ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 384

สรุปบท บทที่ 384 ความโกรธ! (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 384 ความโกรธ! (1) – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 384 ความโกรธ! (1) ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 384 ความโกรธ! (1)

คุกใต้ดินอันมืดมิด มีเพียงแสงแดดที่ส่องผ่านช่องลมเข้ามา พร้อมกับเม็ดฝุ่นที่ลอยอยู่ในลำแสง

หลังจากที่สวี่ชีอันยืนอยู่นาน เขาก็รู้สึกว่าไม่สามารถปล่อยให้ใต้เท้าเจิ้งอยู่ในสภาพนี้ได้อีกต่อไป เขาจึงเข้าไปในห้องขัง และวางเขาลง

ศพมีร่องรอยของความอบอุ่นเพียงน้อยนิด เขาเสียชีวิตได้สักพักแล้ว

เลขาธิการศาลต้าหลี่นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่นอกห้องขัง

สวี่ชีอันกลับไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรมากมายนัก เขารู้สึกแค่ว่า การจากไปเช่นนี้ก็เป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง

ระหว่างทางจากฉู่โจวกลับมาที่เมืองหลวง เขาสังเกตเห็นกระดูกสันหลังของปัญญาชนท่านนี้โค้งงอเล็กน้อย และร่างของเขาก็อ่อนระทวยขึ้นเรื่อยๆ

เขาเหนื่อยเกินไป เขาแบกชีวิตทั้งหมดสามแสนแปดหมื่นชีวิตไว้บนหลัง ทุกวันเขาไม่เคยกล้าปล่อยให้ตนเองมีเวลาว่าง เพราะตราบใดที่มีเวลาว่าง เขาก็มักจะรู้สึกราวกับสำลักน้ำตลอดเวลา

“ท่านพูดสิ ว่าท่านทำเช่นนี้ทำไม ท่านเป็นเพียงขุนนางบุ๋นคนหนึ่งที่อ่อนแอเกินกว่าจะมัดไก่ อะไรท่านก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น วิญญาณทั้งสามแสนแปดหมื่นดวงไม่ได้ให้ท่านแก้แค้นแทนพวกเขาสักหน่อย”

สวี่ชีอันจัดระเบียบศพของเจิ้งซิ่งไหว และพยายามปิดเปลือกตาให้เขา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ดวงตาที่ปูดโปนคู่นั้นก็ยังคงจ้องมองโลกที่ขุ่นมัวตาเขม็ง

“ท่านพยายามเที่ยวตระเวนพูดโน้มน้าวอย่างหนักเช่นนั้นทุกวัน แต่คนอื่นๆ มักจะเพิกเฉยท่าน ตอนนี้ข้าอยากจะพูดกับท่านสักประโยค สุขและทุกข์ของมนุษย์ล้วนไม่เหมือนกัน พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าท่านส่งเสียงรบกวน ใต้เท้าเจิ้ง ทุกคนในเมืองหลวงไม่เคยประสบกับเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ฉู่โจวเหมือนกับท่านและข้า พวกเขาไม่มีทางเหมือนท่านได้ ทุกปีล้วนเกิดภัยพิบัติ ทุกปีล้วนมีผู้คนนับไม่ถ้วนหิวตายและหนาวตาย เรื่องที่เห็นด้วยตาตนเองย่อมไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่อ่านในสมุดพับ กว่าจะรอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ฉู่โจวก็ไม่ง่าย มุ่งตรงมาที่เมืองหลวง เดิมทีคิดว่าราชสำนักจะคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนสามแสนแปดหมื่นคน และคืนความยุติธรรมให้กับท่าน แต่กลับกลายเป็นว่าราคาที่ต้องจ่ายคือชีวิตของตนเอง เฮ้อ…ผู้ไร้ประโยชน์มากที่สุดคือนักปราชญ์ ที่ข้าพูดไม่ผิดสักนิด วันนั้นข้าทุ่มเทต่อสู้เพื่อผู้ตรวจการจาง เดิมทีคิดว่าครั้งนี้ข้าก็จะทุ่มเทต่อสู้เพื่อท่าน เพียงแต่ข้ายังคิดหาทางไม่เจอ ท่านก็มาชิงตายไปเสียก่อน แต่ก็ดีแล้ว การเป็นมนุษย์นั้นทุกข์มหันต์ ชีวิตที่ผ่านมาของท่านช่างเลวร้ายจริงๆ”

หลังจากจัดระเบียบศพเสร็จสิ้นแล้ว สวี่ชีอันก็ยืนขึ้น และถอยหลังออกไปสองสามก้าว ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นมาและโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งให้ปัญญาชนผู้น่าสงสารและน่าเคารพคนนี้

กลุ่มทหารที่สวมเสื้อเกราะ และถืออาวุธคมกริบรวมตัวกันอยู่ที่นอกคุกใต้ดิน

เลขาธิการศาลต้าหลี่พาคนนอกเข้ามาในที่ทำการปกครอง เดิมทีไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่คุกใต้ดินเป็นสถานที่สำคัญ เว้นแต่จะมีลายมือชื่อของขุนนางระดับสูงอย่างซื่อชิงหรือเซ่าชิง มิเช่นนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในคุกใต้ดินโดยพลการได้

แน่นอนว่าทหารประจำคุกย่อมขัดขวางเขา แต่เมื่อถูกสวี่ชีอันกระโดดเตะก็ไม่กล้าตีหินด้วยไข่อีก จึงวิ่งโร่ไปแจ้งหัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่

หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ยืนไขว้สองมือไว้ด้านหลังอยู่ที่เบื้องหน้า ด้านหลังคือเหล่าทหารยามของที่ทำการปกครอง

ใบหน้าของเขาจมมืด หลังจากยืนรออยู่ครึ่งชั่วโมง ถึงได้เห็นสวี่ชีอันออกมา ชายหนุ่มคนนี้สงบนิ่งอย่างคาดไม่ถึง ใบหน้าของเขาไม่แสดงออกถึงความสุขหรือความเศร้าแม้แต่นิดเดียว

“สวี่ชีอัน เจ้าบุกรุกเข้ามาในเรือนจำของศาลต้าหลี่ ต่อให้ข้าจะฆ่าเจ้าตายตรงนี้ เว่ยเยวียนก็พูดอะไรไม่ได้” หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ชิงลงมือตะโกนก่อนเพื่อความได้เปรียบ

ชายหนุ่มที่ถือดาบกลับเพิกเฉย และเดินจากไปอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

ดาบเล่มนี้ เดิมทีตั้งใจนำมาใช้ฆ่าสัตว์เดียรัจฉาน เพียงแต่เขามาช้าไปชั่วครู่และไล่ตามไม่ทัน หากมีใครอยากจะลองลูบคมมัน สวี่ชีอันก็จะไม่ปฏิเสธ

“ใต้เท้าซื่อชิง…” ทหารรักษาพระองค์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่กำลังจะออกคำสั่งให้เหล่าทหารรักษาพระองค์ไปจับตัวเขา แต่จู่ๆ ก็ถูกดึงแขนเสื้อ เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นเลขาธิการศาลต้าหลี่

เลขาธิการศาลต้าหลี่มองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง “ใต้เท้าก็มีเพียงหนึ่งชีวิต เหตุใดถึงไม่หวงแหนมันไว้เล่า”

หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ ขนอ่อนตามแผ่นหลังลุกชัน

ห้องทรงพระอักษร พระราชวัง

ฮู่กั๋วกงและเฉากั๋วกงกลับไปที่พระราชวัง เพื่อรายงานผลการปฏิบัติภารกิจ

“ฝ่าบาท เจิ้งซิ่งไหวสิ้นชีพแล้ว คดีนี้สามารถตัดสินได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฉากั๋วกงกล่าวด้วยความเคารพ

“เหลือเพียงแต่จะรับมือกับทุกคนอย่างไร” เชวียหย่งซิวยังคงกังวลเล็กน้อย

ทุกคนสามารถให้อภัยอ๋องสยบแดนเหนือได้ นั่นก็เพราะอ๋องสยบแดนเหนือสิ้นพระชนม์แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับมาเมืองหลวงอย่างปลอดภัยด้วยร่างกายที่ไร้ซึ่งตำหนิ เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะส่งกองทหารรักษาวังไปยังจวนของฮู่กั๋วกง เพื่อปกป้องและดูแลความปลอดภัยของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการลอบสังหาร นอกจากนี้ เหล่าสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือที่ตามเจ้ากลับมาก็ให้เจ้าควบคุมชั่วคราว และให้พวกเขาอยู่ที่จวนของเจ้า”

เชวียหย่งซิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก กองกำลังรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเช่นนี้ น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เขาปลอดภัยโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลอบสังหาร

สำหรับการต่อสู้ที่ดุเดือดในท้องพระโรง เขาจำเป็นต้องทำตัวค้อมต่ำเข้าไว้ ไม่มีปากมีเสียงและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของจักรพรรดิ แม้ว่าเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางจะมีวิธีการเหนือคนทั่วไป ก็คงไม่คิดจะจุดไฟเผาเขาที่นี่

หากผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ อนาคตข้างหน้าก็ยังคงสวยงาม

เมื่อจิตใจสงบลงบ้างแล้ว เชวียหย่งซิวก็โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอกและหัวเราะขึ้นมาอย่างจริงใจ

“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง โต้กลับในขณะคู่ต่อสู้คลี่คลาย ทำให้สั่นคลอนเหล่าขุนนางบุ๋นได้ง่าย ฉวยโอกาสรีบตัดสินใจในช่วงที่พวกเขากำลังลังเล โดยให้เจิ้งซิ่งไหวฆ่าตัวตายหนีความผิด และไม่ปล่อยทางหนีทีไล่ให้กับทุกคน คราวนี้พวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาฝืนทนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิย่อมตัดสินใจอย่างอ่อนข้อมากพอที่จะสนองความกระหายของคนบางส่วน มิฉะนั้น ต่อให้เป็นจักรพรรดิ ก็มิอาจเป็นเสาต้นเดียวที่ค้ำตึกหลังใหญ่ได้

เชวียหย่งซิวชื่นชมจักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยใจจริง

“แม้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะถูกคณะทูตพากลับมาที่เมืองหลวง แต่ก็ยังไร้ร่องรอยของยอดฝีมือปริศนาคนนั้น หากหาเขาเจอแล้ว ก็ส่งทหารไปปราบปรามเขาเพื่อล้างแค้นให้กับไหวอ๋อง เรื่องนี้ก็จะจบแบบสมบูรณ์แบบพ่ะย่ะค่ะ” เฉากั๋วกงทอดถอนใจ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็มืดมนเล็กน้อย จากนั้นไม่กี่อึดใจ เขาก็กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “พรุ่งนี้เรียกประชุมช่วงเช้าเพื่อสรุปคดีเมืองฉู่โจว ก่อนหน้านั้น เจ้าจงให้คนไปกระจายข่าวให้ทั่ว ว่าเจิ้งซิ่งไหวฆ่าตัวตายหนีความผิด”

เฉากั๋วกงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ!”

ศาลาใน

ภายหลังการประชุมตอนเช้าสิ้นสุดลง สมุหราชเลขาธิการหวางก็เรียกประชุมปราชญ์มหาสำนักทั้งห้าท่าน เพื่อร่วมกันหารือเรื่องที่จะเกิดตามมาหลังเจิ้งซิ่งไหวติดคุก

“ไหวอ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ถือว่าแล้วกันไป แต่เชวียหย่งซิวเป็นหนึ่งในเพชฌฆาตของเหตุการณ์สังหารหมู่ ท่าทีของฝ่าบาทช่างทำให้…” ปราชญ์มหาสำนักตำหนักอู่อิงเฉียนชิงซูรู้สึกเหลืออด จึงกล่าวด้วยความเศร้าใจ

“เป็นเรื่องดีที่จะคิดหาวิธีช่วยใต้เท้าเจิ้ง ขุนนางที่ดีเช่นนี้ ไม่ควรต้องกล้ำกลืนความไม่ยุติธรรม”

ปราชญ์มหาสำนักตำหนักเจี้ยนจี๋หงุดหงิดเล็กน้อยจึงกล่าวด้วยความโกรธว่า “เจิ้งซิ่งไหวเป็นคนเจ้าอารมณ์ เขาเป็นขุนนางได้ แต่เขาทำอะไรในราชสำนักไม่ได้เลย” น้ำเสียงเจือไปด้วยความสงสารในความโชคร้ายของเจิ้งซิ่งไหว แต่ก็รู้สึกโกรธที่เขาไม่สู้

“แต่ก็เพราะเช่นนี้ ถึงน่านับถือ ไม่ใช่รึ”

ปราชญ์มหาสำนักศาลาพลับพลาฝั่งตะวันออกจ้าวถิงฟางถอนหายใจด้วยความโล่งอก และกล่าวอย่างครุ่นคิด “มิใช่ว่าฝ่าบาททรงอยากกลับพิพากษาให้อ๋องสยบแดนเหนือหรอกรึ ฝ่าบาททรงต้องการรักษาหน้าของราชวงศ์ งั้นพวกเราก็ต้องรับปากพระองค์ เงื่อนไขคือแลกกับความบริสุทธิ์ของเจิ้งซิ่งไหว

“ตราบใดที่เจิ้งซิ่งไหวถูกตัดสินว่ามีความผิด สำหรับฝ่าบาทแล้ว คดีนี้ก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์ พระองค์จะทรงเห็นด้วยรึ” ปราชญ์มหาสำนักตำหนักเจี้ยนจี๋กล่าวอย่างโกรธเคือง

“งั้นก็ต้องเกิดความวุ่นวายอีกครั้ง!” จ้าวถิงฟางเคาะกำปั้นลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่น

หนังสือประวัติศาสตร์มีมากมายนับไม่ถ้วน ด้านในจะมีสักกี่คนที่เหมือนเจิ้งซิ่งไหว?

สาเหตุที่มีคดีอยุติธรรมมากมายเช่นนี้ ในที่สุดก็เป็นเพราะไม่มีใครกล้ายืนขึ้นมา

“องค์หญิง องค์หญิงรองทรงต้องการพบท่านพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อทหารรักษาพระองค์เคาะประตูห้องของฮว๋ายชิ่ง นางก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดี และขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้

ในเวลานี้ หากหลินอันมายั่วยุและทำให้นางรำคาญอีก นางคงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้

“ให้นางไปรอที่ห้องนั่งเล่น ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะตามไป”

หลังจากทหารรักษาวังออกไปแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็เผาจดหมายจนมอด ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกระโปรงสีขาวราวกับหิมะ เมื่อไปถึงห้องนั่งเล่นก็พบกับพระขนิษฐาในชุดสีแดง

นางรู้สึกตกตะลึงในทันที

ก่อนหน้านี้หลินอันเคยมีชีวิตชีวาและสดใสร่าเริง นางมักจะพูดเจื้อยแจ้วราวกับนกกระจอกตัวเล็กๆ บางครั้งก็จู่โจมเข้ามาจิกเจ้า แม้ว่าทุกครั้งจะถูกฮว๋ายชิ่งตบลงบนพื้นก็ตาม

แต่นางก็มักจะบินขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และพยายามจิกหน้าอยู่ร่ำไป

แต่หลินอันที่ฮว๋ายชิ่งเห็นในตอนนี้เป็นเหมือนดอกไม้เล็กๆ ที่เหี่ยวเฉา ใบหน้ารูปไข่ของนางหมองคล้ำไร้ราศี ดวงตาลูกท้อหลุบลงต่ำราวกับเด็กสาวที่กำลังด้อยค่าตนเอง และทำอะไรไม่ถูก

“หากเจ้าอยากจะถามว่าเจิ้งซิ่งไหวตายแล้วใช่หรือไม่ งั้นข้าก็สามารถตอบเจ้าได้อย่างชัดเจนว่า ใช่” ฮว๋ายชิ่งกล่าวเสียงเบา

หลินอันพยักหน้าและก้มมองพื้นด้วยสายตาว่างเปล่าพลางกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้า…ข้าไม่ค่อยสบาย…ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม เพียงแต่…เพียงแต่ข้ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อยและกลัวมาก…”

เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อนางมากเกินไป…ต้าฟ่งสงบสุขมาเนิ่นนาน ก่อนหน้านี้ที่กั๋วจิ้วยังไม่ตาย วังหลังกลับมาปรองดองอีกครั้ง…

ฮว๋ายชิ่งกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย เจ้าอ่านหนังสือน้อยเกินไป จงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ให้มากขึ้นแล้วเจ้าจะรู้ว่านี่เป็นเรื่องปกติ ยิ่งเกิดการนองเลือดที่ไม่เที่ยงธรรมก็ยิ่งเกิดคำพูดน้อย”

“เจ้า…คิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ” หลินอันมองนาง

เพราะการตายของเจิ้งซิ่งไหว เพราะวิญญาณทั้งสามแสนแปดหมื่นดวงที่เมืองฉู่โจว ความรู้สึกผิดในจิตใจกำลังจะปะทุ และทำให้นางจมดิ่งสู่ความโศกเศร้าอย่างขีดสุด

ในเวลาเช่นนี้ หลินอันก็นึกถึงฮว๋ายชิ่งขึ้นมา ฮว๋ายชิ่งเป็นพี่สาวที่นางอยากไล่ตามให้ทันมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงอยากมาหา เพื่อดูว่าฮว๋ายชิ่งจะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างไร

แต่ตอนนี้นางมาหาแล้วกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ฮว๋ายชิ่งเดินไปเบื้องหน้าหลินอัน และกวาดสายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “จันทร์เต็มดวงย่อมขาดหาย น้ำเต็มบ่อย่อมล้นออก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาจหลีกหนีเหตุผลที่ว่าเมื่อสูงส่งจนถึงที่สุดย่อมตกต่ำ เมื่อราชวงศ์หนึ่งเปลี่ยนผ่านจากความเจริญรุ่งเรืองไปสู่ความเสื่อมโทรม มันย่อมมาพร้อมกับเลือด และน้ำตาจำนวนนับไม่ถ้วน ความผุพังของภายในจะค่อยๆ กัดกินมันทีละนิด และจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกมาก”

หลินอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพี่สาว “งั้น…งั้นจะทำอย่างไรดี”

ฮว๋ายชิ่งเอื้อมมือออกไปจับศีรษะของหลินอัน ในแววตาประกายไปด้วยความอ่อนโยนที่หายาก “เวลาเช่นนี้ จะมีใครกล้ายืนขึ้น”

จะมีใครกล้ายืนขึ้น…หลินอันกำหมัดแน่นอย่างทันทีทันใด

……………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง