บทที่ 383 กลับบ้าน (1)
อุทยานหลวง พระราชวัง
ภายในศาลาที่มีผ้าม่านสีเหลืองสดใสกั้น คนในชุดสีเหลืองและชุดสีครามนั่งที่โต๊ะไม้หวงฮวาหลีทรงแปดเหลี่ยม
เว่ยเยวียนและจักรพรรดิหยวนจิ่งอายุเท่ากัน คนหนึ่งดวงหน้าเปล่งปลั่ง ผมดำดกหนา ส่วนอีกคนหนึ่งมีผมขาวแซมข้างขมับสองข้างตั้งแต่อายุยังน้อย ดวงตาแฝงซ่อนความผันผวนที่ตกตะกอนจากชีวิตแรมปี
หากเปรียบชายชาตรีเป็นดั่งสุรา จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เป็นเหล้าในไหที่หรูหรา เลอค่าที่สุด แต่ในแง่ของรสชาติ เว่ยเยวียนนั้นเปรียบดั่งเหล้าที่รสชาติกลมกล่อมหอมหวนที่สุด
ทั้งสองกำลังเล่นหมากล้อม
จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรมองหมากตัวขาวของเว่ยเยวียนที่ถูกกิน พลางถอนหายใจ
“หลังจากสิ้นไหวอ๋อง แดนเหนือก็ไร้ซึ่งเสาค้ำฟ้าอีกต่อไป เผ่าอนารยชนไม่สามารถก่อความวุ่นวายไปได้อีกช่วงหนึ่งก็จริง แต่ถ้าหากสำนักพ่อมดข้ามเขตจากฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือมายังแดนเหนือ บุกเข้าเมืองหลวงผ่านทางด่านที่ฉู่โจว แล้วสังหารข้าล่ะ!”
ขณะที่พูด จักรพรรดิหยวนจิ่งก็วางหมากลงบนกระดาน เกิดเสียงตัวหมากกระทบแผ่นกระดานคมชัด สถานการณ์พลิกผันทันที หมากตัวขาวเรียงตัวเป็นรูปดาบ ชี้ไปทางมังกรยักษ์
“จิ๊ วันนี้เว่ยชิงไม่ค่อยตั้งใจเล่นหมากเลยนะ”
สายตาของเว่ยเยวียนอ่อนโยน เขาหยิบหมากตัวดำขึ้น แล้วกล่าวว่า “เสาค้ำฟ้า หากสูงเกินไป ใหญ่โตเกินไปก็ควบคุมได้ยาก เมื่อใดที่พังทลายลงมา ย่อมทำร้ายทั้งตนเองแล้วผู้อื่น”
วางหมากลงอย่างแผ่วเบา
ทั้งสองสนทนากันขณะเล่นหมากล้อม หลังจากวางหมากไปประมาณสี่ถึงห้าตา จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตรัสขึ้นว่า
“องค์รัชทายาทถูกลอบสังหารเมื่อสองสามวันก่อน คนในวังหลังล้วนตกอยู่ในอันตราย ฮองเฮาเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ช่วงนี้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอมลงไปมาก เว่ยชิง รีบจับตัวฆาตกรแล้วจบเรื่องนี้สักทีเถิด ฮองเฮาจะได้ไม่ต้องหวาดผวาอีกต่อไป”
เว่ยเยวียนมองกระดานหมากล้อม ยอมรับความพ่ายแพ้ หายใจออกช้าๆ “ทักษะการเดินหมากของฝ่าบาทนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นถอยหลังสองสามก้าวแล้วโค้งคำนับ “เป็นความบกพร่องของกระหม่อมเอง กระหม่อมจะพยายามอย่างเต็มที่ และจับฆาตกรให้ได้โดยเร็วที่สุด”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพระสรวล
…
สำนักราชเลขาธิการในขณะเดียวกัน
ขันทีวัยกลางคนสวมชุดงูเหลือม พร้อมด้วยขันทีรับใช้สองคนเดินทางมายังหอสมุดหลวง และได้พบกับสมุหราชเลขาธิการหวาง
พวกเขาหยุดอยู่ไม่นาน เพียงหนึ่งเค่อ ขันทีใหญ่ก็พาขันทีรับใช้ทั้งสองจากไป
สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินนั่งหลังโต๊ะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แน่นิ่งอยู่เนิ่นนาน เงียบเฉยราวกับรูปปั้น
…
วันรุ่งขึ้น ณ ที่ประชุมท้องพระโรง จักรพรรดิหยวนจิ่งยังคงโต้เถียงกับเหล่าขุนนางเกี่ยวกับคดีฉู่โจว แต่ก็ไม่รุนแรงเท่าเมื่อวาน ทั่วทั้งตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน
ถึงแม้จะยังการประชุมในวันนี้จะไม่ได้ข้อสรุป แต่ก็จบลงอย่างค่อนข้างสันติ
เจิ้งซิ่งไหวซึ่งคร่ำหวอดในวงข้าราชการมานานรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ เขารู้ว่าปัญหาที่ตนกังวลเมื่อวานนี้ ในที่สุดก็เกิดขึ้นจริงๆ
ในที่ประชุม ถึงแม้ว่าเหล่าขุนนางจะไม่ยอมปล่อยผ่าน แต่ก็ต่างจากเมื่อวานที่ดึงดันจะสำเร็จโทษอ๋องสยบแดนเหนือให้ได้
แม้ว่าขณะที่บรรดาขุนนางเสนอวิธีกำจัดข่าวลือในเมืองหลวง พร้อมหาทางเปลี่ยนทัศนคติของทหารชุดเกราะต่อเรื่องนี้ ขุนนางบุ๋นบางส่วนก็เข้าร่วมการประชุมนี้ เพียงเพื่อจะหาเรื่องด่าทอ
สิ่งที่ทำให้เจิ้งซิ่งไหวเจ็บใจมากที่สุดก็คือเว่ยเยวียนและหวางเจินเหวินเอาแต่นิ่งเงียบตลอดเวลา
หลังจากที่สิ้นสุดการประชุม เจิ้งซิ่งไหวก็จากไปจากเงียบๆ ขณะที่เดินอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินใครบางคนเรียกเขาจากด้านหลัง “ใต้เท้าเจิ้งโปรดรอเดี๋ยว”
เขาหันศีรษะไปมองอย่างมึนงง เห็นเฉากั๋วกงในชุดบรรดาศักดิ์กงไล่ตามมา ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ในสายตาของเจิ้งซิ่งไหว นี่คือรอยยิ้มของผู้ชนะ
“ใต้เท้าเจิ้ง ท่านละทิ้งฉู่โจวเพื่อมาร้องเรียนที่เมืองหลวงเป็นการส่วนตัว คิดเองเออเองว่าจะรับมือกับสถานการณ์ได้ แต่เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าวันนี้จะมาถึง”
เฉากั๋วกงวางท่าเรียบเฉย กล่าวเสียงเนิบๆ
“ข้าจะชี้ทางสว่างแก่ท่านเอง เมืองฉู่โจวนั้นพังทลายลงแล้ว ท่านในฐานะของสมุหเทศาภิบาลแห่งเมืองฉู่โจว ในเวลานี้ควรจะอยู่ที่เมืองฉู่โจว และบูรณะฟื้นฟูเมืองขึ้นมาใหม่ ส่วนเรื่องของเมืองหลวงไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่ง”
เขาหันศีรษะไปมองตำหนักกระดิ่งทอง แล้วกล่าวตอกย้ำว่า “นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทต้องการจะสื่อ”
ความหมายของฝ่าบาทก็คือ ถ้าเจ้ายอมรับ เจ้าก็ยังคงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจวต่อไป มาจากทางใด ก็กลับไปทางนั้น อย่างไรเสีย เมืองฉู่โจวก็อยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายหมื่นลี้ เจ้าจะได้ไปให้พ้นหูพ้นตาข้า
“ถุย!”
สิ่งที่ตอบกลับมา คือน้ำลายของเจิ้งซิ่งไหว
“ไม่รู้จักบุญคุณ”
เฉากั๋วกงมองตามหลังเจิ้งซิ่งไหวไป และยิ้มเยาะ
…
ณ หอเฮ่าชี่ ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
เว่ยเยวียนเป็นคนแรกที่เจิ้งซิ่งไหวไปเยี่ยมเยือนหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม
สวี่ชีอันติดตามความเคลื่อนไหวในท้องพระโรงวันนี้โดยตลอด กำลังคิดจะไปเยี่ยมเจิ้งซิ่งไหวที่ศาลาพักม้า แต่ได้ยินว่าเจิ้งซิ่งไหวมาคารวะเว่ยเยวียน จึงตรงดิ่งไปยังหอเฮ่าชี่ทันที
แต่กลับถูกทหารยามชั้นล่างสกัดกั้นเอาไว้
“เว่ยกงมีคำสั่งว่าไม่ให้ผู้ใดขึ้นไปรบกวนระหว่างการพบแขก อีกทั้งช่วงนี้เว่ยกงไม่คิดจะพบเจ้า เขาไล่เจ้าไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ”
ทหารยามกับสวี่ชีอันล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว เวลาพูดจาจึงไม่มีความเกรงกลัวต่อกัน
สวี่ชีอันเองก็ตีคนได้อย่างไม่กลัวเกรงเช่นกัน ฝ่ามือหวดเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่ายไม่หยุด ปากก็สบถด่าไปด้วย “พูดมากนักนะ พูดมากนักนะ…”
ที่ชั้นเจ็ด
เว่ยเยวียนผู้มีผมหงอกขาวแซมข้าง สวมชุดสีคราม นั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าโต๊ะเอกสาร
ตรงข้ามกับเขาคือเจิ้งซิ่งไหว ที่ค่อยๆ ค้อมตัวลง เรือนผมเป็นสีดอกเลาไม่ต่างกัน ความอัดอั้นตันใจเผยออกมาผ่านหว่างคิ้ว
“เมื่อสิ้นสุดการตรวจสอบข้าราชสำนักที่เมืองหลวง ใต้เท้าเจิ้งกลับมารายงานการปฏิบัติงานที่เมืองหลวง ข้าได้มีโอกาสพบเจอท่านอยู่ครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นแม้ว่าเรือนผมของท่านจะหงอกขาว แต่กำลังวังชายังมีมากทีเดียว” น้ำเสียงของเว่ยเยวียนอ่อนโยน แววตาของเขาฉายแววเห็นอกเห็นใจ
แต่คราวนี้ที่ได้พบปะกันอีกครั้ง คนผู้นี้ดูเหมือนคนไม่มีวิญญาณ ถุงใต้ตาบวมเป่ง ตาแดงก่ำ บ่งบอกว่าเขาไม่ได้นอนหลับในเวลากลางคืน
มุมปากที่ตกลง และความเหนื่อยล้าระหว่างคิ้ว บอกชัดว่าอีกฝ่ายมีความขุ่นเคือง ไม่สบายใจ และอึดอัดใจ
“เว่ยกงคิดจะยอมแพ้แล้วหรือ” เจิ้งซิ่งไหวเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าชื่นชมสวี่ชีอันอย่างมาก คิดว่าเขาเป็นทหารมากพรสวรรค์ แต่บางครั้งข้าก็ปวดหัวกับนิสัยอารมณ์ร้อนของเขา”
เว่ยเยวียนตอบไม่ตรงคำถาม แล้วจึงกล่าวต่อ “ถ้าคิดจะไต่เต้าในแวดวงขุนนาง ต้องรู้อยู่สามอย่าง รู้ภัย รู้ถอย รู้เปลี่ยน
“ก่อนจะทำอะไรต้องพิจารณาถึงผลที่จะตามมาของเหตุการณ์นั้น เข้าใจถึงคุณและโทษ แล้วชั่งน้ำหนักดูว่าสมควรกระทำสิ่งนั้นหรือไม่
“หากสถานการณ์พลิกกลับจนไม่อาจหยุดยั้งได้ ก็ต้องรู้จักถอยหนีเลี่ยงเลี่ยงการปะทะ ฝ่าบาทของพวกเรา ก็ทรงทำได้ดีมากอยู่แล้ว เมื่อใดที่ถอยออกมาแล้ว ปลอดภัยแล้ว ถึงจะสามารถคิดได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างไร
“แต่เจ้าเด็กเมื่อวานซืนสวี่ชีอันกลับตอบข้าว่า ‘ข้าเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี แต่ข้าไม่สน’…เหอะ ไอ้ทหารชั้นต่ำเอ๋ย”
เจิ้งซิ่งไหวนึกถึงคำพูดของฆ้องเงินสวี่ตอนอยู่ในถ้ำ รู้ทั้งรู้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือทรงพลังเพียงใด แต่ก็ยังอยากขึ้นเหนือไปไขคดีถึงฉู่โจว ใบหน้าของเขาก็เจือรอยยิ้มน้อยๆ
“ทำให้เว่ยกงพูดคำว่า ‘ชั้นต่ำ’ ออกมาได้ แสดงว่าเว่ยกงคงสุดจะทนกับเขาแล้วสินะ”
เจิ้งซิ่งไหวเข้าใจความหมายในคำพูดของเว่ยเยวียน แต่เขาเป็นเหมือนกับสวี่ชีอัน มีสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องยึดมั่น ไม่อาจถอยหนีได้
เขาลงมาชั้นล่างเพียงลำพัง และเห็นสวี่ชีอันรออยู่ใต้อาคาร
“ใต้เท้าเจิ้ง ข้าขอพาท่านกลับไปที่ศาลาพักม้านะขอรับ” สวี่ชีอันเข้าไปทักทาย
“ข้ายังไม่กลับไปที่ศาลาพักม้า” เจิ้งซิ่งไหวส่ายหน้า มองดูเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน “ขออภัยที่ทำให้ฆ้องเงินสวี่ต้องผิดหวัง”
หัวใจของสวี่ชีอันหล่นวูบ
ทั้งสองเดินออกจากที่ทำการปกครองเงียบๆ เข้าไปในรถม้า เชินถูไป่หลี่ซึ่งทำหน้าที่คนขับก็บังคับม้าออกไป
ระหว่างทาง เจิ้งซิ่งไหวอธิบายสถานการณ์ในท้องพระโรงตั้งแต่ต้นจนจบ ชี้ให้เห็นว่าท่าทีของเหล่าขุนนางนั้นคลุมเครือ มีการเปลี่ยนแปลงจุดยืนอย่างลับๆ
“เว่ยกงไม่น่าเลย ตำแหน่งระดับเขาแล้ว หากต้องการอะไรจริงๆ แล้วละก็ ย่อมวางแผนได้เอง โดยไม่ต้องตามใจฝ่าบาท ยอมผิดต่อมโนธรรมของตัวเอง”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจเรื่องนี้
“เว่ยกงออกหน้าลำบากน่ะ” เจิ้งซิ่งไหวแก้ตัวแทนเว่ยเยวียน ในน้ำเสียงแฝงเร้นความอ่อนล้า
“จักรพรรดิกับขุนนางนั้นต่างกัน ขอเพียงฝ่าบาทไม่ยื่นมือเข้าไปแตะต้องผลประโยชน์ของคนส่วนมาก ก็ไม่มีใครในท้องพระโรงตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์”
“สามสิ่งที่ต้องรู้ที่เว่ยกงพูดถึง…ใต้เท้าเจิ้ง ท่านลองไตร่ตรองดูสักหน่อยจะดีหรือไม่ขอรับ หลีกเลี่ยงการปะทะสักช่วงหนึ่ง ไหนๆ ไหวอ๋องก็สิ้นไปแล้ว ความแค้นของชาวเมืองฉู่โจวก็ได้รับการสะสางแล้วด้วย” สวี่ชีอันแนะนำ
ใต้เท้าเจิ้งเป็นขุนนางที่ดี เขาไม่อยากให้คนเช่นนี้ต้องพบจุดจนอันเลวร้าย เหมือนกับตอนที่เขาประจันหน้ากับพวกกบฏเพียงลำพัง เพื่อผู้ตรวจการจางที่อวิ๋นโจว
คราวนี้คนที่ต้องต่อสู้ด้วยไม่ใช่กบฏ แต่เป็นขุนนางในท้องพระโรง สวี่ชีอันไม่อาจถือดาบวิ่งโร่เข้าไปสังหารถึงในวังได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีบทบาทในเรื่องนี้
ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมให้ใต้เท้าเจิ้งทบทวนให้รอบคอบ
เจิ้งซิ่งไหวมองมาที่เขาและเอ่ยถาม “เจ้ายินดีหรือ เจ้ายินดีที่จะเห็นเพชฌฆาตอย่างไหวอ๋องกลายเป็นวีรบุรุษได้รับการบูชาในฐานะบูรพกษัตริย์ ชื่อเสียงจารึกก้องเกริกในหน้าประวัติศาสตร์หรือ”
สวี่ชีอันไม่ตอบ แต่เจิ้งซิ่งไหวเห็นความขัดขืนจากแววตาของชายหนุ่มผู้นี้
จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มอย่างสุขใจ
“ข้าเป็นสมุหเทศาภิบาล เป็นข้าราชการอันดับสองก็จริง แต่ข้าก็เป็นปัญญาชนด้วย ปัญญาชนไม่ทำอะไรขัดต่อมโนธรรมของตนเอง ไม่ทำให้ตนเองผิดหวัง และยิ่งไม่ควรทำผิดให้บิดามารดาที่อุตสาหะชุบเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ผิดหวังไปด้วย”
ตลอดเส้นทางไร้ซึ่งบทสนทนา
เวลาผ่านไปนาน รถม้าก็หยุดลงข้างทาง เชินถูไป่หลี่กล่าวเบาๆ “ใต้เท้า ถึงแล้วขอรับ”
สวี่ชีอันเปิดม่าน รถม้าหยุดที่ด้านหน้าของลานกว้างอันโอ่โถง แผ่นป้ายบนประตูลานเขียนว่า ‘หอสมุดหลวง’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง