บทที่ 384 ความโกรธ! (3)
ในวังบรรทม
หลังจากสิ้นสุดการประชุมตอนเช้า ทันทีที่จักรพรรดิหยวนจิ่งกลับถึงห้องทรงพระอักษร ก็มีทหารรักษาพระองค์วิ่งเข้ามาด้วยท่าทีตื่นตระหนกอย่างมาก ยังไม่ทันสื่อสารอะไรก็ยืนตะโกนอยู่ที่หน้าประตูว่า “ฝ่าบาท สวี่ชีอันขวางประตูอู่เหมินอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาประกาศว่าจะฆ่าฮู่กั๋วกงและเฉากั๋วกงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และกล่าวด้วยความโกรธเคืองว่า “เขาคิดจะก่อกบฏรึ เฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงเป็นอย่างไรบ้าง”
“ถูกพาออกจากพระราชวังไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทหารรักษาพระองค์ตอบอย่างวิตกกังวล
“รีบระดมทหารรักษาวังที่เป็นยอดฝีมือไปหยุดสวี่ชีอัน หากต่อต้าน ฆ่าทิ้งได้เลย!” จักรพรรดิหยวนจิ่งตะโกนเสียงดัง
เมื่อทหารรักษาพระองค์ไปแล้ว เขาก็ยืนอยู่ข้างโต๊ะด้วยสีหน้ากระสับกระส่าย
ปราบเว่ยเยวียนแล้ว ปราบสมุหราชเลขาธิการหวางแล้ว ปราบทุกคนในราชสำนักแล้ว แต่กลับละเลยบุคคลตัวเล็กๆ เช่นนี้ไป
“เขากล้าอกตัญญูต่อข้า บังอาจนัก บังอาจนัก…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งคำรามอยู่ในลำคอ ก่อนจะกวาดหนังสือราชการ เอกสาร พู่กัน จานหมึกและกระดาษที่อยู่บนโต๊ะร่วงกระจายสู่พื้น
ความโกรธที่ปะทุขึ้นมาอย่างเดือดดาลของจักรพรรดิยังไม่จางหายไป เขาจึงยกเท้าเตะโต๊ะอีกครั้ง
…
หลังจากได้รับพระบัญชาของจักรพรรดิแล้ว ยอดฝีมือของพระราชวังก็นำกองทัพทหารรักษาวังกว่าร้อยนายออกจากพระราชวัง และควบม้าไปตามถนนอย่างดุเดือด
กองทัพทหารรักษาวังไล่ล่าสวี่ชีอันอยู่บนถนนในเขตพระราชฐาน
“หยุดเขา!”
หนึ่งในผู้นำกองทัพทหารรักษาวังเห็นกั๋วกงทั้งสองยังปลอดภัยดี ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะโผกระโดดขึ้นเหนือหลังม้า และพุ่งตัวไปทางสวี่ชีอัน
‘ฟิ้ว!’
เวลานี้ จู่ๆ กระบี่บินเล่มหนึ่งก็ลอยมาอย่างกะทันหัน และเปล่งแสงสว่างจ้า
ผู้นำทหารรักษาวังชักดาบออกมาสกัดกั้น และต่อสู้กับกระบี่บิน แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่เขาก็ถูกขัดขวางไว้
หลี่เมี่ยวเจินยืนอยู่กลางอากาศ ผมยาวปลิวสยาย ใบหน้าสวยของนางเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง
หลี่เมี่ยวเจินคือคนที่ออกมาจากจวนของหลินอัน เมื่อคืนนางอยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด
เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์…ผู้นำกองทัพทหารรักษาวังทั้งตกตะลึงทั้งโกรธ “ข้าจะไปจัดการกับหลี่เมี่ยวเจิน พวกเจ้าไปสกัดกั้นสวี่ชีอัน”
คนที่ออกมาไล่ล่าที่นี่ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวที่เป็นยอดฝีมือ
ทันใดนั้น ยอดฝีมือทั้งสามก็กระโดดขึ้นจากหลังม้า สูบฉีดพลังปราณและตามไล่ล่าไปบนอากาศ
‘ชิ้ง!’
เวลานั้นเอง ดาบเล่มหนึ่งก็เรืองแสงขึ้น ตัดผ่านหน้ายอดฝีมือทั้งสามเข้าไปยังหุบเหวลึก
บนสันหลังคาบ้านที่หันหน้าไปทางถนน มีนักดาบในชุดสีรัตติกาลยืนอยู่ เขาไขว้มือไว้ด้านหลัง พลางหัวเราะเยาะด้วยความเยือกเย็น
“ฉู่หยวนเจิ่น เจ้าจะต่อต้านราชสำนักงั้นรึ เจ้าอยากกลายเป็นคนหนีคดีหรืออย่างไร”
ยอดฝีมือของพระราชวังทั้งสามรู้จักฉู่หยวนเจิ่น
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวยิ้มเยาะ “ที่นี่คือเขตพระราชฐาน ผู้ที่อาศัยอยู่ล้วนเป็นขุนนางเรืองอำนาจ หากท่านอยากจะแบกความรับผิดชอบไว้ที่หลัง ก็เชิญสู้กับข้าสักตั้ง ยังไงซะ ข้าก็หัวเดียวกระเทียมลีบ อย่างร้ายสุด ชีวิตนี้ก็คงเข้าเขตชายแดนต้าฟ่งไม่ได้อีก”
ยอดฝีมือของพระราชวังทั้งสาม ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความโกรธจัด
เมืองหลวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของจักรพรรดิ และยังเป็นเมืองชั้นใน ประชาชนที่นี่ล้วนสูงศักดิ์และเรืองอำนาจกว่าประชาชนที่อยู่ด้านนอก หากพวกเขาทั้งสามเป็นสาเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากถูกเข่นฆ่า ความรับผิดชอบนี้ ย่อมตกอยู่ที่พวกเขาอย่างแน่นอน
ทั้งสามรับรู้ได้ถึงความผันผวนของพลังปราณทางด้านนี้ กลิ่นอายแห่งความเผด็จการที่ลุกโชนอยู่ในเขตพระราชฐาน ก่อให้เกิดการตอบสนองที่เต็มไปด้วยความเครียด
คนที่อยู่ในเขตพระราชฐานล้วนเป็นขุนนางที่มียศสูงศักดิ์ บางคนเป็นยอดฝีมือ บางคนกำลังต้อนรับแขกอยู่ในจวน ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ผู้อ่อนแอ
แต่ทางด้านพระราชวัง ความผันผวนของพลังปราณที่เผด็จการกำลังมาถึง นั่นคือยอดฝีมือที่กำลังตามมา
“ดูเหมือนพวกเราจะแหย่รังแตนเข้าแล้ว…” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าว
“กลัวตายก็ไสหัวไป” หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับด้วยความไม่พอใจ
“อมิตตาพุทธ!”
เรื่องเช่นนี้ แน่นอนว่าขาดเหิงหย่วนไปไม่ได้ เขาหันออกมาจากถนนอีกฟากหนึ่ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เหตุใดหลี่เต้าโย่วไม่พาข้ามาด้วย?”
เขาก็แทรกซึมเข้าไปในเขตพระราชฐานล่วงหน้าเช่นกัน และยังซ่อนตัวอยู่ในจวนของหลินอันด้วย เพียงแต่ตอนที่หลี่เมี่ยวเจินขี่กระบี่บินเมื่อสักครู่ นางไม่ได้รับเขามาด้วย ดังนั้น เขาจึงมาสายไปเล็กน้อย
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “ตอนหนีตายค่อยว่ากัน”
…
ท้องฟ้าสว่างแล้ว บนถนนในเมืองชั้นในก็เริ่มมีคนเดินเท้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สวี่ชีอันเหยียบอยู่บนกระบี่บินที่หลี่เมี่ยวเจินมอบให้ และมุ่งออกจากเขตพระราชฐานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถลาลงบนถนนในเมืองชั้นในอย่างเงียบเชียบ
จากนั้น เขาก็ลากกั๋วกงทั้งสองท่านนี้เดินโชว์ตัว เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คน
สิ่งที่คนเดินข้างถนนสังเกตเห็นเป็นอันดับแรก คือฮู่กั๋วกงและเฉากั๋วกงที่สวมชุดขุนนางผู้สูงศักดิ์
“เอ๋ นี่ไม่ใช่สวี่อวิ๋นหลัวหรอกรึ ไม่สวมชุดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ข้าจำแทบไม่ได้เลย” มีคนตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
“เขาลากใครมาด้วย นี่ นี่คือหมางเผ่าไม่ใช่รึ งั้นก็น่าจะเป็นบุคคลสำคัญ…”
“ข้ารู้จักคนนั้น คนที่มีตาข้างเดียว เขาคือฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิวที่เข้าเมืองหลวงมาเมื่อวาน”
“ใช่ฮู่กั๋วกงคนที่ฟ้องร้องสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว เรื่องสมคบคิดกับเผ่าปีศาจ และฆ่าอ๋องสยบแดนเหนือใช่หรือไม่”
เป็นเรื่องยากสำหรับชาวบ้านทั่วไปที่จะรู้จักขุนนาง อย่างเช่นเฉากั๋วกง พวกเขาก็ไม่รู้จัก แต่เมื่อวานฮู่กั๋วกงเดินโอ้อวดตนเอง ดึงความสนใจจากผู้อื่น และให้ความประทับใจอันลึกซึ้งกับชาวบ้านในเมืองชั้นใน
ดังนั้น ทันทีที่เห็นจึงจำได้อย่างรวดเร็ว
“สวี่อวิ๋นหลัวลากเขามาทำอะไร เขามีบรรดาศักดิ์เป็นกงนะ เกิด…เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“จะทำอะไรก็ช่างเถอะ ว่าแต่บุคคลนั้นมาในที่สาธารณะทำไม ต้องเกี่ยวข้องกับคดีฉู่โจวแน่ๆ เดี๋ยวข้าไปเรียกภรรยาออกมาดูเรื่องสนุกๆ ดีกว่า”
“สะใภ้ เจ้าช่วยเฝ้าร้านไว้นะ ข้าจะไปดูหน่อย”
“แต่ว่า…ข้าก็อยากไปดูเหมือนกัน…”
คนเดินเท้าบนถนนต่างก็ชี้นิ้วและมองฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ พลางเดินตามไปร่วมสนุกกับสวี่ชีอัน เจ้าของแผงลอยบางคนถึงกับละทิ้งแผง และเดินตามไปด้วยความสงสัย
ไม่ใช่ความน่าสนุกเพียงอย่างเดียวที่ดึงดูดให้พวกเขาเดินเข้าไป แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสวี่อวิ๋นหลัว คนที่เขาลากอยู่ในมือก็เป็นกงที่เพิ่งมาโชว์ตัวเมื่อวาน จึงไม่มีใครทนความอยากรู้อยากเห็นนี้ได้
ฝูงชนหลั่งไหลมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
จนค่อยๆ กลายเป็นฝูงชนที่พลุกพล่านและหนาแน่น
นี่คือสิ่งที่สวี่ชีอันต้องการ แม้ว่าการฆ่าเชวียหย่งซิวด้วยการฟันดาบเพียงครั้งเดียวจะเห็นผลลัพธ์เร็วและตรงไปตรงมา แต่นั่นกลับไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
ในที่สุด เขาก็ลากกงทั้งสองท่านมาจนถึงลานประหารที่ไช่ซื่อโข่ว
ลานประหารตั้งอยู่ที่ไช่ซื่อโข่ว นั่นก็เพราะที่นี่มีคนจำนวนมาก ที่เรียกว่าตัดหัวแขวนประจานสู่สาธารณะ ถ้าคนไม่เยอะ จะเรียกว่าประจานสู่สาธารณะได้อย่างไร
ชาวบ้านแถบไช่ซื่อโข่วสังเกตเห็นสวี่ชีอันในทันทีทันใด หากพูดให้ถูก พวกเขาสังเกตเห็นผู้คนที่หลั่งไหลมาอย่างแน่นขนัดต่างหาก
“เกิด เกิดอะไรขึ้น” ผู้คนในแถบไช่ซื่อโข่วต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริด
“นั่นสวี่อวิ๋นหลัวไม่ใช่รึ”
ไช่ซื่อโข่วอัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
สวี่ชีอันโยนเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงลงบนแท่นประหาร ก่อนจะชักดาบออกมา และตัดเอ็นร้อยหวายของพวกเขาในฉับเดียว
จากนั้น มือทั้งสองข้างของสวี่ชีอันก็คว้าเข้าที่ศีรษะของเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงคนละข้าง บีบบังคับให้พวกเขาเงยหน้าขึ้น พลางหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ดูสิ ผู้คนมากมายเช่นนี้ ตายวันนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
สีหน้าของเชวียหย่งซิวซีดเผือด “ข้า ข้าเป็นยุคสมัยแรกหลังจากวีรบุรุษก่อตั้งอาณาจักร เจ้า เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ หากเจ้าฆ่าข้า เจ้าจะไม่เหลือที่ยืนในต้าฟ่ง”
ผู้บัญชาการที่ต่อสู้ในสนามรบท่านนี้ ขณะนี้ยังคงรักษาความสุขุมของทหารไว้ได้อยู่ เขากล่าวต่อเนื่องโดยไม่ขาดปากว่า “อย่าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้ายังไม่ตาย ทุกอย่างสามารถกอบกู้คืนกลับมาได้ ข้าจะทูลขอความเมตตาให้จักรพรรดิประทานอภัยให้เจ้า ข้าสาบาน…”
เขายังมีอนาคตที่ดี เขาเพิ่งได้รับชัยชนะในท้องพระโรง เขาจะตายเช่นนี้ไม่ได้
เฉากั๋วกงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “สวี่ชีอัน เจ้าน่าจะรู้ว่าจักรพรรดิเป็นคนเช่นไร ฆ่าพวกเราไปแล้ว ต่อให้มีแผ่นเหล็กอักษรแดงก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ปล่อยพวกเราไป ยังพอมีทางเหลือสำหรับการเจรจาต่อรอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง