ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 384

สรุปบท บทที่ 384 ความโกรธ! (2): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 384 ความโกรธ! (2) จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 384 ความโกรธ! (2) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 384 ความโกรธ! (2)

บริเวณห้องโถงในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ในตัวเมือง

ที่โต๊ะหัวมุมสุด หลี่เมี่ยวเจินกำลังรับประทานอาหารอยู่กับหญิงม่าย ซึ่งนางรู้สึกไม่ชอบหญิงคนนี้เท่าใดนัก

ไม่ใช่ว่าหลี่เมี่ยวเจินวางท่าสั่งการบีบบังคับให้นางทำ แต่สองสามวันที่ผ่านมา หญิงงามระดับปานกลางคนนี้พัฒนาขึ้นมาก เรื่องที่นางสามารถทำได้ก็จัดการด้วยตนเองทั้งหมด

สิ่งที่หลี่เมี่ยวเจินไม่ชอบที่สุด คือความหยิ่งยโสและหลงตนเองในดวงตาคู่นั้นของนาง

ดูเหมือนในสายตาของผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนอื่นๆ ล้วนเหี่ยวเฉาแก่ก่อนวัย และนางเป็นหญิงงามเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงหญิงธรรมดาที่สุด ผู้ชายคนใดล้วนไม่ชายตามองหญิงเช่นนี้ เว้นแต่ก้นของนางที่ทั้งกลมทั้งใหญ่ และโดดเด่นออกมา เนื้อหน้าอกเหล่านั้นก็ดูอิ่มเอิบเต็มไม้เต็มมือ นางสวมเสื้อผ้าหลายชั้นก็ยังไม่สามารถปกปิดสัดส่วนเหล่านั้นได้…

‘อันที่จริงไม่มีอะไรต้องอิจฉา ก้อนเนื้อเหล่านั้นมีแต่จะเป็นตัวถ่วงในการขจัดความชั่วร้ายของข้า’…หลี่เมี่ยวเจินบอกตนเองเช่นนี้

“ทำไมเขายังไม่มาหาข้าอีก” มู่หนานจือกล่าวกระซิบ

“หึ ดูเถิดๆ เจ้าก็เป็นหญิงที่แต่งงานมาแล้ว ยังจะคิดถึงชายอื่นอย่างไร้ยางอายเช่นนี้อีกรึ” หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกไม่พอใจโดยไม่มีเหตุผล จึงกล่าวเยาะเย้ยด้วยความเย็นชา

“แค่รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันกับเจ้าแล้วช่างน่าเบื่อนัก” พระมเหสีเชิดคางขึ้นและกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“…”

แล้วทัศนคติที่เย่อหยิ่งนี้มาได้อย่างไรกัน นี่นางไม่รู้สถานะของตนเองรึ

หลี่เมี่ยวเจินขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความโกรธ ช่วงสองสามวันมานี้ นางอารมณ์ไม่ดีมาก เพราะความล่าช้าในการพิสูจน์ความผิดของไหวอ๋อง และจนถึงวันนี้ นางก็รู้มาว่าเจิ้งซิงไหวติดคุกแล้ว

‘จะต้องมีสักวันที่ข้าถือดาบบุกเข้าไปในพระราชวัง และฆ่าหั่นศพจักรพรรดิหยวนจิ่ง’…หลี่เมี่ยวเจินหมายเลขสองคิดในใจด้วยความขุ่นเคือง

เวลานี้ ใครบางคนที่โต๊ะข้างๆ ก็กล่าวขึ้นมาเสียงดังว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ เจิ้งซิ่งไหวตายแล้ว ที่แท้เขาก็เป็นผู้ร้ายที่สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน”

“อะไรกัน?!”

แขกที่รับประทานอาหารอยู่เต็มห้องโถง ต่างก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกตะลึง

บุคคลนั้นพูดอย่างชัดเจนฉะฉาน “น้องชายข้าทำงานอยู่ที่ศาลต้าหลี่ วันนี้ข้าได้ยินมาเรื่องหนึ่ง เจิ้งซิ่งไหวฆ่าตัวตายหนีความผิดในคุก”

ภายในห้องโถงตกอยู่ในความโกลาหลทันที

เรื่องราวกลับตาลปัตรเช่นนี้จริงรึ

บุคคลนั้นกล่าวต่อไปว่า “เจิ้งซิ่งไหวโหดเหี้ยมยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เขาสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน ฆ่าไหวอ๋องผู้ซึ่งเป็นเสาหลักแห่งต้าฟ่งของพวกเรา และยังสังหารผู้คนในเมืองฉู่โจวกว่าสามแสนแปดหมื่นคน หลังจากนั้น เขาก็หลอกลวงคณะทูต เข้าเมืองหลวงมายื่นเรื่องร้องทุกข์ คิดดูสิว่าเขามีความเกลียดชังไหวอ๋องมากเพียงใด ข้าได้ยินมาว่าตอนที่อยู่ฉู่โจว เขายักยอกกองทัพทหาร ทุจริตรับสินบน และถูกไหวอ๋องสั่งสอนอยู่หลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงพะวงอยู่ในใจมาโดยตลอด เหตุผลที่เขาสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนครั้งนี้ ก็เป็นเพราะไหวอ๋องเก็บรวบรวมหลักฐานการกระทำผิดของเขา และจะเปิดโปงเขาต่อราชสำนัก…”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ บุคคลนั้นก็หลั่งน้ำตาและทอดถอนใจ “ถึงแม้ข้าจะเป็นคนธรรมดา แต่กลับไม่ยินดีที่จะกล่าวถึงคนประเภทนี้ น่าเสียดายไหวอ๋อง วีรบุรุษแห่งยุคต้องมามีจุดจบที่น่าเศร้าอะไรเช่นนี้”

แขกเหรื่อต่างก็ตกใจจนหน้าซีด และพูดคุยกันอย่างดุเดือด โดยไม่สนใจอาหารตรงหน้าอีกต่อไป

“เป็นไปไม่ได้ ข่าวการสังหารหมู่ของไหวอ๋อง เป็นเรื่องที่คณะทูตนำกลับมารายงาน และสวี่อวิ๋นหลัวก็เป็นคนนำกลับมารายงานด้วยตนเอง”

“จริงด้วย สวี่อวิ๋นหลัวพิพากษาคดีเฉียบขาดราวกับเทพเจ้า เขาจะใส่ร้ายไหวอ๋องได้อย่างไร”

“พวกเราไม่เชื่อ”

“หึ พวกเจ้าไม่เชื่อก็ตามใจ รอดูประกาศของราชสำนักพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ”

“ถุย! เว้นแต่สวี่อวิ๋นหลัวจะพูดกับปากเขาเอง มิเช่นนั้น พวกเราไม่เชื่อ รอดูข่าวพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

ตะเกียบของหลี่เมี่ยวเจินหล่นลงมาดัง ‘เคร้ง’

สวี่ชีอัน…ใจของพระมเหสีหล่นไปที่ตาตุ่ม คนที่นางนึกถึงเป็นคนแรกไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสวี่ชีอันที่น่ารำคาญคนนั้น

รู้สึกราวกับประโยคที่เขาเคยพูดยังดังก้องอยู่ที่ข้างหู ‘ข้าจะไปเมืองฉู่โจวเพื่อหยุดเขา หากเป็นไปได้ ข้าก็จะฆ่าเขา’…

วันนี้ข่าวสมุหเทศาภิบาลแห่งเมืองฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหวฆ่าตัวตายหนีความผิดแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง คำพรรณนาของผู้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง มีใจความว่า เจิ้งซิ่งไหวสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน ฆ่าอ๋องสยบแดนเหนือ สังหารประชาชนเมืองฉู่โจวสามแสนแปดหมื่นคน หลังจากนั้น แทนที่จะยอมรับผิด กลับย้อนเล่นงานฝ่ายตรงข้าม โดยการโยนความผิดให้อ๋องสยบแดนเหนือ เพื่อทำลายชื่อเสียงเสาหลักแห่งต้าฟ่งจนป่นปี้

สำหรับข่าวลือเหล่านี้ บางคนประหลาดใจ บางคนไม่เชื่อ และบางคนก็สับสน…

ผู้คนในท้องตลาดไม่รู้เรื่องราวภายใน นับประสาอะไรกับกลอุบายที่ยุ่งยากในนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครเช่นนี้ โดยสัญชาตญาณคนธรรมดามักจะมองหาคนที่มีอำนาจในใจพวกเขา

คำแถลงของผู้มีอำนาจในจิตใจ ถึงจะเป็นข้อเท็จจริงที่พวกเขายินดีจะเชื่อ

ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ คนที่เรียกได้ว่ามีอำนาจกับชาวบ้านในท้องตลาด ดูเหมือนจะมีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้น

แต่ตอนนี้เขาเพิ่งออกมาจากสำนักโหราจารย์

ท่านโหราจารย์ยังไม่ได้พบเขา สวี่ชีอันก็ไม่ได้วางแผนจะพบท่านโหราจารย์ เขาเพียงแค่ฝากไฉ่เวยนำข้อความไปบอกท่านโหราจารย์เท่านั้น

เหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่น กำลังรอเขาอยู่ที่นอกตึกสำนักโหราจารย์

นักดาบที่มีช่อผมขาวอยู่บริเวณหน้าผากยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “เจ้าอยากจะเดินตามข้าไปในยุทธภพหรือไม่”

สวี่ชีอันฉีกยิ้ม “การเต้นรำของหญิงงามดินแดนประจิมทิศกระชุ่มกระชวยหัวใจดีหรือไม่”

ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ข้าไม่เข้าใกล้หญิงงามมานานแล้ว”

สวี่ชีอันโบกมือปฏิเสธพวกเขา “ต้องมีสักวัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

เขาเดินจากไปเพียงลำพัง

ก่อนพลบค่ำ สวี่เอ้อร์หลางและอารองสวี่พาหญิงสาวในตระกูลออกจากเมือง

การประชุมในเช้าวันรุ่งขึ้น!

เหล่าขุนนางหลั่งไหลเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทอง ไม่นานหลังจากนั้น จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เสด็จมา เขาดูเหมือนร้อนอกร้อนใจที่จะเข้าประชุมในเช้านี้มากเป็นพิเศษ

จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งลงอย่างมั่นคง ขันทีชราก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และกล่าวเสียงดังว่า “มีเรื่องใดให้กราบทูล ไม่มีเรื่องอันใดให้เลิกประชุม”

ไม่มีใครพูดอะไร แต่ในขณะนี้ สายตาของคนในท้องพระโรงนับไม่ถ้วน ต่างก็จับจ้องไปที่หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่

หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่จำต้องกัดฟันทำ เขาก้าวออกจากแถว และโค้งคำนับ “กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

สำหรับคนที่เสียชีวิตในศาลต้าหลี่ เรื่องนี้จำเป็นต้องให้เขาเป็นคนพูดเท่านั้น

จักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุกยิ้มที่มุมปาก “จงพูดเถอะ”

หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่หยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “สมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว ฆ่าตัวตายหนีความผิดในคุกตอนเที่ยงเมื่อวานนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ตำหนักกระดิ่งทองเงียบสงัดจนน่าขนลุก

รอยยิ้มที่มุมปากของจักรพรรดิหยวนจิ่งกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ขุนนางทุกท่านคิดว่าควรสรุปคดีนี้อย่างไร”

เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยง ก้าวออกมาจากแถวและกล่าวว่า “ในเมื่อเขาฆ่าตัวตายหนีความผิด งั้นก็สามารถปิดคดีฉู่โจวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ สมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว คนจางโจว รับวุฒิบัณฑิตขั้นสูงระดับสองเมื่ออายุสิบเก้าปี บุคคลนี้สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน สังหารอ๋องสยบแดนเหนือ และประชาชนชาวฉู่โจวสามแสนแปดหมื่นคน สมควรได้รับโทษประหารเก้าชั่วโคตร เจิ้งซิ่งไหวมีลูกชายคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ที่ชิงโจว ราชสำนักสามารถออกจดหมายรายงานข่าวให้สมุหเทศาภิบาลแห่งชิงโจวหยางกงจับกุมครอบครัวของเขา ตัดหัวประจานต่อสาธารณะ…”

จักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดสายตามองเหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ พลางถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ “มีใครจะคัดค้านหรือไม่”

ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ

จักรพรรดิหยวนจิ่งหัวเราะขึ้นมา ด้วยประโยชน์จากวิธีการถ่วงดุลอำนาจตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขา ราชสำนักแบ่งเป็นพรรคพวกทั้งเล็กและใหญ่ ราวกับพวกกลุ่มที่ขาดซึ่งอุดมการณ์ร่วม ยากที่จะประสานสามัคคีกัน

ที่ผ่านมาเขาอยู่บนที่สูง และปล่อยให้คนเหล่านี้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่เมื่อจักรพรรดิอย่างตนเองลงสนาม สุดท้ายพวกกลุ่มที่ขาดซึ่งอุดมการณ์ร่วมเหล่านี้ ก็ยังเป็นเพียงพวกกลุ่มที่ขาดซึ่งอุดมการณ์ร่วม

การตัดสินใจของเขาถือเป็นพระประสงค์สูงสุดของต้าฟ่ง

คนกลุ่มนี้อยากจะเหยียบย่ำหน้าราชวงศ์ไว้ใต้ฝ่าเท้าและทำให้คนใต้หล้าถูกทอดทิ้ง

ช่างน่าขัน

ในบรรดาขุนนาง เชวียหย่งซิวแทบจะควบคุมเสียงหัวเราะของตนเองไม่ได้ แม้กระทั่งความสุขบนใบหน้าของเขาก็ยากที่จะปิดมิด เว่ยเยวียนก็ดี สมุหราชเลขาธิการหวางก็ดี รวมทั้งขุนนางบุ๋นคนอื่นๆ ท้ายที่สุดก็เป็นแค่ข้าราชการคนหนึ่ง

ไม่ว่าวิธีการจะยอดเยี่ยมอย่างไร ในสายตาของจักรพรรดิ ก็ยังเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

หลังจากคดีนี้ เขาไม่เพียงใช้เวลาอย่างสงบสุข แต่ยังได้รางวัลตอบแทนที่ลงทุนลงแรงทำอีกด้วย ตำแหน่งฮู่กั๋วกงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในที่สุด ก็ฟื้นขึ้นในมือของตนเองอีกครั้ง

พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในเมืองหลวง แต่กลับหวาดกลัวฆ้องเงินเล็กๆ คนหนึ่งงั้นรึ

เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางไม่เคลื่อนไหวใดๆ และยังมองเขาด้วยสายตาเย็นชา

นี่…เชวียหย่งซิวตะลึงงัน ทันทีที่หันไปมองเฉากั๋วกง ก็พบว่าเขาแอบถอยหลังไปอย่างเงียบๆ มากกว่าสิบจั้งแล้ว

เขามองการแสดงออกของเหล่าขุนนางบุ๋นอีกครั้ง ในที่สุด เวลานี้เขาก็ค้นพบว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ในสายตาของพวกเขามีความเกลียดชังเล็กน้อย ไม่พอใจเล็กน้อยและ…คาดหวังเล็กน้อย?!

“ทหารรักษาวังล่ะ ทหาร ทหาร จัดการไอ้หอกข้างแคร่คนนี้ให้ข้า” เชวียหย่งซิวตะโกนเสียงดัง

กองทัพทหารรักษาวังที่อยู่ไม่ไกลทยอยพุ่งตัวเข้ามาล้อมสวี่ชีอัน พลางชักดาบออกมาชี้เขา

เชวียหย่งซิวโบกมือด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ผู้ร้ายคนนี้ขู่จะฆ่าข้าในพระราชวัง รีบจัดการแล้วส่งมอบให้ฝ่าบาททรงลงโทษ”

ทหารรักษาวังไม่ไหวติง

“จัดการมันซะ คำสั่งของข้าไม่มีความหมายแล้วรึ” เชวียหย่งซิวโกรธจัด

เวลานี้เอง มีเสียงเตือนอย่างแผ่วเบาลอยออกมาจากฝูงชน “เขา…เขามีแผ่นเหล็กอักษรแดง…”

ดวงตาของเชวียหย่งซิวเบิกกว้างในทันใด เขาเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงถอยหนี เข้าใจแล้วว่าทำไมทหารรักษาวังถึงไม่ลงมือ

ทหารรักษาวังคือกลุ่มทหารที่ปกป้องจักรพรรดิ เมื่อชีวิตของจักรพรรดิไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย พวกเขาไม่สามารถสู้กับคนที่ครอบครองแผ่นเหล็กอักษรแดงอยู่ในมืออย่างเอาเป็นเอาตายได้

‘แผ่นเหล็กอักษรแดงแล้วยังไง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าลงมือในพระราชวัง’…เชวียหย่งซิวไม่กลัว เขาเป็นยอดฝีมือระดับห้าด้วยตัวเขาเอง แม้ไม่ได้ถือดาบเข้าราชสำนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีอำนาจสู้กลับ

เวลานี้เอง สวี่ชีอันก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและจุดไฟเผา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “กักขัง!”

ร่างของเชวียหย่งซิวและเฉากั๋วกงแข็งทื่อชั่วขณะ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วครู่

สวี่ชีอันถือดาบและเดินไปทางพวกเขาทั้งสองทีละก้าว

สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “สวี่ชีอัน อย่าทำร้ายตนเอง ฮู่กั๋วกงเป็นยุคสมัยแรกหลังจากวีรบุรุษก่อตั้งอาณาจักร หากมีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นกับเขา เจ้าจะรับผิดชอบไม่ไหว”

ผู้ตรวจการจางสิงอิงร้อนอกร้อนใจมาก “เว่ยกง รีบห้ามปรามเขาเถอะ”

เว่ยหยวนไม่เคลื่อนไหวใดๆ

สวี่ชีอันก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าว เหล่าขุนนางก็ถอยไปหนึ่งก้าว จนเหลือเพียงเฉากั๋วกงและผู้พิทักษ์ชาติที่โดดเด่นออกมา

‘กร๊อบ กร๊อบ…’

เขาชูฝักดาบขึ้น และทุบลงที่กระดูกหัวเข่าของผู้พิทักษ์ชาติและเฉากั๋วกง

ถึงแม้พวกเขาจะขยับตัวไม่ได้ แต่ความเจ็บปวดกลับไม่ลดลงสักนิด สีหน้าของเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงซีดเผือด พลางร้องคำรามเสียงดังสนั่น

เชวียหย่งซิวมองไปที่เหล่าขุนนาง และตะโกนขอความช่วยเหลือ

“พวกเจ้ารีบห้ามเขาเร็วเข้า รีบห้ามเขาเร็ว พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นขุนนางในราชวงศ์เดียวกัน เห็นคนใกล้ตาย พวกเจ้าไม่สามารถนิ่งเฉยได้ ทหารคนหนึ่งกล้าฆ่าคนที่นอกประตูอู่เหมิน แต่ทุกคนในราชสำนักไม่มีใครกล้าออกมาพูดสักคน พวกเจ้า…พวกเจ้าอยากถูกปัญญาชนใต้หล้าหัวเราะเยาะรึ”

ขุนนางหนุ่มหน้าใหม่ที่เพิ่งผ่านการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ถูกโน้มน้าวโดยคำพูดของเขา จึงก้าวออกมาโดยไม่รู้ตัวเพื่อหยุดการจู่โจมของสวี่ชีอัน

แต่จู่ๆ เจ้ากรมอาญาที่อยู่ข้างเขาก็กวาดท่อนขาเตะเขากลับไปที่เดิม

เจ้ากรมหกชั้นศาล รองเจ้ากรม ขุนนางใกล้ชิดหกชั้นศาล ขุนนางเหล่านี้มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ท้องพระโรง แต่กลับพร้อมใจกันเลือกที่จะเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรสักคน

แม้แต่คนที่เกลียดชังสวี่ชีอันก็ยังไม่พูดอะไร

เชวียหย่งซิวเข้าใจแล้ว ปัญญาชนใจดำเหล่านี้ต้องการยืมดาบคนอื่นฆ่าคน

พวกเขาทั้งหมดอยากให้ตนเองตาย

สวี่ชีอันเก็บกระบี่กลับไปที่เอวตามเดิม ก่อนจะกวักมือไปบนท้องฟ้าทางด้านตะวันตก ไม่มีใครเข้าใจการกระทำและการเคลื่อนไหวของเขา

หลังจากนั้นสวี่ชีอันก็ลากคอเสื้อของเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงเดินออกไป

………………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง