถตายได้ แต่ไม่สามารถถูกตัดสินลงโทษได้
อันดับแรกคือกลุ่มขุนนางผู้ทรงอำนาจมั่งคั่ง พวกเขาย่อมมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ หากเข้าใจลำดับของฐานันดรเป็นอย่างดี ก็จะทราบได้โดยปริยายว่าขุนนางและราชวงศ์นั้นอยู่ฝ่ายเดียวกัน
สรุปได้เพียงสองคำคือ ชนชั้นสูง!
ขุนนางบุ๋นก็เปรียบเหมือนกุยช่าย เวียนสับเปลี่ยนกันไปมา มีหน้าใหม่ๆ หลั่งไหลเข้ามาในท้องพระโรงอยู่เสมอ เมื่อรุ่งเรืองอำนาจราชสำนักถือเป็นใหญ่ เมื่อตกอับผู้สืบสกุลก็ไม่ต่างอะไรจากสามัญชน
โดยเฉพาะขุนนางผู้สืบทอดมรดกถาวร ชาติกำเนิดเป็นขุนนางชั้นสูง อยู่ในชนชั้นที่แตกต่างจากสามัญชน ซึ่งมรดกถาวรนี้ อำนาจการสืบทอดเป็นสิ่งที่ราชวงศ์พระราชทานให้
ดังนั้นแม้ว่าจะมีขุนนางชั้นสูงที่ไม่เห็นด้วยกับไหวอ๋องและจักรพรรดิหยวนจิ่ง พวกเขาส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ
ท้ายที่สุดขุนนางบุ๋นเป็นกลุ่มคนที่ต้องการก้าวสู่จุดสูงสุดหรือยามตกที่นั่งลำบาก พวกเขาก็จะแอบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง ทำหน้าที่เป็นนกต่อและอาวุธชั้นดีของอีกฝ่าย
ด้วยเหตุนี้สมาชิกราชวงศ์ เหล่าขุนนางชั้นสูงและขุนนางบุ๋นบางส่วน ทั้งสามกลุ่มจึงผนวกกลายเป็นฝ่ายค้าน
ขณะนั้นเองเฉากั๋วกงได้ออกมาเป็นตัวแทนกลุ่มขุนนางชั้นสูงเพื่อแสดงเจตจำนงของพวกเขา
“ฝ่าบาท ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ราชสำนักประสบปัญหาทั้งภายในและภายนอก ความแห้งแล้งอย่างรุนแรงในฤดูร้อน น้ำท่วมในฤดูฝน การดำรงชีวิตของประชาชนนั้นยากลำบาก ทั้งภาษีก็คั่งค้างปีแล้วปีเล่า”
เฉากั๋วกงเจ็บแปลบใจพลางเอ่ยเสียงแข็ง “ในเวลานี้หากมีการรายงานการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือแพร่งพรายออกมาอีก ใต้หล้าจะมองราชสำนักอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เสนาบดีเล็กและผู้ใต้บังคับบัญชาจะมองราชสำนักอย่างไร?
“คงคิดว่าราชสำนักเสื่อมถอยแล้ว จึงเร่งขูดรีดราษฎรอย่างเข้มข้นขึ้น ไร้ยางอายมากขึ้น เช่นนั้นใช่หรือไม่?”
“ต่ำช้า!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งโกรธจัด ชี้ไปที่จมูกของเฉากั๋วกงอย่างอาฆาต “เจ้ากำลังเยาะเย้ยว่าข้าเป็นทรราช เยาะเย้ยว่าทุกคนทั้งหมดในท้องพระโรงเป็นคนโง่เขลาใช่หรือไม่?”
“กระหม่อมมิกล้า!” เฉากั๋วกงเอ่ยเสียงกังวาน
“ก่อนอื่นใดสิ่งที่พวกเขาทุกคนกระทำอยู่ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ โหวกเหวกเพื่อล้างแค้นแทนประชาชน หวังลงโทษไหวอ๋อง มีใครเคยพิจารณาสถานการณ์โดยรวมบ้างหรือไม่? คำนึงถึงภาพลักษณ์ของราชสำนักแล้วหรือยัง? ทุกคนล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก ไม่รู้หรือว่าหน้าตาของราชสำนักถือเป็นหน้าตาของพระองค์ด้วย?”
ทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ต่างเล่นลูกล่อลูกชน
ทุกคนในราชสำนักเริ่มกระซิบกระซาบ ซุบซิบนินทา
สมุหเทศาภิบาลเจิ้งพลันตกตะลึง ทั้งตกใจและกรุ่นโกรธ เขาต้องยอมรับว่าคำพูดของเฉากั๋วกงไม่ใช่การโต้แย้งข้างๆ คูๆ เพียงเท่านั้น แต่กลับมีเหตุผลมาก
ในเมื่อหน้าตาของราชวงศ์ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนเปลี่ยนทรรศนะได้
แต่หากเป็นหน้าตาของราชสำนักล่ะ?
ในหัวใจขุนนางนับร้อย ความยิ่งใหญ่ของราชสำนักอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เพราะความยิ่งใหญ่ของราชสำนักคือความยิ่งใหญ่ของพวกเขา ทั้งสองถือเป็นหนึ่งเดียวกันและไม่อาจแยกจากกันได้
แม้แต่เจิ้งซิ่งไหวเจิ้งเองก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปราชสำนักจะรักษาหน้าตาและฟื้นฟูภาพลักษณ์ในหัวใจของผู้คนได้อย่างไร
จักรพรรดิหยวนจิ่งโศกเศร้าเหลือทน ก่อนถอนหายใจ “แต่ แต่ไหวอ๋องเขา…ผิดจริงๆ”
เฉากั๋วกงเอ่ยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ไหวอ๋อง…สิ้นพระชนม์แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!”
การสนทนาดังเซ็งแซ่ขึ้นในทันใด บางคนยังคงกระซิบเสียงเบา แต่บางคนเริ่มโต้เถียงอย่างดุเดือด
ขณะที่ขันทีชรากำลังคว้าแส้ออกแรงเหวี่ยงกระทบพื้นกระเบื้องเพื่อตำหนิขุนนางอยู่นั้น
แต่เมื่อถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งเหล่มอง ขันทีชราจึงเข้าใจความหมายของจักรพรรดิและนิ่งเงียบโดยทันที ปล่อยให้การโต้เถียงเดือดดาลและดำเนินต่อไป
จริงสิ ไหวอ๋องสิ้นแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของ ‘ขุนนางชั้นสูง’ ได้สิ้นลงแล้ว จากนี้ไปจะไม่มีแม่ทัพคนไหนที่สามารถกดขี่พวกเขาได้อีก…เมื่อเป็นเช่นนี้สมควรแล้วหรือที่จะทำลายความยิ่งใหญ่ของราชสำนักเพื่อคนที่ตายไปเพียงคนเดียว?
ขุนนางบุ๋นหลายคนมีความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวอย่างโกรธเคือง “สิ้นแล้วสามารถลบเลือนเรื่องราวได้หรืออย่างไร?”
เฉากั๋วกงโค้งคำนับกล่าวว่า “ได้สิพ่ะย่ะค่ะ!”
เว่ยเยวียนเหล่ตากวาดมองเฉากั๋วกงด้วยดวงตาที่เชือดเฉือนราวกับคมมีด
เว่ยเยวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ หัวเราะเย้ยหยันโดยไร้เสียง
ดูเหมือนทั้งสองจะรู้ว่าเฉากั๋วกงต้องการจะพูดอะไรต่อไป
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
เฉากั๋วกงแสดงท่าทีจริงจัง ใบหน้าเคร่งขรึม “ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นผู้ทำลายเมืองฉู่โจวที่แท้จริง? เป็นเผ่าอนารยชน เผ่าอนารยชนที่เปลี่ยนเมืองฉู่โจวให้กลายเป็นซากปรักหักพัง เรื่องนี้เป็นไปได้หรือไม่หากจะลองมองในมุมที่ต่างกันดู? เมื่อสองกองทัพปีศาจและเผ่าอนารยชนรวมตัวกันเข้ายึดครองเมือง อ๋องสยบแดนเหนือที่ต่อสู้อย่างหมดท่าเพื่อปกป้องประตูชายแดนต้าฟ่ง ในที่สุดเมืองก็ถูกทำลาย ผู้คนเสียสละชีวิตอย่างกล้าหาญ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสียงของเฉากั๋วกงพลันเปลี่ยนเป็นเสียงดังกระหึ่ม “อย่างไรก็ตาม การเสียสละของอ๋องสยบแดนเหนือล้วนมีคุณค่า เขาต่อสู้เพียงลำพังกับสองผู้นำปีศาจและเผ่าอนารยชน บั่นคอจี๋ลี่จือกู่ สร้างความบาดเจ็บสาหัสให้แก่จู๋จิ่ว ผลพวงจากการทำให้สองผู้แข็งแกร่งทางตอนเหนือถูกฆ่าและได้รับบาดเจ็บนั้น หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ความสงบสุขคงได้บังเกิดแก่ชายแดนเหนือไปอีกนานนับสิบปีหรือหลายสิบปี กล่าวได้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือนั้นตายอย่างมีเกียรติเป็นวีรบุรุษแห่งต้าฟ่ง”
เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย อารมณ์ของเฉากั๋วกงทะยานขึ้นสูง เลือดลมสูบฉีดรุนแรง เปล่งเสียงดังก้องทั่วทั้งท้องพระโรง
เฉากั๋วกงให้ทางเลือกแก่คนทั้งสองฝ่าย ประการที่หนึ่งคือยึดมั่นในความคิดเห็นของเขา ตัดสินลงโทษไหวอ๋องผู้ล่วงลับไปแล้ว ทว่าหน้าตาของราชวงศ์ก็จะได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง สะเทือนความเชื่อมั่นในราชสำนักของประชาชนจนอาจเกิดวิกฤต
ประการที่สอง คือลักขื่นเปลี่ยนเสา เปลี่ยนแปลงเรื่องราวให้สองกลุ่มปีศาจและเผ่าอนารยชนเป็นผู้ที่ทำลายเมืองฉู่โจว ส่วนอ๋องสยบแดนเหนือเป็นผู้ปกป้องเมืองและสละชีวิตอย่างกล้าหาญ
พวกเขาทุกคนต้องทำ เพื่อเรียกชื่อเสียงของชินอ๋องที่ตายแล้วให้คืนกลับมา สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาหน้าตาของราชสำนักเท่านั้น แต่ยังก้าวไปอีกขั้น โดยการสร้างความเชื่อมั่นและความแข็งแกร่งอีกด้วย
ขณะนั้นเสียงหัวเราะอันน่าสังเวชหนึ่งก็ดังขึ้นกังวานอยู่เหนือท้องพระโรง
เจิ้งซิ่งไหวมองไปรอบๆ ทุกคนที่นิ่งเงียบ ก่อนเหลือบมองไปที่ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งและเฉากั๋วกง ปัญญาชนผู้นี้พลันโศกเศร้าและกรุ่นโกรธ
“ฝ่าบาท เฉากั๋วกง พวกท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าไม่ใช่คนเดียวที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ยังมีคนของคณะทูตทั้งหมด ทหารฉู่โจวสองหมื่นนาย รวมถึงคนหลายพันคนในเมืองหลวง และบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงที่รู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน” เจิ้งซิ่งไหวหัวเราะเย้ยในทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง