บทที่ 384 ความโกรธ! (2)
บริเวณห้องโถงในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ในตัวเมือง
ที่โต๊ะหัวมุมสุด หลี่เมี่ยวเจินกำลังรับประทานอาหารอยู่กับหญิงม่าย ซึ่งนางรู้สึกไม่ชอบหญิงคนนี้เท่าใดนัก
ไม่ใช่ว่าหลี่เมี่ยวเจินวางท่าสั่งการบีบบังคับให้นางทำ แต่สองสามวันที่ผ่านมา หญิงงามระดับปานกลางคนนี้พัฒนาขึ้นมาก เรื่องที่นางสามารถทำได้ก็จัดการด้วยตนเองทั้งหมด
สิ่งที่หลี่เมี่ยวเจินไม่ชอบที่สุด คือความหยิ่งยโสและหลงตนเองในดวงตาคู่นั้นของนาง
ดูเหมือนในสายตาของผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนอื่นๆ ล้วนเหี่ยวเฉาแก่ก่อนวัย และนางเป็นหญิงงามเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงหญิงธรรมดาที่สุด ผู้ชายคนใดล้วนไม่ชายตามองหญิงเช่นนี้ เว้นแต่ก้นของนางที่ทั้งกลมทั้งใหญ่ และโดดเด่นออกมา เนื้อหน้าอกเหล่านั้นก็ดูอิ่มเอิบเต็มไม้เต็มมือ นางสวมเสื้อผ้าหลายชั้นก็ยังไม่สามารถปกปิดสัดส่วนเหล่านั้นได้…
‘อันที่จริงไม่มีอะไรต้องอิจฉา ก้อนเนื้อเหล่านั้นมีแต่จะเป็นตัวถ่วงในการขจัดความชั่วร้ายของข้า’…หลี่เมี่ยวเจินบอกตนเองเช่นนี้
“ทำไมเขายังไม่มาหาข้าอีก” มู่หนานจือกล่าวกระซิบ
“หึ ดูเถิดๆ เจ้าก็เป็นหญิงที่แต่งงานมาแล้ว ยังจะคิดถึงชายอื่นอย่างไร้ยางอายเช่นนี้อีกรึ” หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกไม่พอใจโดยไม่มีเหตุผล จึงกล่าวเยาะเย้ยด้วยความเย็นชา
“แค่รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันกับเจ้าแล้วช่างน่าเบื่อนัก” พระมเหสีเชิดคางขึ้นและกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“…”
แล้วทัศนคติที่เย่อหยิ่งนี้มาได้อย่างไรกัน นี่นางไม่รู้สถานะของตนเองรึ
หลี่เมี่ยวเจินขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความโกรธ ช่วงสองสามวันมานี้ นางอารมณ์ไม่ดีมาก เพราะความล่าช้าในการพิสูจน์ความผิดของไหวอ๋อง และจนถึงวันนี้ นางก็รู้มาว่าเจิ้งซิงไหวติดคุกแล้ว
‘จะต้องมีสักวันที่ข้าถือดาบบุกเข้าไปในพระราชวัง และฆ่าหั่นศพจักรพรรดิหยวนจิ่ง’…หลี่เมี่ยวเจินหมายเลขสองคิดในใจด้วยความขุ่นเคือง
เวลานี้ ใครบางคนที่โต๊ะข้างๆ ก็กล่าวขึ้นมาเสียงดังว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ เจิ้งซิ่งไหวตายแล้ว ที่แท้เขาก็เป็นผู้ร้ายที่สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน”
“อะไรกัน?!”
แขกที่รับประทานอาหารอยู่เต็มห้องโถง ต่างก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกตะลึง
บุคคลนั้นพูดอย่างชัดเจนฉะฉาน “น้องชายข้าทำงานอยู่ที่ศาลต้าหลี่ วันนี้ข้าได้ยินมาเรื่องหนึ่ง เจิ้งซิ่งไหวฆ่าตัวตายหนีความผิดในคุก”
ภายในห้องโถงตกอยู่ในความโกลาหลทันที
เรื่องราวกลับตาลปัตรเช่นนี้จริงรึ
บุคคลนั้นกล่าวต่อไปว่า “เจิ้งซิ่งไหวโหดเหี้ยมยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เขาสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน ฆ่าไหวอ๋องผู้ซึ่งเป็นเสาหลักแห่งต้าฟ่งของพวกเรา และยังสังหารผู้คนในเมืองฉู่โจวกว่าสามแสนแปดหมื่นคน หลังจากนั้น เขาก็หลอกลวงคณะทูต เข้าเมืองหลวงมายื่นเรื่องร้องทุกข์ คิดดูสิว่าเขามีความเกลียดชังไหวอ๋องมากเพียงใด ข้าได้ยินมาว่าตอนที่อยู่ฉู่โจว เขายักยอกกองทัพทหาร ทุจริตรับสินบน และถูกไหวอ๋องสั่งสอนอยู่หลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงพะวงอยู่ในใจมาโดยตลอด เหตุผลที่เขาสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนครั้งนี้ ก็เป็นเพราะไหวอ๋องเก็บรวบรวมหลักฐานการกระทำผิดของเขา และจะเปิดโปงเขาต่อราชสำนัก…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ บุคคลนั้นก็หลั่งน้ำตาและทอดถอนใจ “ถึงแม้ข้าจะเป็นคนธรรมดา แต่กลับไม่ยินดีที่จะกล่าวถึงคนประเภทนี้ น่าเสียดายไหวอ๋อง วีรบุรุษแห่งยุคต้องมามีจุดจบที่น่าเศร้าอะไรเช่นนี้”
แขกเหรื่อต่างก็ตกใจจนหน้าซีด และพูดคุยกันอย่างดุเดือด โดยไม่สนใจอาหารตรงหน้าอีกต่อไป
“เป็นไปไม่ได้ ข่าวการสังหารหมู่ของไหวอ๋อง เป็นเรื่องที่คณะทูตนำกลับมารายงาน และสวี่อวิ๋นหลัวก็เป็นคนนำกลับมารายงานด้วยตนเอง”
“จริงด้วย สวี่อวิ๋นหลัวพิพากษาคดีเฉียบขาดราวกับเทพเจ้า เขาจะใส่ร้ายไหวอ๋องได้อย่างไร”
“พวกเราไม่เชื่อ”
“หึ พวกเจ้าไม่เชื่อก็ตามใจ รอดูประกาศของราชสำนักพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ”
“ถุย! เว้นแต่สวี่อวิ๋นหลัวจะพูดกับปากเขาเอง มิเช่นนั้น พวกเราไม่เชื่อ รอดูข่าวพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
ตะเกียบของหลี่เมี่ยวเจินหล่นลงมาดัง ‘เคร้ง’
สวี่ชีอัน…ใจของพระมเหสีหล่นไปที่ตาตุ่ม คนที่นางนึกถึงเป็นคนแรกไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสวี่ชีอันที่น่ารำคาญคนนั้น
รู้สึกราวกับประโยคที่เขาเคยพูดยังดังก้องอยู่ที่ข้างหู ‘ข้าจะไปเมืองฉู่โจวเพื่อหยุดเขา หากเป็นไปได้ ข้าก็จะฆ่าเขา’…
…
วันนี้ข่าวสมุหเทศาภิบาลแห่งเมืองฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหวฆ่าตัวตายหนีความผิดแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง คำพรรณนาของผู้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง มีใจความว่า เจิ้งซิ่งไหวสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน ฆ่าอ๋องสยบแดนเหนือ สังหารประชาชนเมืองฉู่โจวสามแสนแปดหมื่นคน หลังจากนั้น แทนที่จะยอมรับผิด กลับย้อนเล่นงานฝ่ายตรงข้าม โดยการโยนความผิดให้อ๋องสยบแดนเหนือ เพื่อทำลายชื่อเสียงเสาหลักแห่งต้าฟ่งจนป่นปี้
สำหรับข่าวลือเหล่านี้ บางคนประหลาดใจ บางคนไม่เชื่อ และบางคนก็สับสน…
ผู้คนในท้องตลาดไม่รู้เรื่องราวภายใน นับประสาอะไรกับกลอุบายที่ยุ่งยากในนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครเช่นนี้ โดยสัญชาตญาณคนธรรมดามักจะมองหาคนที่มีอำนาจในใจพวกเขา
คำแถลงของผู้มีอำนาจในจิตใจ ถึงจะเป็นข้อเท็จจริงที่พวกเขายินดีจะเชื่อ
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ คนที่เรียกได้ว่ามีอำนาจกับชาวบ้านในท้องตลาด ดูเหมือนจะมีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้น
แต่ตอนนี้เขาเพิ่งออกมาจากสำนักโหราจารย์
ท่านโหราจารย์ยังไม่ได้พบเขา สวี่ชีอันก็ไม่ได้วางแผนจะพบท่านโหราจารย์ เขาเพียงแค่ฝากไฉ่เวยนำข้อความไปบอกท่านโหราจารย์เท่านั้น
เหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่น กำลังรอเขาอยู่ที่นอกตึกสำนักโหราจารย์
นักดาบที่มีช่อผมขาวอยู่บริเวณหน้าผากยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “เจ้าอยากจะเดินตามข้าไปในยุทธภพหรือไม่”
สวี่ชีอันฉีกยิ้ม “การเต้นรำของหญิงงามดินแดนประจิมทิศกระชุ่มกระชวยหัวใจดีหรือไม่”
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ข้าไม่เข้าใกล้หญิงงามมานานแล้ว”
สวี่ชีอันโบกมือปฏิเสธพวกเขา “ต้องมีสักวัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
เขาเดินจากไปเพียงลำพัง
ก่อนพลบค่ำ สวี่เอ้อร์หลางและอารองสวี่พาหญิงสาวในตระกูลออกจากเมือง
…
การประชุมในเช้าวันรุ่งขึ้น!
เหล่าขุนนางหลั่งไหลเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทอง ไม่นานหลังจากนั้น จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เสด็จมา เขาดูเหมือนร้อนอกร้อนใจที่จะเข้าประชุมในเช้านี้มากเป็นพิเศษ
จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งลงอย่างมั่นคง ขันทีชราก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และกล่าวเสียงดังว่า “มีเรื่องใดให้กราบทูล ไม่มีเรื่องอันใดให้เลิกประชุม”
ไม่มีใครพูดอะไร แต่ในขณะนี้ สายตาของคนในท้องพระโรงนับไม่ถ้วน ต่างก็จับจ้องไปที่หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่
หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่จำต้องกัดฟันทำ เขาก้าวออกจากแถว และโค้งคำนับ “กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
สำหรับคนที่เสียชีวิตในศาลต้าหลี่ เรื่องนี้จำเป็นต้องให้เขาเป็นคนพูดเท่านั้น
จักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุกยิ้มที่มุมปาก “จงพูดเถอะ”
หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่หยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “สมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว ฆ่าตัวตายหนีความผิดในคุกตอนเที่ยงเมื่อวานนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ตำหนักกระดิ่งทองเงียบสงัดจนน่าขนลุก
รอยยิ้มที่มุมปากของจักรพรรดิหยวนจิ่งกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ขุนนางทุกท่านคิดว่าควรสรุปคดีนี้อย่างไร”
เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยง ก้าวออกมาจากแถวและกล่าวว่า “ในเมื่อเขาฆ่าตัวตายหนีความผิด งั้นก็สามารถปิดคดีฉู่โจวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ สมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว คนจางโจว รับวุฒิบัณฑิตขั้นสูงระดับสองเมื่ออายุสิบเก้าปี บุคคลนี้สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน สังหารอ๋องสยบแดนเหนือ และประชาชนชาวฉู่โจวสามแสนแปดหมื่นคน สมควรได้รับโทษประหารเก้าชั่วโคตร เจิ้งซิ่งไหวมีลูกชายคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ที่ชิงโจว ราชสำนักสามารถออกจดหมายรายงานข่าวให้สมุหเทศาภิบาลแห่งชิงโจวหยางกงจับกุมครอบครัวของเขา ตัดหัวประจานต่อสาธารณะ…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดสายตามองเหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ พลางถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ “มีใครจะคัดค้านหรือไม่”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ
จักรพรรดิหยวนจิ่งหัวเราะขึ้นมา ด้วยประโยชน์จากวิธีการถ่วงดุลอำนาจตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขา ราชสำนักแบ่งเป็นพรรคพวกทั้งเล็กและใหญ่ ราวกับพวกกลุ่มที่ขาดซึ่งอุดมการณ์ร่วม ยากที่จะประสานสามัคคีกัน
ที่ผ่านมาเขาอยู่บนที่สูง และปล่อยให้คนเหล่านี้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่เมื่อจักรพรรดิอย่างตนเองลงสนาม สุดท้ายพวกกลุ่มที่ขาดซึ่งอุดมการณ์ร่วมเหล่านี้ ก็ยังเป็นเพียงพวกกลุ่มที่ขาดซึ่งอุดมการณ์ร่วม
การตัดสินใจของเขาถือเป็นพระประสงค์สูงสุดของต้าฟ่ง
คนกลุ่มนี้อยากจะเหยียบย่ำหน้าราชวงศ์ไว้ใต้ฝ่าเท้าและทำให้คนใต้หล้าถูกทอดทิ้ง
ช่างน่าขัน
ในบรรดาขุนนาง เชวียหย่งซิวแทบจะควบคุมเสียงหัวเราะของตนเองไม่ได้ แม้กระทั่งความสุขบนใบหน้าของเขาก็ยากที่จะปิดมิด เว่ยเยวียนก็ดี สมุหราชเลขาธิการหวางก็ดี รวมทั้งขุนนางบุ๋นคนอื่นๆ ท้ายที่สุดก็เป็นแค่ข้าราชการคนหนึ่ง
ไม่ว่าวิธีการจะยอดเยี่ยมอย่างไร ในสายตาของจักรพรรดิ ก็ยังเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
หลังจากคดีนี้ เขาไม่เพียงใช้เวลาอย่างสงบสุข แต่ยังได้รางวัลตอบแทนที่ลงทุนลงแรงทำอีกด้วย ตำแหน่งฮู่กั๋วกงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในที่สุด ก็ฟื้นขึ้นในมือของตนเองอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง